“ไป ไปหาข่าวมาเพิ่ม!” หยุนยี่กัดฟันร้องบอก
คนรับใช้ผู้นั้นจึงรีบมุ่งหน้ากลับออกไปในทันที
หยุนยี่นั้นมีสีหน้าที่น่าดูชมมาก เดิมทีเขานั้นคิดว่าเย่หยวนนั้นเป็นเพียงแค่ปรมาจารย์ที่ไร้ฝีมือ แต่นางคนรับใช้ของเขานี้กลับสามารถเอาชนะยอดอัจฉริยะโอสถในแดนใต้ลงได้
ที่สำคัญกว่านั้นคือนางผู้นี้มันเป็นเพียงแค่จอมเทพโอสถห้าดาว!
“หรือว่า… เย่หยวนผู้นี้จะเป็นปรมาจารย์อย่างแท้จริง?” เจิ้งปู้ฉุนบอกขึ้นด้วยน้ำเสียงแสนแผ่วเบา
หยุนยี่ที่ได้ยินก็ยิ้มขึ้น “เจ้าเคยได้ยินว่ามีปรมาจารย์ที่ไหนอายุแค่พันกว่าปีไหมเล่า? เว้นเสียแต่ว่าเขาจะเป็นศิษย์ของโอสถบรรพกาลโดยตรง ไม่เช่นนั้นแล้ว… อย่าได้แม้แต่จะคิด!”
เจิ้งปู้ฉุนแทบสำลักเมื่อได้ยินเช่นนั้นและได้แต่คิดว่าตนคงคิดมากไปจริงๆ
หากอยากขึ้นไปให้ถึงระดับปรมาจารย์แล้วคนผู้นั้นย่อมจะต้องมีวิชาโอสถในอาณาจักรเต๋าขั้นกลางหรือขั้นปลาย
การบรรลุขึ้นในเต๋าโอสถนั้นมันสุดแสนยากเย็น อย่าว่าแต่อาณาจักรเต๋า แม้แต่อาณาจักรต้นก็ยังเป็นเรื่องที่แสนยากลำบาก
มีเพียงแค่งานใหญ่อย่างงานชุมนุมโอสถเมฆานี้เท่านั้นที่จะได้เห็นอาณาจักรต้นขั้นกลางขั้นปลายเดินกันทั่วเมือง หรือาจจะมีถึงขั้นอาณาจักรต้นขั้นสูงสุด
ส่วนพวกที่ขึ้นถึงอาณาจักรเต๋านั้นมันยิ่งหาได้ยากเย็น!
เพราะหลังจากก้าวขึ้นอาณาจักรเต๋าไปแล้วทุกย่างก้าวจากนั้นไปมันจะเป็นเรื่องสุดแสนยากเย็น
เหมือนดั่งที่เทพสวรรค์เปียวหยูต้องใช้เวลาเก็บเกี่ยวความรู้นับล้านๆ ปีก่อนจะขึ้นมาถึงจุดที่ยืนได้ในปัจจุบัน
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น หากไม่มีพรสวรรค์ที่เหนือล้ำแล้ว ต่อให้จะมีเวลาเป็นสิบๆ ล้านปีมันก็คงไม่อาจจะก้าวขึ้นไปถึงอาณาจักรเต๋าขั้นสุดได้ไม่ว่าจะทำอย่างไร
เหล่าคนที่มาร่วมงานชุมนุมโอสถเมฆานั้นล้วนแล้วต่างเป็นยอดอัจฉริยะด้านการโอสถที่มีอายุประมาณสามถึงห้าพันปี และการที่หยุนยี่ก้าวขึ้นมาถึงอาณาจักรต้นขั้นปลายนี้ได้ด้วยอายุเท่านี้ มันก็นับได้ว่าเป็นยอดอัจฉริยะหาตัวจับยากแล้ว
ส่วนระดับปรมาจารย์กับคนอายุเท่านี้มันจะเป็นไปได้อย่างไร?
