“ช่างเป็นวิชาการควบคุมไฟที่เหนือล้ำ! สามารถเผาหัวที่เต็มไปด้วยเส้นผมจนเกลี้ยงเกลาได้ปานนั้น”
“ชายหนุ่มผู้นี้ช่างเก่งกาจนัก! ข้าก็นึกไปเสียว่าเขาโม้โอ้อวด!”
“ดูท่างานชุมนุมโอสถเมฆามันจะมีเสือหลับมังกรซ่อนเข้ามาร่วมงานเสียแล้ว!”
…
หลังเสียงหัวเราะนั้นจางหายไปทุกผู้คนต่างก็ได้เริ่มเข้าใจและตระหนักถึงความเก่งกาจของวิชาควบคุมไฟที่เย่หยวนใช้
ตอนนี้แม้แต่ตัวเจิ้งเฉียนเองก็ยังหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย
เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้มันเกิดขึ้นกับตัวเขาโดยตรง ไฟที่เผาไหม้อยู่บนหัวราวเป็นมีดโกนที่ตัดทำลายเส้นผมของเขาจนหมดสิ้น
แต่ตัวเขานั้นกลับไม่รู้สึกถึงความร้อนใดๆ
มันช่างเป็นวิชาการควบคุมไฟที่เหนือล้ำอย่างแท้จริง
ดูท่าแล้วแม้แต่พี่ปู้ฉุนก็คงไม่อาจทำได้ถึงขั้นนี้ใช่หรือไม่?
เจิ้งเฉียนได้แต่คิดอยู่ในใจ
เมื่อมองดูไปยังทิศทางที่เย่หยวนเดินจากไปเจิ้งเฉียนก็ได้แต่กัดฟันแน่นร้องขึ้น “เจ้าบ้านี่ อย่าให้ข้าได้เจอเจ้าอีกก็แล้ว! กล้ามาทำให้คนตระกูลเจิ้งเสียหน้าเช่นนี้นายน้อยผู้นี้จะต้องสั่งสอนเจ้าให้ได้!”
…
“นายท่าน เมื่อกี้ท่านเท่สุดๆ ไปเลย! หึๆ ไอ้เด็กคนนั้นมันก็ช่างกล้ามาท้าทายท่าน ไม่ประเมินตัวเองเสียจริงๆ” หนิงซืออวี๋ร้องกล่าว
เย่หยวนที่ได้ยินจึงหันมาเหลือกตาใส่นางทันที “เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกหรือ? ยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งใด? เจ้าไม่กลัวว่าลิ้นของตนนั้นมันจะขาดลงบ้างหรือ! มหาพิภพถงเทียนนั้นมียอดคนมากมายหลบซ่อนตัวไม่เปิดเผย ใครกันจะกล้าอ้างตัวว่าเป็นอันดับหนึ่งเหนือพวกเขาได้?”
เย่หยวนนั้นมั่นใจ แต่ไม่เคยลืมตัว
มหาพิภพถงเทียนนั้นมันสุดแสนยิ่งใหญ่ยอดอัจฉริยะนั้นมีมากมายดั่งดวงดาวบนฟากฟ้า
ตำแหน่งของอันดับหนึ่งนั้นมันยิ่งใหญ่เกินกว่าจะแบกรับไว้!
ต่อให้จะขึ้นไปถึงอาณาจักรบรรพกาลแต่ตัวเย่หยวนเองก็เคยพบเจอคนอย่างมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล
และขนาดคนเช่นนั้นยังไม่อาจรับชื่ออันดับหนึ่งไปได้จนต้องสร้างหมากล้อมนิรันดร์ ‘อย่าถาม’ ขึ้นมา
หนิงซืออวี๋นั้นรู้จักเย่หยวนมานานและย่อมจะรู้ถึงนิสัยของเขาอย่างดีนางจึงได้หัวเราะออกมา “ข้าไม่สนหรอก ไม่ว่าอย่างไรเสียในใจของข้าก็คิดว่าท่านนี่แหละคือยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่ง! ที่สำคัญหากนับกันแค่ในหมู่คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่แล้วใครกันที่จะเทียบเท่าท่านได้? ต่อให้ค้นหาทั้งมหาพิภพถงเทียนเองมันก็คงไม่อาจหาพบเจอหรอกใช่หรือไม่?”
