ลั่วเยว่เบิกตากว้างถามขึ้นทันที “เพียงแค่อะไร?”
ทางเย่หยวนนั้นจึงหันหน้าไปมองยังหนิงซืออวี๋และการกระทำนี้มันได้ทำให้สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังตัวของนางด้วย
คนที่พอฉลาดบ้างย่อมจะเข้าใจได้ถึงเจตนาของเย่หยวนและทำให้คนทั้งหลายตื่นตะลึงไปทันที
และไม่นานนักพวกเขาก็ได้ยินเย่หยวนพูดบอกขึ้น “พวกเจ้าต้องชนะนางให้ได้ก่อน”
หนิงซืออวี๋หันกลับมามองเย่หยวนอย่างไม่คิดอยากเชื่อคำพูดนั้นพร้อมยกนิ้วขึ้นมาชี้ใบหน้าของตนเอง “ข้า?”
เย่หยวนพยักหน้าขึ้น “ใช่ เจ้านั่นแหละ!”
หนิงซืออวี๋แทบจะกระโดดขึ้นจากที่ด้วยความหวาดกลัว นางได้แต่ยกมือขึ้นมาโบกปัดเป็นพัลวัน “ไม่มีทางๆ! นายท่าน ข้าทำไม่ได้หรอก! ข้า… จะทำท่านเสียหน้าเปล่าๆ!”
หนิงซืออวี๋นั้นมั่นใจในตัวเย่หยวนอย่างมากแต่นางนั้นขาดความมั่นใจในตัวเอง
ในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นแม้นางจะเป็นยอดคนอัจฉริยะหาสิ่งใดเปรียบแต่ที่นี่มันที่ไหนกันเล่า?
ที่นี่มันคือยอดเมืองหลวงจักรพรรดิโอสถเมฆา ในงานชุมนุมโอสถเมฆา หัวใจของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งวิชาการโอสถในแดนใต้
เหล่ายอดอัจฉริยะตรงหน้านางนี้เองก็เป็นถึงยอดคนทายาทตระกูลใหญ่จากเมืองดัง แน่นอนว่าความสามารถของพวกเขาทั้งหลายนี้มันจะเกินรุ่นผู้คนหนุ่มสาวไปไกลลิบแล้ว
คนอย่างนางจะเอาอะไรไปเทียบกับคนทั้งหลายนี้?
เพราะเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นสุดท้ายแล้วมันก็เป็นได้แค่เมืองบ้านนอกเล็กๆ!
ความรู้สึกต่ำต้อยนั้นมันจึงไหลพล่านไปทั่วทั้งตัวของหนิงซืออวี๋
ทั้งยังเรื่องที่ว่าผู้คนตรงหน้านางทั้งหลายนี้เป็นถึงจอมเทพโอสถหกดาว ส่วนนางนั้นเป็นเพียงแค่จอมเทพโอสถห้าดาว
การท้าทายข้ามอาณาจักรเช่นนี้มันย่อมจะทำให้เกิดแรงกดดันมหาศาล
เพราะคนที่จะทำได้แบบเย่หยวนมันคงมีไม่มากนัก
เมื่อลั่วเยว่และพวกได้เห็นท่าทางนั้นของหนิงซืออวี๋พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา
“นาง… ปรมาจารย์เย่จะให้นางท้าทายพวกเราหรือ? ฮ่าๆๆ… เรานั้นล้วนเป็นจอมเทพโอสถหกดาว นี่มันผิดพลาดใดหรือไม่?” ลั่วเยว่ถามขึ้นด้วยเสียงหัวเราะ
“ฮ่าๆ!”
