“นาง… นางกลัวสามารถบรรลุสำเร็จแนวคิดแห่งธาตุทั้งห้าได้ด้วยตัวเอง นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?”
“ธาตุทั้งห้า! นางบรรลุสำเร็จแนวคิดแห่งธาตุทั้งห้า! ความสามารถในการเรียนรู้เช่นนี้มัน… น่ากลัวยิ่งนัก!”
“ธาตุทั้งห้านั้นมันจะเกื้อหนุนขัดขวางซึ่งกันและกัน หากใช้ออกมาได้อย่างถูกต้องพอดีแล้วมันจะสามารถปล่อยพลังออกมาได้ไม่แพ้แนวคิดขั้นสูง! นางผู้นี้เก่งกาจเสียจริงๆ!”
…
ภายในเมืองตอนนี้เกิดเสียงร้องชื่นชมอย่างตกตะลึงขึ้นมากมาย
พวกเขาทั้งหลายนั้นย่อมจะไม่คิดไม่ฝันว่าบนโลกใบนี้มันจะยังมีใครที่สามารถบรรลุสำเร็จธาตุทั้งห้าพร้อมๆ กันได้อยู่
พรสวรรค์ในระดับนี้มันเหนือล้ำกว่าที่พวกเขาทั้งหลายจะคาดฝันถึง
เย่หยวนนั้นสามารถบรรลุสำเร็จแนวคิดแห่งห้วงมิติได้มันย่อมนับว่าเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งแล้ว แต่การบรรลุสำเร็จแนวคิดแห่งธาตุทั้งห้าพร้อมๆ กันได้นั้นมันไม่ได้เป็นเรื่องที่ง่ายดายกว่ากันเลย
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือธาตุทั้งห้านั้นมันได้รับการบ่มเพาะจนถึงระดับหก เป็นสิ่งที่เหนือล้ำกว่าที่จะคาดคิดได้มาก
ต่อให้เป็นตัวเย่หยวนเองเมื่อได้เห็นเช่นนี้ตัวเขาก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตื่นตะลึง
ตอนนี้เขาได้ทราบแล้วว่าไป๋ตงได้พ่ายแพ้ให้กับอะไร
หลู่ซือยีมองดูเย่หยวนด้วยสายตาเย็นเยือก “ตอนนี้เจ้ารู้หรือยังว่าข้านั้นมั่นใจในสิ่งใด? ข้ายอมรับว่าเจ้าเองนั้นก็มีพรสวรรค์ที่เหนือล้ำถึงขั้นสามารถฝึกฝนกายทองคำสัมบูรณ์ระดับหกมาได้ แต่สุดท้ายเมื่ออยู่ต่อหน้าข้ามันก็ไร้ความหมาย!”
นางผู้นี้มีความมั่นใจที่เหนือล้ำและยังมีพลังที่พอจะเสริมความมั่นใจนั้นได้
เย่หยวนนั้นตื่นตกใจอยู่ไม่น้อยเพราะตอนที่เขาเข้าไปในสนามรบเทพโบราณครั้งนี้เขาได้เห็นยอดอัจฉริยะมากมายหลายหลากจากทุกภูมิภาค
อย่างตัวโจวหยูผู้นั้นเองก็นับได้ว่าเป็นยอดของยอดอัจฉริยะในรุ่นเดียวกัน
แต่โจวหยูนั้นก็ยังไม่อาจเทียบเคียงใดๆ กับนางมารร้ายตรงหน้าเขานี้
เย่หยวนนั้นหยุดคิดไปพักหนึ่งก่อนจะกล่าวบอกหลู่ซือยีขึ้นอย่างเรียบเฉย “น่าเสียดายที่เจ้ายังไม่อาจผสานแนวคิดทั้งห้าเข้าด้วยกันได้”
เมื่อหลู่ซือยีได้ยินเช่นนั้นนางก็แทบจะสำลัก
เพราะนี่นับได้ว่าเป็นจุดที่ตัวนางกังวลมาตลอด ไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวนจะหยิบมันขึ้นมาพูดอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้
การสำเร็จแนวคิดแห่งธาตุทั้งห้าและการผสานแนวคิดแห่งธาตุทั้งห้านั้นมันเป็นสิ่งที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
ไม่ว่าจะอย่างไรแค่การผสานสองแนวคิดเข้าด้วยกันยังเป็นเรื่องแสนยากเย็น อย่าว่าแต่ห้าแนวคิดเลย
เรื่องราวเช่นนี้แค่คิดมันก็ทำให้ผู้คนขนลุกขนพองได้แล้ว
หลู่ซือยีจึงได้ตอบกลับมาอย่างรุนแรง “เจ้าคนโอหังอวดดี! จะปากเก่งก็ขอให้รับดาบห้าธาตุของข้านี้ได้ก่อนเถอะ!”