เย่หยวนนั้นไม่อาจตอบโต้ใดๆ กลับไปได้จึงได้แต่ต้องยกมือขึ้นมาโบกปัดตัดเรื่องทิ้ง ไม่อยากเสียน้ำลายเถียงกับนางผู้นี้อีกต่อไป
ตัวเย่หยวนนั้นได้พาหนยิงซืออวี๋เดินชมรอบๆ เขตเมืองชั้นนอกและหาซื้อสมุนไพรต่างๆ นาๆ ที่หาได้ยากยิ่งก่อนจะคิดมุ่งหน้าเข้าไปยังเมืองชั้นในต่อ
และในเส้นทางเข้าสู่เมืองชั้นในนั้นตอนนี้มันได้มีกลุ่มทหารกลุ่มหนึ่งเฝ้าอยู่ แต่ละคนที่คิดเข้าไปต่างต้องผ่านการตรวจจากคนทั้งหลายนี้
คนทั้งสองนั้นกำลังจะเดินเข้าไปรับการตรวจก่อนที่จะเกิดเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากอีกฟากถนน
และหนึ่งในกลุ่มคนนั้นมีรูปร่างแสนสะดุดตา มันจะเป็นใครไปได้หากมิใช่เจิ้งเฉียน?
เมื่อหนิงซืออวี๋เห็นเจิ้งเฉียนนางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมาอีกครา
นายท่านของนางเองก็ช่างเป็นคนขี้เล่น เผาทำลายเส้นผมของเจิ้งเฉียนและไม่ยอมให้มันงอกกลับมาเสียด้วย
ชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งกลายเป็นเด็กน้อยหัวล้านไป วันหน้าจะยังมีหญิงใดหันมาสนใจอีก?
เจิ้งเฉียนนั้นหันมาพบเห็นพวกเย่หยวนเข้าจึงได้ร้องทักไว้
“พี่ปู้ฉุน เจ้าหมอนี่แหละที่มันอ้างว่าตัวเองเป็นยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่ง! พี่ต้องล้างแค้นให้ข้า!”
ที่ด้านข้างเจิ้งเฉียนนั้นมันมีชายหนุ่มอีกคนที่ดูอายุมากกว่าตัวเขาหน่อยกำลังจ้องมองมาทางเย่หยวนด้วยใบหน้าไม่ค่อยเป็นมิตร
เขาผู้นั้นค่อยๆ เดินเข้ามาหาเย่หยวนและกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มเย็นเยือก “ไอ้เด็กที่ขนเพชรยังไม่ทันขึ้นเช่นเจ้าก็กล้ามาเรียกตนว่าเป็นยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่ง? เจ้าหรือคือคนที่เผาเส้นผมของน้องเฉียน?”
“ฮ่าๆ ไอ้เด็กคนนี้มันคงมาจากบ้านนอกคอกนาไม่เคยได้เห็นโลกกว้าง คิดว่ามันมีความสามารถเท่านี้ก็เก่งกาจเหนือใครใต้ฟ้าดิน ในงานชุมนุมโอสถเมฆานี้แม้แต่พี่เจิ้งก็ยังไม่เองก็ยังไม่กล้าเรียกตัวว่าเป็นอันดับหนึ่ง แต่เจ้าเด็กคนนี้มันกลับกล้าอวดอ้างนามว่าเป็นอันดับหนึ่ง”
ชายหนุ่มอีกคนพูดขึ้นพร้อมจ้องมองดูเย่หยวนอย่างเย้ยหยัน
เจิ้งเฉียนเองก็ก้าวขึ้นมาเผชิญหน้ากับเย่หยวนเช่นกัน “พี่ปู้ฉุน เจ้าเด็กคนนี้มันโอหังอวดดีถึงขั้นบอกว่าหากอยากประลองกับมันเราต้องพาบรรพบุรุษตระกูลเจิ้งเราออกมาสู้เอง”
เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินพวกเขาทั้งหลายก็แสดงรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา
เด็กคนนี้มันอวดอ้างใดๆ อย่างไม่คิด!