นั่นทำให้คนรอบๆ หัวเราะขึ้นตาม ดูท่าแล้วการกระทำนี้ของเย่หยวนมันจะตลกในสายตาของพวกเขาทั้งหลายมาก
หนิงซืออวี๋นั้นไม่ได้มีใบหน้าหรือท่าทางของยอดฝีมือเลยไม่ว่าจะมองในมุมใด
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่หยวนก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวออกมา “มันมิใช่ให้นางท้าทายเจ้า แต่เป็นพวกเจ้าต่างหากที่ต้องมาท้าทายนาง”
ลั่วเยว่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ต้องเบิกตากว้าง “ข้า? ท้าทายนาง? ล้อกันเล่นแล้ว! คนอย่างนาง แค่จอมเทพโอสถห้าดาวจะมีค่าใดให้ข้าต้องเป็นคนไปท้าทายนางกัน?”
เย่หยวนตอบกลับมาด้วยท่าทางสบาย “ได้ลองสู้แล้วเจ้าก็จะรู้ พวกเจ้าทั้งหลายแยกสู้ตัวต่อตัว ตราบเท่าที่เจ้าสามารถชนะนางได้พวกเจ้าก็จะมีสิทธิ์ท้าทายข้า”
ได้ยินเช่นนั้นพวกเขาทั้งหลายก็ได้แต่อมยิ้มออกมา ‘เจ้าเด็กนี่คงมิใช่คนโง่ไร้สมองหรอกใช่หรือไม่?’
คนเช่นนี้กลับมีเหรียญปรมาจารย์อยู่ในมือ มันเป็นการดูถูกเหรียญปรมาจารย์อย่างมาก!
“เอาล่ะ เรื่องนี้เจ้าพูดออกมาเองนะ!” ลั่วเยว่ยิ้มเยาะ
หนิงซืออวี๋นั้นได้แต่หันหน้ากลับมากระซิบบอกเย่หยวน “นายท่าน ข้าไม่ไหวหรอก ข้าทำไม่ได้!”
เย่หยวนหรี่ตาลงกล่าวขึ้นทันทีที่ได้ยิน “ติดตามข้ามากี่ปี หากเจ้ายังชนะพวกมันนี้ไม่ได้ก็อย่าได้กลับไปที่เมืองอินทรีสวรรค์อีก”
หนิงซืออวี๋หน้าถอดสีทันทีที่ได้ยินเพราะนางนั้นเห็นถึงความจริงจังบนใบหน้าเย่หยวน
หากนายท่านของนางไม่คิดจะให้นางกลับไปยังเมืองอินทรีสวรรค์จริงแล้วนางจะทำอย่างไรกับชีวิตต่อไป?
“นายท่าน ข้า… ข้าเข้าใจแล้ว!” หนิงซืออวี๋ร้องกัดฟันบอก
พูดจบนางก็หันมากัดฟันร้องใส่พวกลั่วเยว่ “พวกเจ้าคนใดจะเข้ามาก่อน?”
ลั่วเยว่ที่ได้ยินก็หัวเราะลั่นออกมา “นังหนู เจ้าคิดว่าตัวเองนั้นเป็นปรมาจารย์หรืออย่างไร? เจ้าไม่รู้หรือว่าพวกเราเป็นใคร?”
หนิงซืออวี๋ตอบกลับไปด้วยสีหน้าหนักแน่น “ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นใครมาจากไหน ข้าก็จะไม่ยอมแพ้ให้แก่เจ้า! ไม่เช่นนั้นแล้วนายท่านจะไม่ยอมให้ข้ากลับไปยังเมืองอินทรีสวรรค์อีก!”
เมื่อได้เห็นสีหน้านั้นของหนิงซืออวี๋เย่หยวนก็แทบจะหลุดขำออกมา
เพราะต่อให้นางจะแพ้จริงๆ เย่หยวนก็คงไม่ทิ้งนางไว้และห้ามไม่ให้กลับไปยังเมืองอินทรีสวรรค์หรอก
เพียงแค่ว่านางผู้นี้ขาดความมั่นใจในตัวเองมากจนเกินไป หากไม่กดดันนางเสียหน่อยนางคงไม่อาจจะแสดงพลังฝีมือที่แท้จริงออกมาได้
นางนั้นติดตามเย่หยวนมาหลายต่อหลายปีแน่นอนว่าวิชาความรู้ของนางย่อมจะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เรื่องนี้เย่หยวนเข้าใจดี
เหล่ายอดอัจฉริยะทั้งหลายนี้มันไม่มีทางเทียบนางได้เลย
ลั่วเยว่หัวเราะลั่นออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เช่นนั้นเจ้าคงไม่ได้กลับแล้ว เพราะไม่นานเจ้าจะได้แพ้จนต้องสงสัยในเส้นทางชีวิตของตน! ฮ่าๆๆ!”