“หึๆ หากมันสามารถก้าวขึ้นถึงระดับปรมาจารย์ได้ด้วยอายุเท่านี้ อย่าว่าแต่พวกเรา แต่มันจะไม่เท่ากับว่าชีวิตของท่านทวดหรือเทพสวรรค์เปียวหยูท่านทั้งหลายนั้นกลายเป็นเรื่องตลกหรือ?” หยุนยี่หัวเราะขึ้น
เจิ้งปู้ฉุนที่ได้ยินก็พยักหน้ารับออกมา “ที่พี่หยุนยี่ว่ามามันก็ใช่! ดูท่านางผู้นี้จะมีฝีมืออยู่บ้าง จึงพอจะใช้โชคเอาชนะตู้รัวเฟยมาได้!”
หยุนยี่พยักหน้ารับ “มันต้องใช่แน่!”
แต่ทว่าเรื่องราวมันกลับไม่เป็นไปดั่งที่พวกเขาคิดหวัง
เพราะไม่นานนักคนรับใช้ผู้นั้นก็กลับมารายงานอีก “หนิงซืออวี๋ชนะจ้านเจียชิงอย่างขาดลอย!”
“หนิงซืออวี๋ชนะจ้านซ่งฟางอย่างขาดลอย!”
…
ข่าวเรื่องนี้มันไหลเข้ามาเรื่อยจนทำให้คนภายในห้องนี้ได้แต่นั่งนิ่ง
แค่หนึ่งหรือสองคนมันอาจจะยังนับได้ว่าเป็นโชค
แต่ชนะเจ็ดถึงแปดคนติดๆ เช่นนี้มันยังเรียกว่าโชคได้?
การประลองนี้ดำเนินต่อเนื่องไปถึงสี่วันสี่คืน
จนในที่สุดแล้วพวกหยุนยี่ทั้งหลายก็รู้สึกชาไปทั้งหน้า
หนิงซืออวี๋ประลองกว่ายี่สิบศึกและชนะได้อย่างไร้พ่าย!
นี่มันคือความแข็งแกร่งที่ทำให้ผู้คนทั้งหลายแทบตาถลน
สภาพของถนนตะวันออกในเวลานี้มันเต็มเปี่ยมไปด้วยผู้คนเหล่านักหลอมโอสถทั้งหลายที่ได้ยินข่าวต่างมุ่งหน้ามาเพื่อดูการประลองนี้
“นางผู้นี้แข็งแกร่งปานนั้นได้อย่างไร? ดูสภาพของนางแล้วคงไม่ไกลจากอาณาจักรเต๋ามากแล้ว!”
“เหตุผลที่นางผู้นี้ติดตามเขามา หรือว่าปรมาจารย์เย่นั้นจะเป็นยอดอัจฉริยะโอสถอันดับหนึ่งจริงๆ?”
“นางผู้นี้เองก็มาเพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมโอสถเมฆาใช่หรือไม่? ด้วยพลังฝีมือระดับนี้แล้วในหมู่จอมเทพโอสถห้าดาวมันจะยังมีใครเทียบนางได้?”
…
เหล่าผู้คนที่มามุงดูนั้นต่างร่ำร้องขึ้นมาตามๆ กันจนตอนนี้พวกเขาทั้งหลายแทบจะก้มลงกราบหนิงซืออวี๋ไปแล้ว
การที่สามารถชนะจอมเทพโอสถหกดาวได้ด้วยกำลังของจอมเทพโอสห้าดาวนี้มันย่อมจะเป็นเรื่องราวที่ทุกผู้คนต้องยอมรับแก่ใจ
ในเวลานี้ลั่วเยว่นั้นได้แต่นั่งเหงื่อแตกพล่าน ความตื่นตะลึงในจิตใจของเขานั้นมันเหนือล้ำจนไม่อาจใช้คำใดมาบรรยาย
เขานั้นเองก็มิใช่คนโง่ไร้สมอง ตัวเขาเองก็มีเต๋าโอสถถึงอาณาจักรต้นขั้นปลาย ห่างจากขั้นสุดไปเพียงไม่มาก
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นหลังจากเขาได้ประลองกับหนิงซืออวี๋ไปถึงสี่ชั่วโมงเขาก็ได้พบว่าตัวเองนั้นถูกหนิงซืออวี๋กดดันจนไม่อาจโงหัวขึ้น
ในเวลานี้เขาไม่อาจจะแก้ไขสถานการณ์ใดๆ ได้และมีแต่ต้องยอมรับความพ่ายแพ้เพียงเท่านั้น
หลายวันมานี้ตัวเขาได้เฝ้าสังเกตหนิงซืออวี๋มาตลอด
จากความดูถูกเป็นความตกตะลึง กลายเป็นความเหลือเชื่อจนตอนนี้เขาไม่อาจจะใช้คำพูดใดๆ มาอธิบายความรู้สึกที่มีได้อีกต่อไปแล้ว
แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังมั่นใจในตัวเอง
ตามที่เขาสังเกตมานั้นหนิงซืออวี๋คงมีเต๋าโอสถในอาณาจักรต้นขั้นปลายเช่นเดียวกับตัวเขา
แต่อายุของนางนั้นอ่อนกว่าเขามากทำให้ลั่วเยว่มั่นใจว่าความรู้ของตนจะไม่แพ้ให้แก่หนิงซืออวี๋
แต่หลังจากได้เผชิญหน้ากันเขาก็ได้เข้าใจว่ามันมิใช่เลย!