ชายหนุ่มข้างกายเจิ้งปู้ฉุนจึงกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางดูถูก “ฮ่าๆ ไอ้เด็กคนนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าบรรพบุรุษต้นตระกูลเจิ้งนั้นเป็นใคร? ท่านนั้นเป็นถึงจอมเทพโอสถเจ็ดดาวอาณาจักรเต๋า แค่คนอย่างเจ้านี้ก็กล้าจะมาท้าทายบรรพบุรุษตระกูลเจิ้ง?”
คำพูดทั้งหลายนั้นถูกกล่าวขึ้นอย่างไม่มีหยุดเอาแต่ว่าดูถูกเย่หยวน ทำให้หนิงซืออวี๋เองก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป
นางนั้นจึงกล่าวขึ้นด้วยท่าทางดูถูก “จะเป็นจอมเทพโอสถเจ็ดดาวแล้วมันทำไม? แม้แต่เทพสวรรค์เปียวหยูท่านเองก็ยังนับถือนายท่านข้าว่าเป็นพี่น้อง! หรือว่าบรรพบุรุษของเจ้าผู้นี้จะเก่งกาจกว่าท่านเปียวหยู?”
เมื่อคำพูดนี้ถูกกล่าวคนทั้งหลายนั้นไม่เพียงแค่มึนงง แต่ยังหัวเราะลั่นกันขึ้นมา
ชายหนุ่มคนนั้นหัวเราะลั่นขึ้น “เทพสวรรค์เปียวหยู? หึๆ นังหนู เทพสวรรค์เปียวหยูท่านนั้นเป็นหนึ่งในปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมโอสถเมฆา ตำแหน่งของท่านสูงส่งเพียงใด? จะบอกว่าไอ้เด็กคนนี้นับท่านเป็นพี่น้อง? จะโม้อะไรก็หัดคิดเสียก่อนเถอะ เข้าใจไหม?”
เจิ้งเฉียนส่ายหัวออกมาเมื่อได้ยิน “ที่แท้เจ้าสองคนนี้มันก็เป็นเพียงคนขี้โม้ไม่กลัวฟ้าดิน ข้าก็นึกว่าจะเป็นยอดอัจฉริยะมาจากที่ใด ที่แท้ก็เป็นแค่คนโง่เง่า คนเช่นนี้มันย่อมต้องมีในงานชุมนุมโอสถเมฆาให้ได้สิน่า”
“ฮ่าๆ!”
คำพูดของคนทั้งสองนี้เรียกเสียงหัวเราะลั่นจากรอบทิศขึ้นมาได้
ตัวตนของเทพสวรรค์เปียวหยูนั้นยิ่งใหญ่ปานใด? เขานั้นคือยอดอัจฉริยะที่ยืนเทียบเคียงกับเทพสวรรค์ดันหยู่แห่งยอดเมืองหลวงจักรพรรดิโอสถเมฆา
ภายใต้จักรพรรดิเทพสวรรค์แล้วพวกเขานับได้ว่าเป็นตัวตนผู้อยู่ในจุดสูงสุด
แล้วคนเช่นนั้นกลับจะเรียกเทพถ่องแท้ผู้หนึ่งว่าเป็นพี่น้อง?
จะล้อเล่นกันหนักไปแล้ว!
เย่หยวนได้แต่เลิกคิ้วสูง “พูดจบหรือยัง? หากจบแล้วก็ไสหัวไปเสียที”
เจิ้งปู้ฉุนที่ได้ยินก็ขมวดคิ้วแน่น “เจ้าคิดจะเข้าไปในเมืองชั้นใน? เด็กน้อย เจ้ามีบัตรเชิญโอสถเมฆาหรือ?”