เหล่าคนทั้งหลายนั้นต่างจ้องมองดูหนิงซืออวี๋ด้วยใบหน้าราวกับหมาป่าหิวกระหายที่จ้องจะกัดกระชากเหยื่อ
“เฮ้อ ลำบากนางหนูนี่แล้ว กลับมีเจ้านายไม่ได้เรื่องเช่นนี้”
“เหล่านักหลอมโอสถทั้งหลายนี้ต่างเป็นยอดอัจฉริยะในหมู่คนรุ่นๆ มีหรือที่จอมเทพโอสถห้าดาวผู้หนึ่งจะเทียบเคียงได้?”
“นางผู้นี้ช่างน่าสงสารแท้ ข้าว่านางคงไม่อาจชนะได้แม้แต่ศึกเดียว!”
…
เหล่าคนที่มามุงดูทั้งหลายต่างมองดูหนิงซืออวี๋อย่างสงสารพร้อมใช้สายตาแดกดันมองดูเย่หยวน
ปรมาจารย์ผู้นี้มันจะล้อเล่นผู้คนเกินไปแล้ว!
ตัวเขาเองเป็นขยะก็ยังไม่เท่าไหร่ มีหรือที่ต้องผลักคนรับใช้ลงกองไฟเช่นนี้ด้วย
หนิงซืออวี๋ร้องบอก “ชนะให้ได้แล้วค่อยพูด!”
ลั่วเยว่ยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยิน “ย่อมได้ ตู้รัวเฟยเจ้าลงไปดวลกับนาง!”
นั่นทำให้ชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดหรูหราเดินก้าวออกมาด้านหน้าพร้อมสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจว่าชัยชนะครั้งนี้จะเป็นของตนแน่แล้ว
“หึๆ สาวน้อย นายน้อยผู้นี้มาเพื่อท้าทายเจ้าแล้ว เจ้าต้องแสดงฝีมือมาหน่อยเล่า!” ตู้รัวเฟยบอก
…
ในเวลานี้ภายในร้านอาหารที่ด้านตะวันออกของตลาด หยุนยี่ เจิ้งปู้ฉุนและพวกต่างกำลังนั่งรับประทานอาหารกันอยู่อย่างสบายใจ
เมื่อได้ยินคำรายงานของคนรับใช้นั้นหยุนยี่ก็เงยหน้าขึ้นหัวเราะลั่น “ปรมาจารย์เย่ท่านนี้ก็คงสิ้นหนทางแล้วใช่หรือไม่? ถึงกลับคิดให้สาวใช้ออกมาท้าทายยอดอัจฉริยะแห่งงานชุมนุมโอสถเมฆา?”
เจิ้งปู้ฉุนหัวเราะขึ้นตาม “พี่หยุนยี่ก็กล่าวไม่ถูก ท่านไม่ได้ยินที่คนรับใช้ว่าหรือ? เป็นยอดอัจฉริยะแห่งงานชุมนุมโอสถเมฆาต่างหากที่ไปท้าทายนาง!”