หนิงซืออวี๋นั้นมีคลื่นพลังที่หนักแน่นตลอดเวลาที่หลอมโอสถ มันราวกับว่าเป็นคลื่นของทะเลที่ทอดตัวกว้างไกลอย่างไร้จุดบอดใดๆ
ในเวลาสี่ชั่วโมงนี้เขาไม่อาจจะหาช่องว่างใดๆ ได้เลย
แต่จู่ๆ คลื่นพลังของหนิงซืออวี๋ก็กลับพุ่งทะยานสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างรุนแรง
ลั่วเยว่รู้สึกราวกับว่าในเวลานี้มันได้มียอดเทพลงมาจุติต่อหน้าของเขาด้วยคลื่นพลังที่เหนือฟ้าล้นทะเล
คลื่นพลังที่แทบทำลายขุนเขาลงได้นั้นพุ่งทะยานข้ามมหาสมุทร
‘อ่อก!’
จนในที่สุดเขาก็ไม่อาจอดทนไหวต้องกระอักเลือดออกมาคำโต
เขานั้นได้แต่มองดูหนิงซืออวี๋อย่างตกตะลึงไม่คิดอยากเชื่อสายตา
“นาง… นางบรรลุแล้ว!”
เย่หยวนเองก็มองดูไปยังหนิงซืออวี๋ด้วยท่าทางโล่งอก
เหตุผลที่เขาพาตัวหนิงซืออวี๋ติดตามมายังงานชุมนุมโอสถเมฆาด้วยนั้นมันก็เพื่อที่จะหาโอกาสให้นางได้บรรลุขึ้นมา
เพราะด้วยยอดอัจฉริยะมากมายที่มารวมตัวกันมันย่อมจะเป็นสถานที่อันเหมาะสมที่จะฝึกฝนตัว
หนิงซืออวี๋เองก็ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวังจริงๆ ภายใต้แรงกดดันจากเย่หยวนนางได้ใช้ความกล้าอันมหาศาลออกมาจนสามารถบรรลุอาณาจักรต้นขั้นสุดได้
เมื่อก้าวมาถึงตรงนี้นางย่อมจะสามารถเริ่มก้าวเดินสู่อาณาจักรเต๋าได้เสียที
“อาณาจักรต้นขั้นสุด! จอมเทพโอสถห้าดาวนั้นก็สามารถขึ้นถึงอาณาจักรต้นขั้นสุดได้! นี่มัน… ช่างเป็นยอดอัจฉริยะอะไรเช่นนี้!”
“เหตุใดยอดอัจฉริยะเช่นนี้มันจึงไม่เคยสร้างชื่อที่ใดมาก่อนเลย?”
“หรือว่าเด็กสาวคนนี้จะได้ปรมาจารย์เย่สั่งสอนมาจริงๆ? แต่… อายุของตัวเขานั้นมันอ่อนกว่านางเสียด้วยซ้ำ!”