เย่หยวนตอบกลับไปด้วยใบหน้ามึนงง “บัตรเชิญโอสถเมฆา? คือสิ่งใดกัน?”
ชายหนุ่มที่ตามติดมาด้วยผู้นั้นเมื่อได้ยินจึงหัวเราะลั่นขึ้น “เจ้านั้นไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าบัตรเชิญโอสถเมฆามันคือสิ่งใดแต่ยังกล้ามาร่วมงานชุมนุมโอสถเมฆา? ข้าจะบอกเจ้าให้ มีเพียงนักหลอมโอสถที่ถือบัตรเชิญโอสถเมฆาเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปในเมืองชั้นในได้ ส่วนพวกเจ้ามาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเสียเถอะ”
เจิ้งเฉียนเองก็หัวเราะลั่นพูดเสริมขึ้น “ข้าก็นึกว่าเจ้าจะเป็นยอดฝีมือมาจากที่ใด เสียเวลาอยู่ครึ่งวันสุดท้ายกลับไม่รู้จักเสียแม้แต่บัตรเชิญโอสถเมฆา!”
ในเวลานี้เจิ้งเฉียนยิ่งมั่นใจหนักเข้าไปใหญ่ว่าเย่หยวนนั้นคงเป็นยอดคนจากตระกูลนักยุทธสักสาย แม้ว่าเขาจะมีวิชาต่อสู้ที่เหนือล้ำแต่ไม่ได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับโอสถใดๆ
ส่วนเรื่องการควบคุมไฟนั้นหากเป็นนักยุทธที่ฝึกฝนวิชาแนวคิดแห่งไฟแล้วมันก็ย่อมจะสามารถควบคุมไฟได้อย่างเหนือล้ำเช่นกัน
เขานั้นยอมรับว่าวิชาต่อสู้ของเย่หยวนนั้นเป็นสิ่งที่เหนือล้ำ แต่ในงานชุมนุมนักหลอมโอสถเช่นนี้แล้วเขาจะยังอวดอ้างตนใดๆ ได้?
ยอดอัจฉริยะจอมเทพโอสถนั้นไม่คิดจะสนใจเหล่านักยุทธทั่วๆ ไปอยู่แล้ว
เพราะว่าตัวตนของนักหลอมโอสถนั้นมันเหนือล้ำกว่านักยุทธทั่วๆ ไปมากมายนัก
เจิ้งปู้ฉุนจึงยกมือขึ้นมาโบกไล่ “รีบๆ ไสหัวไปเสียเถอะ อย่ามาทำให้ตัวเองขายหน้าไปมากกว่านี้เลย เจ้าเห็นสายตาของคนทั้งหลายหรือไม่? ตอนนี้เจ้ามันก็เป็นอะไรไปไม่ได้มากกว่าตัวตลก ที่แห่งนี้มันคือโลกของนักหลอมโอสถ เจ้านั้น… ไร้ค่าใด!”
ชายหนุ่มที่ตามติดมาด้วยอีกคนนั้นจึงได้หันหน้าไปร้องเรียกทหาร “ผู้บัญชาการกาน ดูท่าเจ้าเด็กคนนี้มันจะหน้าหนา คงต้องรบกวนท่านส่งมันไปหน่อยแล้ว!”
ผู้บัญชาการกานนั้นมองดูเรื่องราวมาตั้งแต่ต้นเมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาจึงได้เดินเข้ามาหาเย่หยวนในทันทีด้วยใบหน้าขึงขัง “เชิญกลับไปได้! หากไม่ไปแล้วข้าผู้นี้คงต้องเป็นคนไปส่งเจ้าที่นอกเมือง!”
ผู้บัญชาการกานนั้นเป็นถึงเทพถ่องแท้ห้าดาว ย่อมจะมีพลังมากพอที่จะข่มขู่ผู้คน
เย่หยวนมองดูที่ผู้บัญชาการกานก่อนจะหยิบเหรียญออกมา “ข้านั้นไม่มีบัตรเชิญโอสถเมฆาใดๆ นั่น แต่ใช้สิ่งนี้แทนได้หรือไม่?”
………………………..