พูดจบคนทั้งหลายก็หัวเราะลั่นจนห้องสั่นสะท้าน
หยุนยี่ส่ายหัวออกมาด้วยสภาพที่ยังไม่อาจหุบยิ้มลงได้ “ข้าก็คิดว่าเดิมทีมันจะมีฝีมือใด ไม่นึกเลยว่ามันจะไร้ค่าปานนี้ แม้ว่าพวกลั่วเยว่นั้นจะมิใช่ยอดคนในงานครั้งนี้แต่มันก็ยังติดหนึ่งในร้อยได้ง่ายๆ มีหรือที่สาวใช้ระดับห้าผู้หนึ่งจะมาเทียบเคียง?”
เจิ้งปู้ฉุนยิ้นตอบกลับมา “พี่หยุนยี่เองก็ช่างมีฝีมือแยบยล เปิดเผยที่อยู่ของเย่หยวนนั้นแก่ทุกคนจนทำให้ปรมาจารย์เย่ต้องเผยธาตุแท้ออกมา! ข้าล่ะสงสัยจริงๆ ว่าปรมาจารย์เย่นั้นจะจัดการเรื่องได้อย่างไร”
หยุนยี่ยกมือขึ้นมาโบกปัดพร้อมรอยยิ้ม “เรื่องง่ายๆ แค่นี้เหตุใดข้าจะจัดการไม่ได้? มาดื่มกันเถอะ ข้าว่าอีกไม่นานคงมีข่าวมาแน่แล้ว ถึงแม้ว่าเจ้าตู้รัวเฟยมันจะไม่ได้เก่งกาจมากมาย แต่แค่จัดการกับจอมเทพโอสถห้าดาวผู้หนึ่งมันก็ไม่น่าจะใช้เวลามากมายนัก”
พูดจบหยุนยี่ก็ยกสุราขึ้นดื่มอย่างรื่นรม
ในพริบตาสี่ชั่วโมงก็ได้ผ่านไป ระหว่างที่คนทั้งหลายนั้นกำลังนั่งคุยกันอยู่คนรับใช้ผู้เดิมก็ได้เปิดประตูโพล่งเข้ามา
หยุนยี่ที่เห็นท่าทางเช่นนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วตำหนิไป “เจ้าลืมมารยาทไว้ที่ไหนหรืออย่างไรถึงได้มีท่าทางเช่นนี้?”
คนรับใช้ที่ได้ยินจึงรีบก้มหัวลงคุกเข่าทันที “นายน้อย ขออภัยด้วย!”
หยุนยี่นั้นย่อมเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของตู้รัวเฟยและหนิงซืออวี๋จึงยกมือขึ้นมาโบกปัดพร้อมถามขึ้น “ว่าอย่างไร? ผลออกมาแล้วหรือ?”
คนรับใช้ผู้นั้นรีบตอบกลับมาทันที “ออกมาแล้ว! นายน้อยตู้รัวเฟยนั้นแพ้อย่างราบคาบ! ตอนนี้ทั้งถนนตะวันออกกำลังแตกตื่นกันยกใหญ่!”
“หะ? ตู้รัวเฟยแพ้? นี่มัน… จะเป็นไปได้อย่างไร?” หยุนยี่ร้องบอกขึ้นด้วยสีหน้าไม่คิดอยากเชื่อ
“เจ้าเข้าใจผิดหรือไม่? ตู้รัวเฟยนั้นมีวิชาโอสถถึงอาณาจักรต้นขั้นปลาย มีหรือที่เขาจะแพ้ให้กับเด็กน้อยจอมเทพโอสถห้าดาวนางหนึ่ง?” เจิ้งปู้ฉุนร้องถามขึ้นอย่างไม่คิดอยากเชื่อ
คนรับใช้นั้นจึงตอบกลับมา “ไม่มีทาง! เพราะข้าน้อยได้ไปดูมันมากับตา! แม่นางผู้นั้นมีวิชาที่เหนือล้ำกดดันนายน้อยตู้รัวเฟยจนสุดทาง สุดท้ายนางกลับหลอมโอสถขึ้นมาได้ถึงขั้นสูง!”
หยุนยี่และพวกต่างได้แต่อ้าปากค้างอย่างไม่คิดจะเชื่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้
……………….