เย่หยวนนั้นได้แต่ส่ายหัวออกมาก่อนจะหรี่ตาตอบกลับไป “มิใช่แค่การป้องกันรับดาบของเจ้า ข้าเคยบอกไปแล้วว่าวันนี้พวกเจ้าทั้งสามต้องตาย! นั่นคือราคาคุณค่าชีวิตของเจียงหมิง”
หลู่ซือยีหัวเราะขึ้น “แค่ด้วยคนอย่างเจ้านี้?”
เย่หยวนพยักหน้ารับ “ด้วยคนอย่างข้านี่แหละ!”
พูดไปเย่หยวนก็หยิบดาบกระดูกออกมาและมันก็ย่อมจะเป็นสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ที่เทพสวรรค์ห่าวหยูเคยได้ยกมอบไว้ให้แก่เขานั่นเอง!
หลู่ซือยีย่อมจะต้องเบิกตากว้างมองดูดาบของเย่หยวนนั้นอย่างไม่คิดอยากเชื่อ
แท้จริงแล้วเจ้าเด็กคนนี้มันกลับมีสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ติดตัวถึงสองชิ้น!
สมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ประเภทเครื่องป้องกันและยังมีสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ประเภทอาวุธ!
นี่มัน… สิบเมืองสันเขาใต้น้อยๆ มันจะเกิดยอดสัตว์ประหลาดเช่นนี้ขึ้นมาได้อย่างไร?
แต่ว่าเจ้าหมอนี่มันเป็นผู้บ่มเพาะร่างกายจนถึงกายทองคำสัมบูรณ์ระดับหกมิใช่หรือ? เหตุใดมันถึงคิดชักดาบออกมา?
หรือว่า… แท้จริงแล้วมันจะเป็นผู้บ่มเพาะขนาน?
ในวินาทีที่นางได้เห็นดาบกระดูกนั้นสีหน้าของหลู่ซือยีก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด
ความสงสัยมึนงงมันเกิดขึ้นมาเต็มหัวใจของนาง
วันนี้ผู้ตรวจการสิบเมืองสันเขาใต้ที่นางคิดไว้ว่าเขาเป็นได้เพียงคนเถื่อนนั้นมันได้นำพาความแปลกประหลาดใจมาให้แก่นางได้อย่างมากมาย
หลู่ซือยีนั้นกลับมาตั้งสติได้อย่างรวดเร็วก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ยังเชื่อมั่นใจตนเอง “ข้าประมาทเจ้าไปจริงๆ แต่ทว่า… มันก็เปล่าประโยชน์! วิชาดาบห้าธาตุของข้านั้นมันไม่มีจุดอ่อน”
“เรอะ?”
เย่หยวนยิ้มออกมาด้วยสีหน้าดูถูกก่อนจะจับดาบมั่นและพุ่งตัวเข้าไปจนทำให้ภาพร่างของตัวเขาเบลอเลือนราง
นั่นทำให้หลู่ซือยีต้องเบิกตากว้างอีกครั้งด้วยความตื่นตะลึง
แนวคิดแห่งห้วงมิติ!
ที่สำคัญมันยังเป็นถึงแนวคิดแห่งห้วงมิติห้าดาว!
เจ้าเด็กคนนี้มันมิใช่แค่มีร่างกายที่แข็งแกร่งแต่มันยังมีความเข้าใจในแนวคิดที่ลึกล้ำ
แต่ทว่าตัวนางเองก็ไม่มีเวลาจะมาตื่นตกใจมากมายนัก
เพราะดาบของเย่หยวนนั้นมันสุดแสนที่จะรุนแรงพุ่งเข้ามาหาตัวหลู่ซือยีอย่างไม่เปิดโอกาสให้เลี่ยงหลบ
นางจึงได้ยกดาบขึ้นมาฟันกลับไปด้วยพลังแห่งธาตุทั้งสามอย่างนั้น
‘ปัง!’