“ช่างเป็นวิชาการควบคุมไฟที่เหนือล้ำ! สามารถเผาหัวที่เต็มไปด้วยเส้นผมจนเกลี้ยงเกลาได้ปานนั้น”
“ชายหนุ่มผู้นี้ช่างเก่งกาจนัก! ข้าก็นึกไปเสียว่าเขาโม้โอ้อวด!”
“ดูท่างานชุมนุมโอสถเมฆามันจะมีเสือหลับมังกรซ่อนเข้ามาร่วมงานเสียแล้ว!”
…
หลังเสียงหัวเราะนั้นจางหายไปทุกผู้คนต่างก็ได้เริ่มเข้าใจและตระหนักถึงความเก่งกาจของวิชาควบคุมไฟที่เย่หยวนใช้
ตอนนี้แม้แต่ตัวเจิ้งเฉียนเองก็ยังหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย
เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้มันเกิดขึ้นกับตัวเขาโดยตรง ไฟที่เผาไหม้อยู่บนหัวราวเป็นมีดโกนที่ตัดทำลายเส้นผมของเขาจนหมดสิ้น
แต่ตัวเขานั้นกลับไม่รู้สึกถึงความร้อนใดๆ
มันช่างเป็นวิชาการควบคุมไฟที่เหนือล้ำอย่างแท้จริง
ดูท่าแล้วแม้แต่พี่ปู้ฉุนก็คงไม่อาจทำได้ถึงขั้นนี้ใช่หรือไม่?
เจิ้งเฉียนได้แต่คิดอยู่ในใจ
เมื่อมองดูไปยังทิศทางที่เย่หยวนเดินจากไปเจิ้งเฉียนก็ได้แต่กัดฟันแน่นร้องขึ้น “เจ้าบ้านี่ อย่าให้ข้าได้เจอเจ้าอีกก็แล้ว! กล้ามาทำให้คนตระกูลเจิ้งเสียหน้าเช่นนี้นายน้อยผู้นี้จะต้องสั่งสอนเจ้าให้ได้!”
…
“นายท่าน เมื่อกี้ท่านเท่สุดๆ ไปเลย! หึๆ ไอ้เด็กคนนั้นมันก็ช่างกล้ามาท้าทายท่าน ไม่ประเมินตัวเองเสียจริงๆ” หนิงซืออวี๋ร้องกล่าว
เย่หยวนที่ได้ยินจึงหันมาเหลือกตาใส่นางทันที “เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกหรือ? ยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งใด? เจ้าไม่กลัวว่าลิ้นของตนนั้นมันจะขาดลงบ้างหรือ! มหาพิภพถงเทียนนั้นมียอดคนมากมายหลบซ่อนตัวไม่เปิดเผย ใครกันจะกล้าอ้างตัวว่าเป็นอันดับหนึ่งเหนือพวกเขาได้?”
เย่หยวนนั้นมั่นใจ แต่ไม่เคยลืมตัว
มหาพิภพถงเทียนนั้นมันสุดแสนยิ่งใหญ่ยอดอัจฉริยะนั้นมีมากมายดั่งดวงดาวบนฟากฟ้า
ตำแหน่งของอันดับหนึ่งนั้นมันยิ่งใหญ่เกินกว่าจะแบกรับไว้!
ต่อให้จะขึ้นไปถึงอาณาจักรบรรพกาลแต่ตัวเย่หยวนเองก็เคยพบเจอคนอย่างมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล
และขนาดคนเช่นนั้นยังไม่อาจรับชื่ออันดับหนึ่งไปได้จนต้องสร้างหมากล้อมนิรันดร์ ‘อย่าถาม’ ขึ้นมา
หนิงซืออวี๋นั้นรู้จักเย่หยวนมานานและย่อมจะรู้ถึงนิสัยของเขาอย่างดีนางจึงได้หัวเราะออกมา “ข้าไม่สนหรอก ไม่ว่าอย่างไรเสียในใจของข้าก็คิดว่าท่านนี่แหละคือยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่ง! ที่สำคัญหากนับกันแค่ในหมู่คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่แล้วใครกันที่จะเทียบเท่าท่านได้? ต่อให้ค้นหาทั้งมหาพิภพถงเทียนเองมันก็คงไม่อาจหาพบเจอหรอกใช่หรือไม่?”