…
เสียงพูดคุยดังลั่นสนั่นไปทั่วทุกทิศ พวกเขานั้นเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเย่หยวนจะอ่อนแออย่างที่พวกเขาทั้งหลายเคยคิดหรือไม่
ในเวลานี้หนิงซืออวี๋จึงได้เบิกตากว้างร้องบอกคนทั้งหลาย “จอมเทพโอสถห้าดาวขึ้นถึงอาณาจักรต้นขั้นสุดแล้วมันจะทำไม? ตอนที่นายท่านข้าเป็นแค่จอมเทพโอสถสามดาวตัวเขานั้นก็ได้ก้าวขึ้นไปถึงอาณาจักรเต๋าเรียบร้อยแล้ว! เขานี่แหละคือยอดอัจฉริยะที่แท้จริง!”
หลังจากบรรลุขึ้นอาณาจักรต้นขั้นสุดมาได้หนิงซืออวี๋ก็รู้สึกราวกับว่าความคิดของนางได้เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ
เดิมทีนางนั้นคิดว่าตัวเองคงไม่อาจไปเทียบเคียงกับเหล่าทายาทตระกูลใหญ่โตทั้งหลายนี้ได้
แต่ตอนนี้นางนั่นมั่นใจเต็มเปี่ยม!
ตอนนี้นางไม่อาจจะหาคู่มือในคนรุ่นเดียวกันได้อีกแล้ว
เพราะเหล่าจอมเทพโอสถหกดาวทั้งหลายนี้ก็ยังแพ้พ่ายต่อหน้านางมิใช่หรือ?
แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือนางยิ่งรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของเย่หยวน
แค่การขึ้นอาณาจักรต้นขั้นสุดยังยากเย็นปานนี้ แล้วเย่หยวนไปทำอย่างไรถึงขึ้นอาณาจักรเต๋าได้ตั้งแต่อยู่ในอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า?
คนอย่างเขายังไม่สมควรได้รับฉายายอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งอีกหรือ?
ในใจของหนิงซืออวี๋ ต่อให้เป็นโอสถบรรพกาลเองก็คงไม่อาจเก่งกาจได้ปานนี้หรอกใช่หรือไม่?
เพียงแค่ว่าคำพูดนี้ของนางมันได้สร้างเสียงฮือฮาไปทั่วทุกหย่อมหญ้า
“หะ? จอมเทพโอสถสามดาวก็ขึ้นอาณาจักรเต๋าได้แล้ว? นี่มัน… ล้อเล่นกันใช่หรือไม่?!”
“บ้าน่า! ไม่มีทางเป็นไปได้! หากมันเป็นเช่นนั้นจริงที่เราเรียกๆ กันว่าอัจฉริยะทั้งหลายนั้นคงไม่กล้าเป็นตัวตลกไปหมดหรือ?”
“นางผู้นี้ ต่อให้จะชนะนางก็ไม่ต้องไปยกยอเจ้าเด็กคนนั้นถึงขนาดนี้หรอกมิใช่หรือ? พูดเช่นนี้ออกมามันจะมีคนเอาไปเชื่อจนได้นา!”
…
หนิงซืออวี๋นั้นขึ้นมาถึงอาณาจักรต้นขั้นสุดในตอนที่ยังเป็นแค่จอมเทพโอสถห้าดาว แค่นี้มันก็ไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อนแล้ว
แต่ตอนนี้นางกลับจะบอกว่าเย่หยวนนั้นขึ้นอาณาจักรเต๋ามาได้ตั้งแต่ตอนที่เป็นแค่จอมเทพโอสถสามดาว เรื่องเช่นนี้มันย่อมไม่มีใครจะยอมเชื่อ!
เพราะหากเขาขึ้นอาณาจักรเต๋ามาได้ตั้งแต่เป็นจอมเทพโอสถสามดาวแล้ว ตอนนี้ตัวเขาที่เป็นจอมเทพโอสถหกดาว เขาจะพัฒนาตัวเองไปจนถึงอาณาจักรใด?
ในเวลานี้เย่หยวนก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนพร้อมเดินเข้าไปหาลั่วเยว่ “ดูท่าฝีมืออย่างเจ้ามันจะไม่มากพอมาท้าทายข้านะ กลับไปฝึกมาเสียใหม่เถอะ บางทีสักวันเจ้าอาจจะดีพอที่จะท้าทายข้าได้”
……………