ลั่วเยว่เบิกตากว้างถามขึ้นทันที “เพียงแค่อะไร?”
ทางเย่หยวนนั้นจึงหันหน้าไปมองยังหนิงซืออวี๋และการกระทำนี้มันได้ทำให้สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังตัวของนางด้วย
คนที่พอฉลาดบ้างย่อมจะเข้าใจได้ถึงเจตนาของเย่หยวนและทำให้คนทั้งหลายตื่นตะลึงไปทันที
และไม่นานนักพวกเขาก็ได้ยินเย่หยวนพูดบอกขึ้น “พวกเจ้าต้องชนะนางให้ได้ก่อน”
หนิงซืออวี๋หันกลับมามองเย่หยวนอย่างไม่คิดอยากเชื่อคำพูดนั้นพร้อมยกนิ้วขึ้นมาชี้ใบหน้าของตนเอง “ข้า?”
เย่หยวนพยักหน้าขึ้น “ใช่ เจ้านั่นแหละ!”
หนิงซืออวี๋แทบจะกระโดดขึ้นจากที่ด้วยความหวาดกลัว นางได้แต่ยกมือขึ้นมาโบกปัดเป็นพัลวัน “ไม่มีทางๆ! นายท่าน ข้าทำไม่ได้หรอก! ข้า… จะทำท่านเสียหน้าเปล่าๆ!”
หนิงซืออวี๋นั้นมั่นใจในตัวเย่หยวนอย่างมากแต่นางนั้นขาดความมั่นใจในตัวเอง
ในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นแม้นางจะเป็นยอดคนอัจฉริยะหาสิ่งใดเปรียบแต่ที่นี่มันที่ไหนกันเล่า?
ที่นี่มันคือยอดเมืองหลวงจักรพรรดิโอสถเมฆา ในงานชุมนุมโอสถเมฆา หัวใจของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งวิชาการโอสถในแดนใต้
เหล่ายอดอัจฉริยะตรงหน้านางนี้เองก็เป็นถึงยอดคนทายาทตระกูลใหญ่จากเมืองดัง แน่นอนว่าความสามารถของพวกเขาทั้งหลายนี้มันจะเกินรุ่นผู้คนหนุ่มสาวไปไกลลิบแล้ว
คนอย่างนางจะเอาอะไรไปเทียบกับคนทั้งหลายนี้?
เพราะเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นสุดท้ายแล้วมันก็เป็นได้แค่เมืองบ้านนอกเล็กๆ!
ความรู้สึกต่ำต้อยนั้นมันจึงไหลพล่านไปทั่วทั้งตัวของหนิงซืออวี๋
ทั้งยังเรื่องที่ว่าผู้คนตรงหน้านางทั้งหลายนี้เป็นถึงจอมเทพโอสถหกดาว ส่วนนางนั้นเป็นเพียงแค่จอมเทพโอสถห้าดาว
การท้าทายข้ามอาณาจักรเช่นนี้มันย่อมจะทำให้เกิดแรงกดดันมหาศาล
เพราะคนที่จะทำได้แบบเย่หยวนมันคงมีไม่มากนัก
เมื่อลั่วเยว่และพวกได้เห็นท่าทางนั้นของหนิงซืออวี๋พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา
“นาง… ปรมาจารย์เย่จะให้นางท้าทายพวกเราหรือ? ฮ่าๆๆ… เรานั้นล้วนเป็นจอมเทพโอสถหกดาว นี่มันผิดพลาดใดหรือไม่?” ลั่วเยว่ถามขึ้นด้วยเสียงหัวเราะ
“ฮ่าๆ!”