เย่หยวนนั้นไม่อาจตอบโต้ใดๆ กลับไปได้จึงได้แต่ต้องยกมือขึ้นมาโบกปัดตัดเรื่องทิ้ง ไม่อยากเสียน้ำลายเถียงกับนางผู้นี้อีกต่อไป
ตัวเย่หยวนนั้นได้พาหนยิงซืออวี๋เดินชมรอบๆ เขตเมืองชั้นนอกและหาซื้อสมุนไพรต่างๆ นาๆ ที่หาได้ยากยิ่งก่อนจะคิดมุ่งหน้าเข้าไปยังเมืองชั้นในต่อ
และในเส้นทางเข้าสู่เมืองชั้นในนั้นตอนนี้มันได้มีกลุ่มทหารกลุ่มหนึ่งเฝ้าอยู่ แต่ละคนที่คิดเข้าไปต่างต้องผ่านการตรวจจากคนทั้งหลายนี้
คนทั้งสองนั้นกำลังจะเดินเข้าไปรับการตรวจก่อนที่จะเกิดเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากอีกฟากถนน
และหนึ่งในกลุ่มคนนั้นมีรูปร่างแสนสะดุดตา มันจะเป็นใครไปได้หากมิใช่เจิ้งเฉียน?
เมื่อหนิงซืออวี๋เห็นเจิ้งเฉียนนางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมาอีกครา
นายท่านของนางเองก็ช่างเป็นคนขี้เล่น เผาทำลายเส้นผมของเจิ้งเฉียนและไม่ยอมให้มันงอกกลับมาเสียด้วย
ชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งกลายเป็นเด็กน้อยหัวล้านไป วันหน้าจะยังมีหญิงใดหันมาสนใจอีก?
เจิ้งเฉียนนั้นหันมาพบเห็นพวกเย่หยวนเข้าจึงได้ร้องทักไว้
“พี่ปู้ฉุน เจ้าหมอนี่แหละที่มันอ้างว่าตัวเองเป็นยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่ง! พี่ต้องล้างแค้นให้ข้า!”
ที่ด้านข้างเจิ้งเฉียนนั้นมันมีชายหนุ่มอีกคนที่ดูอายุมากกว่าตัวเขาหน่อยกำลังจ้องมองมาทางเย่หยวนด้วยใบหน้าไม่ค่อยเป็นมิตร
เขาผู้นั้นค่อยๆ เดินเข้ามาหาเย่หยวนและกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มเย็นเยือก “ไอ้เด็กที่ขนเพชรยังไม่ทันขึ้นเช่นเจ้าก็กล้ามาเรียกตนว่าเป็นยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่ง? เจ้าหรือคือคนที่เผาเส้นผมของน้องเฉียน?”
“ฮ่าๆ ไอ้เด็กคนนี้มันคงมาจากบ้านนอกคอกนาไม่เคยได้เห็นโลกกว้าง คิดว่ามันมีความสามารถเท่านี้ก็เก่งกาจเหนือใครใต้ฟ้าดิน ในงานชุมนุมโอสถเมฆานี้แม้แต่พี่เจิ้งก็ยังไม่เองก็ยังไม่กล้าเรียกตัวว่าเป็นอันดับหนึ่ง แต่เจ้าเด็กคนนี้มันกลับกล้าอวดอ้างนามว่าเป็นอันดับหนึ่ง”
ชายหนุ่มอีกคนพูดขึ้นพร้อมจ้องมองดูเย่หยวนอย่างเย้ยหยัน
เจิ้งเฉียนเองก็ก้าวขึ้นมาเผชิญหน้ากับเย่หยวนเช่นกัน “พี่ปู้ฉุน เจ้าเด็กคนนี้มันโอหังอวดดีถึงขั้นบอกว่าหากอยากประลองกับมันเราต้องพาบรรพบุรุษตระกูลเจิ้งเราออกมาสู้เอง”
เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินพวกเขาทั้งหลายก็แสดงรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา
เด็กคนนี้มันอวดอ้างใดๆ อย่างไม่คิด!