เย่หยวนนั้นใช้คลื่นดาบเข้าปะทะกับแนวคิดแห่งดินของหลู่ซือยี
แนวคิดแห่งดินนั้นย่อมจะมีพลังจากปฐพี มีพลังป้องกันแสนเหนือล้ำ
แต่ด้วยดาบของเย่หยวนนี้การป้องกันใดๆ ของแนวคิดแห่งดินก็ย่อมไม่อาจจะป้องกันมันไว้ได้จึงแทบจะจางหายไปในพริบตา
แต่ทว่าสิ่งที่น่าเกรงกลัวที่สุดของการใช้แนวคิดแห่งธาตุทั้งห้านั้นมันมิใช่พลังของแต่ละแนวคิด
ธาตุทั้งห้านั้นเป็นสิ่งที่เกื้อหนุนและขัดแย้งซึ่งกันและกัน ตราบเท่าที่ผู้ใช้ได้ใช้มันออกมาอย่างถูกต้องเหมาะสมมันก็ย่อมจะทำให้เกิดพลังที่รุนแรงกว่าเก่านับสิบๆ เท่าหรืออาจจะถึงร้อยๆ เท่าจากพลังของแนวคิดเดิม
ในเวลานี้แนวคิดแห่งไม่ได้ผสานเข้าช่วยเหลือแนวคิดแห่งดินรวมกับการเสริมสร้างจากพลังแนวคิดแห่งน้ำทำให้ตอนนี้ดาบของเย่หยวนนั้นมันกลับเหมือนจะตกลงสู่ทรายดูด
ทำให้พลังอันแสนรุนแรงในดาบแรกของเย่หยวนได้ถูกหลู่ซือยีแก้ไขลงอย่างง่ายดายเช่นนั้น
มันรวดเร็วจนคนอื่นๆ ไม่อาจอธิบายได้ทัน
แม้ว่าการบอกอธิบายขั้นตอนมันจะทำให้ฟังดูยืดยาวแต่ในความเป็นจริงเรื่องราวมันกลับเกิดขึ้นในชั่วพริบตา
แต่ทว่าเย่หยวนเองก็ยกดาบขึ้นเป็นวงก่อนจะขยับเคลื่อนร่างใช้ดาบที่สองออกมาตาม
คลื่นพลังแนวคิดแสนรุนแรงเข้าปะทะกันทำให้เหล่านักยุทธ์ทั้งหลายในเมืองย่อมจะถอยออกไปห่างไกล มีหรือที่พวกเขาจะกล้าอยู่ใกล้กับขุมพลังเช่นนั้น?
เพราะนี่คือการต่อสู้ของเทพถ่องแท้ ผู้คนที่ชมดูทั้งหลายแค่ถูกลมจากปลายดาบของพวกเขาก็อาจจะแตกสลายลงได้!
เย่หยวนนั้นยังคงฟาดฟันออกมาอย่างต่อเนื่องแต่ไม่ว่าจะฟาดฟันเข้าไปมากมายเพียงใดมันก็ไม่อาจจะทะลุผ่านแนวคิดแห่งธาตุทั้งห้าของหลู่ซือยีไปได้
หลู่ซือยีนั้นย่อมสามารถใช้พลังเกื้อหนุนของธาตุทั้งห้าออกมาได้อย่างเหนือล้ำ
เมื่อธาตุทั้งห้านั้นถูกใช้งานออกมาอย่างต่อเนื่องรวดเร็วเกิดกลายเป็นวังวนอันไม่สิ้นสุด แม้แต่เย่หยวนก็ย่อมไม่อาจจะทะลวงเข้าไปได้
แต่ทว่าทางหลู่ซือยีเองก็ได้แต่ป้องกันเย่หยวนอย่างที่ไม่อาจจะหาช่องว่างตอบกลับใดๆ มาได้เช่นกัน
เมื่อสองยอดฝีมือได้ต่อสู้กันดังนี้มันจึงทำให้ฟ้าดินของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เกิดความปั่นป่วนขึ้นอย่างมากมายมันเป็นคลื่นพลังที่เหนือล้ำจนทำให้ผู้คนต้องตกตะลึง
“ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะสามารถผสานแนวคิดแห่งดาบเข้ากับแนวคิดแห่งห้วงมิติได้ น่าเหลือเชื่อจริงๆ แต่ทว่ามันก็เปล่าประโยชน์ ธาตุทั้งห้าของข้าย่อมจะไม่ปล่อยให้เจ้าได้มีโอกาสชนะ” หลู่ซือยีพูดขึ้นด้วยท่าทางใจเย็น
แต่จู่ๆ เย่หยวนก็ชักดาบกลับไปและถอยหลังไปไกล
หลู่ซือยีมองดูเย่หยวนด้วยรอยยิ้มที่เย็นเยือก “หืม? เจ้ายอมแพ้แล้วหรือ? เช่นนั้นก็ถึงเวลาของข้าบ้าง!”