นั่นทำให้คนรอบๆ หัวเราะขึ้นตาม ดูท่าแล้วการกระทำนี้ของเย่หยวนมันจะตลกในสายตาของพวกเขาทั้งหลายมาก
หนิงซืออวี๋นั้นไม่ได้มีใบหน้าหรือท่าทางของยอดฝีมือเลยไม่ว่าจะมองในมุมใด
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่หยวนก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวออกมา “มันมิใช่ให้นางท้าทายเจ้า แต่เป็นพวกเจ้าต่างหากที่ต้องมาท้าทายนาง”
ลั่วเยว่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ต้องเบิกตากว้าง “ข้า? ท้าทายนาง? ล้อกันเล่นแล้ว! คนอย่างนาง แค่จอมเทพโอสถห้าดาวจะมีค่าใดให้ข้าต้องเป็นคนไปท้าทายนางกัน?”
เย่หยวนตอบกลับมาด้วยท่าทางสบาย “ได้ลองสู้แล้วเจ้าก็จะรู้ พวกเจ้าทั้งหลายแยกสู้ตัวต่อตัว ตราบเท่าที่เจ้าสามารถชนะนางได้พวกเจ้าก็จะมีสิทธิ์ท้าทายข้า”
ได้ยินเช่นนั้นพวกเขาทั้งหลายก็ได้แต่อมยิ้มออกมา ‘เจ้าเด็กนี่คงมิใช่คนโง่ไร้สมองหรอกใช่หรือไม่?’
คนเช่นนี้กลับมีเหรียญปรมาจารย์อยู่ในมือ มันเป็นการดูถูกเหรียญปรมาจารย์อย่างมาก!
“เอาล่ะ เรื่องนี้เจ้าพูดออกมาเองนะ!” ลั่วเยว่ยิ้มเยาะ
หนิงซืออวี๋นั้นได้แต่หันหน้ากลับมากระซิบบอกเย่หยวน “นายท่าน ข้าไม่ไหวหรอก ข้าทำไม่ได้!”
เย่หยวนหรี่ตาลงกล่าวขึ้นทันทีที่ได้ยิน “ติดตามข้ามากี่ปี หากเจ้ายังชนะพวกมันนี้ไม่ได้ก็อย่าได้กลับไปที่เมืองอินทรีสวรรค์อีก”
หนิงซืออวี๋หน้าถอดสีทันทีที่ได้ยินเพราะนางนั้นเห็นถึงความจริงจังบนใบหน้าเย่หยวน
หากนายท่านของนางไม่คิดจะให้นางกลับไปยังเมืองอินทรีสวรรค์จริงแล้วนางจะทำอย่างไรกับชีวิตต่อไป?
“นายท่าน ข้า… ข้าเข้าใจแล้ว!” หนิงซืออวี๋ร้องกัดฟันบอก
พูดจบนางก็หันมากัดฟันร้องใส่พวกลั่วเยว่ “พวกเจ้าคนใดจะเข้ามาก่อน?”
ลั่วเยว่ที่ได้ยินก็หัวเราะลั่นออกมา “นังหนู เจ้าคิดว่าตัวเองนั้นเป็นปรมาจารย์หรืออย่างไร? เจ้าไม่รู้หรือว่าพวกเราเป็นใคร?”
หนิงซืออวี๋ตอบกลับไปด้วยสีหน้าหนักแน่น “ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นใครมาจากไหน ข้าก็จะไม่ยอมแพ้ให้แก่เจ้า! ไม่เช่นนั้นแล้วนายท่านจะไม่ยอมให้ข้ากลับไปยังเมืองอินทรีสวรรค์อีก!”
เมื่อได้เห็นสีหน้านั้นของหนิงซืออวี๋เย่หยวนก็แทบจะหลุดขำออกมา
เพราะต่อให้นางจะแพ้จริงๆ เย่หยวนก็คงไม่ทิ้งนางไว้และห้ามไม่ให้กลับไปยังเมืองอินทรีสวรรค์หรอก
เพียงแค่ว่านางผู้นี้ขาดความมั่นใจในตัวเองมากจนเกินไป หากไม่กดดันนางเสียหน่อยนางคงไม่อาจจะแสดงพลังฝีมือที่แท้จริงออกมาได้
นางนั้นติดตามเย่หยวนมาหลายต่อหลายปีแน่นอนว่าวิชาความรู้ของนางย่อมจะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เรื่องนี้เย่หยวนเข้าใจดี
เหล่ายอดอัจฉริยะทั้งหลายนี้มันไม่มีทางเทียบนางได้เลย
ลั่วเยว่หัวเราะลั่นออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เช่นนั้นเจ้าคงไม่ได้กลับแล้ว เพราะไม่นานเจ้าจะได้แพ้จนต้องสงสัยในเส้นทางชีวิตของตน! ฮ่าๆๆ!”