ชายหนุ่มข้างกายเจิ้งปู้ฉุนจึงกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางดูถูก “ฮ่าๆ ไอ้เด็กคนนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าบรรพบุรุษต้นตระกูลเจิ้งนั้นเป็นใคร? ท่านนั้นเป็นถึงจอมเทพโอสถเจ็ดดาวอาณาจักรเต๋า แค่คนอย่างเจ้านี้ก็กล้าจะมาท้าทายบรรพบุรุษตระกูลเจิ้ง?”
คำพูดทั้งหลายนั้นถูกกล่าวขึ้นอย่างไม่มีหยุดเอาแต่ว่าดูถูกเย่หยวน ทำให้หนิงซืออวี๋เองก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป
นางนั้นจึงกล่าวขึ้นด้วยท่าทางดูถูก “จะเป็นจอมเทพโอสถเจ็ดดาวแล้วมันทำไม? แม้แต่เทพสวรรค์เปียวหยูท่านเองก็ยังนับถือนายท่านข้าว่าเป็นพี่น้อง! หรือว่าบรรพบุรุษของเจ้าผู้นี้จะเก่งกาจกว่าท่านเปียวหยู?”
เมื่อคำพูดนี้ถูกกล่าวคนทั้งหลายนั้นไม่เพียงแค่มึนงง แต่ยังหัวเราะลั่นกันขึ้นมา
ชายหนุ่มคนนั้นหัวเราะลั่นขึ้น “เทพสวรรค์เปียวหยู? หึๆ นังหนู เทพสวรรค์เปียวหยูท่านนั้นเป็นหนึ่งในปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมโอสถเมฆา ตำแหน่งของท่านสูงส่งเพียงใด? จะบอกว่าไอ้เด็กคนนี้นับท่านเป็นพี่น้อง? จะโม้อะไรก็หัดคิดเสียก่อนเถอะ เข้าใจไหม?”
เจิ้งเฉียนส่ายหัวออกมาเมื่อได้ยิน “ที่แท้เจ้าสองคนนี้มันก็เป็นเพียงคนขี้โม้ไม่กลัวฟ้าดิน ข้าก็นึกว่าจะเป็นยอดอัจฉริยะมาจากที่ใด ที่แท้ก็เป็นแค่คนโง่เง่า คนเช่นนี้มันย่อมต้องมีในงานชุมนุมโอสถเมฆาให้ได้สิน่า”
“ฮ่าๆ!”
คำพูดของคนทั้งสองนี้เรียกเสียงหัวเราะลั่นจากรอบทิศขึ้นมาได้
ตัวตนของเทพสวรรค์เปียวหยูนั้นยิ่งใหญ่ปานใด? เขานั้นคือยอดอัจฉริยะที่ยืนเทียบเคียงกับเทพสวรรค์ดันหยู่แห่งยอดเมืองหลวงจักรพรรดิโอสถเมฆา
ภายใต้จักรพรรดิเทพสวรรค์แล้วพวกเขานับได้ว่าเป็นตัวตนผู้อยู่ในจุดสูงสุด
แล้วคนเช่นนั้นกลับจะเรียกเทพถ่องแท้ผู้หนึ่งว่าเป็นพี่น้อง?
จะล้อเล่นกันหนักไปแล้ว!
เย่หยวนได้แต่เลิกคิ้วสูง “พูดจบหรือยัง? หากจบแล้วก็ไสหัวไปเสียที”
เจิ้งปู้ฉุนที่ได้ยินก็ขมวดคิ้วแน่น “เจ้าคิดจะเข้าไปในเมืองชั้นใน? เด็กน้อย เจ้ามีบัตรเชิญโอสถเมฆาหรือ?”