เย่หยวนมองดูหลู่ซือยีและตอบกลับไป “ไม่ต้องหรอก! ข้านั้นจะไม่มีโอกาสได้ลงมือใดๆ เพราะสุดท้ายพลังของธาตุทั้งห้ามันก็ทำได้แค่นี้ ตอนนี้มันถึงเวลาที่เจ้าจะต้องตายลงแล้ว!”
หลู่ซือยีนั้นตอบกลับมาด้วยใบหน้าแสนเย่อหยิ่ง “เจ้าโง่เง่า ยังไม่รู้อีกหรือว่าพลังฝีมือของตนมีเท่าไหร่? ข้านั้นเข้าใจถึงพลังของเจ้าอย่างถ่องแท้แล้ว ตอนนี้จงรับดาบของข้าไปเสีย!”
พูดจบหลู่ซือยีก็ได้ฟาดดาบออกมาพร้อมด้วยพลังแห่งธาตุทั้งห้าที่เกื้อหนุนกันอย่างเหนือล้ำจนเกิดคลื่นพลังที่น่าขนลุก
เย่หยวนนั้นเพียงแค่มองดูภาพตรงหน้าอย่างใจเย็นพร้อมค่อยๆ รวบรวมพลังกล้ามเนื้อจากทั้งร่างกาย
ความรู้สึกรวมเป็นหนึ่งนั้นมันได้ส่งเข้าไปถึงเจ้าดาบกระดูกในมือของเขา
เจ้าดาบกระดูกนี้มันไม่ธรรมดาอย่างมาก สำหรับตัวเย่หยวนแล้วมันนับได้ว่าเป็นอาวุธที่สุดแสนเข้ามือ
เว้นเสียแต่ว่าคลื่นพลังของตัวเย่หยวนในเวลานี้มันไม่ได้แข็งแกร่งรุนแรงเหมือนอย่างที่หลู่ซือยีกำลังมี
แต่จู่ๆ ตัวเขากลับเบิกตากว้างขึ้นพร้อมแทงดาบออกมาด้วยท่าทางแสนธรรมดา
“ดาบสลักกลวง!”
แม้ว่ามันจะเป็นดาบสลักกลวงดาบเดิมแต่ท่าทางที่เขาแทงดาบออกมานี้มันกลับดูคล้ายกับดาบที่สามของเทพสวรรค์ห่าวหยู
เพียงแค่ว่าตอนนี้เย่หยวนเองก็ยังไม่อาจเลียนแบบการใช้ดาบในระดับนั้นได้
ยิ่งดาบนี้พลังที่น่าหวาดกลัวเท่าใดมันก็ยิ่งเป็นการยากที่จะควบคุม
ดาบสลักกลวงของเย่หยวนดาบนี้มันมีพลังที่รุนแรงจนเกินมือของเขาไปมาก
มันจึงทำให้ตอนนี้เจ้าดาบสลักกลวงที่ดูแสนธรรมดาของเย่หยวนนี้กำลังพุ่งเข้าไปปะทะกับดาบห้าธาตุของหลู่ซือยีที่หมุนวนมาด้วยคลื่นพลังมหาศาล
………………..