เหล่าคนทั้งหลายนั้นต่างจ้องมองดูหนิงซืออวี๋ด้วยใบหน้าราวกับหมาป่าหิวกระหายที่จ้องจะกัดกระชากเหยื่อ
“เฮ้อ ลำบากนางหนูนี่แล้ว กลับมีเจ้านายไม่ได้เรื่องเช่นนี้”
“เหล่านักหลอมโอสถทั้งหลายนี้ต่างเป็นยอดอัจฉริยะในหมู่คนรุ่นๆ มีหรือที่จอมเทพโอสถห้าดาวผู้หนึ่งจะเทียบเคียงได้?”
“นางผู้นี้ช่างน่าสงสารแท้ ข้าว่านางคงไม่อาจชนะได้แม้แต่ศึกเดียว!”
…
เหล่าคนที่มามุงดูทั้งหลายต่างมองดูหนิงซืออวี๋อย่างสงสารพร้อมใช้สายตาแดกดันมองดูเย่หยวน
ปรมาจารย์ผู้นี้มันจะล้อเล่นผู้คนเกินไปแล้ว!
ตัวเขาเองเป็นขยะก็ยังไม่เท่าไหร่ มีหรือที่ต้องผลักคนรับใช้ลงกองไฟเช่นนี้ด้วย
หนิงซืออวี๋ร้องบอก “ชนะให้ได้แล้วค่อยพูด!”
ลั่วเยว่ยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยิน “ย่อมได้ ตู้รัวเฟยเจ้าลงไปดวลกับนาง!”
นั่นทำให้ชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดหรูหราเดินก้าวออกมาด้านหน้าพร้อมสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจว่าชัยชนะครั้งนี้จะเป็นของตนแน่แล้ว
“หึๆ สาวน้อย นายน้อยผู้นี้มาเพื่อท้าทายเจ้าแล้ว เจ้าต้องแสดงฝีมือมาหน่อยเล่า!” ตู้รัวเฟยบอก
…
ในเวลานี้ภายในร้านอาหารที่ด้านตะวันออกของตลาด หยุนยี่ เจิ้งปู้ฉุนและพวกต่างกำลังนั่งรับประทานอาหารกันอยู่อย่างสบายใจ
เมื่อได้ยินคำรายงานของคนรับใช้นั้นหยุนยี่ก็เงยหน้าขึ้นหัวเราะลั่น “ปรมาจารย์เย่ท่านนี้ก็คงสิ้นหนทางแล้วใช่หรือไม่? ถึงกลับคิดให้สาวใช้ออกมาท้าทายยอดอัจฉริยะแห่งงานชุมนุมโอสถเมฆา?”
เจิ้งปู้ฉุนหัวเราะขึ้นตาม “พี่หยุนยี่ก็กล่าวไม่ถูก ท่านไม่ได้ยินที่คนรับใช้ว่าหรือ? เป็นยอดอัจฉริยะแห่งงานชุมนุมโอสถเมฆาต่างหากที่ไปท้าทายนาง!”