เย่หยวนตอบกลับไปด้วยใบหน้ามึนงง “บัตรเชิญโอสถเมฆา? คือสิ่งใดกัน?”
ชายหนุ่มที่ตามติดมาด้วยผู้นั้นเมื่อได้ยินจึงหัวเราะลั่นขึ้น “เจ้านั้นไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าบัตรเชิญโอสถเมฆามันคือสิ่งใดแต่ยังกล้ามาร่วมงานชุมนุมโอสถเมฆา? ข้าจะบอกเจ้าให้ มีเพียงนักหลอมโอสถที่ถือบัตรเชิญโอสถเมฆาเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปในเมืองชั้นในได้ ส่วนพวกเจ้ามาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเสียเถอะ”
เจิ้งเฉียนเองก็หัวเราะลั่นพูดเสริมขึ้น “ข้าก็นึกว่าเจ้าจะเป็นยอดฝีมือมาจากที่ใด เสียเวลาอยู่ครึ่งวันสุดท้ายกลับไม่รู้จักเสียแม้แต่บัตรเชิญโอสถเมฆา!”
ในเวลานี้เจิ้งเฉียนยิ่งมั่นใจหนักเข้าไปใหญ่ว่าเย่หยวนนั้นคงเป็นยอดคนจากตระกูลนักยุทธสักสาย แม้ว่าเขาจะมีวิชาต่อสู้ที่เหนือล้ำแต่ไม่ได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับโอสถใดๆ
ส่วนเรื่องการควบคุมไฟนั้นหากเป็นนักยุทธที่ฝึกฝนวิชาแนวคิดแห่งไฟแล้วมันก็ย่อมจะสามารถควบคุมไฟได้อย่างเหนือล้ำเช่นกัน
เขานั้นยอมรับว่าวิชาต่อสู้ของเย่หยวนนั้นเป็นสิ่งที่เหนือล้ำ แต่ในงานชุมนุมนักหลอมโอสถเช่นนี้แล้วเขาจะยังอวดอ้างตนใดๆ ได้?
ยอดอัจฉริยะจอมเทพโอสถนั้นไม่คิดจะสนใจเหล่านักยุทธทั่วๆ ไปอยู่แล้ว
เพราะว่าตัวตนของนักหลอมโอสถนั้นมันเหนือล้ำกว่านักยุทธทั่วๆ ไปมากมายนัก
เจิ้งปู้ฉุนจึงยกมือขึ้นมาโบกไล่ “รีบๆ ไสหัวไปเสียเถอะ อย่ามาทำให้ตัวเองขายหน้าไปมากกว่านี้เลย เจ้าเห็นสายตาของคนทั้งหลายหรือไม่? ตอนนี้เจ้ามันก็เป็นอะไรไปไม่ได้มากกว่าตัวตลก ที่แห่งนี้มันคือโลกของนักหลอมโอสถ เจ้านั้น… ไร้ค่าใด!”
ชายหนุ่มที่ตามติดมาด้วยอีกคนนั้นจึงได้หันหน้าไปร้องเรียกทหาร “ผู้บัญชาการกาน ดูท่าเจ้าเด็กคนนี้มันจะหน้าหนา คงต้องรบกวนท่านส่งมันไปหน่อยแล้ว!”
ผู้บัญชาการกานนั้นมองดูเรื่องราวมาตั้งแต่ต้นเมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาจึงได้เดินเข้ามาหาเย่หยวนในทันทีด้วยใบหน้าขึงขัง “เชิญกลับไปได้! หากไม่ไปแล้วข้าผู้นี้คงต้องเป็นคนไปส่งเจ้าที่นอกเมือง!”
ผู้บัญชาการกานนั้นเป็นถึงเทพถ่องแท้ห้าดาว ย่อมจะมีพลังมากพอที่จะข่มขู่ผู้คน
เย่หยวนมองดูที่ผู้บัญชาการกานก่อนจะหยิบเหรียญออกมา “ข้านั้นไม่มีบัตรเชิญโอสถเมฆาใดๆ นั่น แต่ใช้สิ่งนี้แทนได้หรือไม่?”
………………………..