พูดจบคนทั้งหลายก็หัวเราะลั่นจนห้องสั่นสะท้าน
หยุนยี่ส่ายหัวออกมาด้วยสภาพที่ยังไม่อาจหุบยิ้มลงได้ “ข้าก็คิดว่าเดิมทีมันจะมีฝีมือใด ไม่นึกเลยว่ามันจะไร้ค่าปานนี้ แม้ว่าพวกลั่วเยว่นั้นจะมิใช่ยอดคนในงานครั้งนี้แต่มันก็ยังติดหนึ่งในร้อยได้ง่ายๆ มีหรือที่สาวใช้ระดับห้าผู้หนึ่งจะมาเทียบเคียง?”
เจิ้งปู้ฉุนยิ้นตอบกลับมา “พี่หยุนยี่เองก็ช่างมีฝีมือแยบยล เปิดเผยที่อยู่ของเย่หยวนนั้นแก่ทุกคนจนทำให้ปรมาจารย์เย่ต้องเผยธาตุแท้ออกมา! ข้าล่ะสงสัยจริงๆ ว่าปรมาจารย์เย่นั้นจะจัดการเรื่องได้อย่างไร”
หยุนยี่ยกมือขึ้นมาโบกปัดพร้อมรอยยิ้ม “เรื่องง่ายๆ แค่นี้เหตุใดข้าจะจัดการไม่ได้? มาดื่มกันเถอะ ข้าว่าอีกไม่นานคงมีข่าวมาแน่แล้ว ถึงแม้ว่าเจ้าตู้รัวเฟยมันจะไม่ได้เก่งกาจมากมาย แต่แค่จัดการกับจอมเทพโอสถห้าดาวผู้หนึ่งมันก็ไม่น่าจะใช้เวลามากมายนัก”
พูดจบหยุนยี่ก็ยกสุราขึ้นดื่มอย่างรื่นรม
ในพริบตาสี่ชั่วโมงก็ได้ผ่านไป ระหว่างที่คนทั้งหลายนั้นกำลังนั่งคุยกันอยู่คนรับใช้ผู้เดิมก็ได้เปิดประตูโพล่งเข้ามา
หยุนยี่ที่เห็นท่าทางเช่นนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วตำหนิไป “เจ้าลืมมารยาทไว้ที่ไหนหรืออย่างไรถึงได้มีท่าทางเช่นนี้?”
คนรับใช้ที่ได้ยินจึงรีบก้มหัวลงคุกเข่าทันที “นายน้อย ขออภัยด้วย!”
หยุนยี่นั้นย่อมเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของตู้รัวเฟยและหนิงซืออวี๋จึงยกมือขึ้นมาโบกปัดพร้อมถามขึ้น “ว่าอย่างไร? ผลออกมาแล้วหรือ?”
คนรับใช้ผู้นั้นรีบตอบกลับมาทันที “ออกมาแล้ว! นายน้อยตู้รัวเฟยนั้นแพ้อย่างราบคาบ! ตอนนี้ทั้งถนนตะวันออกกำลังแตกตื่นกันยกใหญ่!”
“หะ? ตู้รัวเฟยแพ้? นี่มัน… จะเป็นไปได้อย่างไร?” หยุนยี่ร้องบอกขึ้นด้วยสีหน้าไม่คิดอยากเชื่อ
“เจ้าเข้าใจผิดหรือไม่? ตู้รัวเฟยนั้นมีวิชาโอสถถึงอาณาจักรต้นขั้นปลาย มีหรือที่เขาจะแพ้ให้กับเด็กน้อยจอมเทพโอสถห้าดาวนางหนึ่ง?” เจิ้งปู้ฉุนร้องถามขึ้นอย่างไม่คิดอยากเชื่อ
คนรับใช้นั้นจึงตอบกลับมา “ไม่มีทาง! เพราะข้าน้อยได้ไปดูมันมากับตา! แม่นางผู้นั้นมีวิชาที่เหนือล้ำกดดันนายน้อยตู้รัวเฟยจนสุดทาง สุดท้ายนางกลับหลอมโอสถขึ้นมาได้ถึงขั้นสูง!”
หยุนยี่และพวกต่างได้แต่อ้าปากค้างอย่างไม่คิดจะเชื่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้
……………….