“นายท่าน มีคนส่งจดหมายเชิญมาและคนส่งก็บอกมาว่าต้องให้ท่านเปิดอ่านเอง” หนิงซืออวี๋นำจดหมายเชิญฉบับหนึ่งมาให้แก่เย่หยวน
เย่หยวนเปิดจดหมายนั้นออกดูและก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น
หนิงซืออวี๋เองก็เริ่มเกิดสงสัยขึ้นมาจึงได้อ้อมมาดูด้านหลังของเย่หยวนและได้พบว่ามันคือจดหมายเชิญไปร่วมการชุมนุมวิชาโอสถ
“นายท่าน พวกเขาทั้งหลายนั้นเป็นถึงเทพสวรรค์ จอมเทพโอสถเจ็ดดาว! ชิๆ ปรมาจารย์นี่มันปรมาจารย์จริงๆ แม้แต่คนทั้งหลายนี้ก็ยังต้องเคารพ” หนิงซืออวี๋ร้องบอก
เย่หยวนที่ได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ปรมาจารย์? หึๆ ดูอย่างไรมันก็ต้องมีแผนการลับอะไรมิใช่หรือ?”
หนิงซืออวี๋ที่ได้ยินก็ตกตะลึงไปทันที
ในใจของนางนั้นเย่หยวนย่อมจะเป็นยอดคนในระดับเดียวกับเหล่าจอมเทพโอสถเจ็ดดาวทั้งหลายได้ ความคิดแรกของนางมันจึงเป็น ‘สมแล้ว’ คิดว่าเย่หยวนนั้นยอดเยี่ยมตามที่นางคาด
แต่เมื่อได้คิดดูอย่างถี่ถ้วนอีกครั้งนางก็เข้าใจทันทีว่ามันไม่ถูกต้อง
นางคิดอย่างหนึ่ง แต่คนทั้งหลายนั้นไม่ได้คิดอย่างนาง!
มีหรือที่เหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายนั้นจะมอบเย่หยวนว่าเหนือล้ำสูงส่ง เย่หยวนที่เป็นแค่จอมเทพโอสถหกดาวผู้นี้?
“เช่นนั้นเองหรือ? เช่นนั้นคงไม่ต้องไปแล้ว?” หนิงซืออวี๋ถามขึ้น
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ไปสิ ทำไมจะไม่ไปเล่า? การที่จะขึ้นมาเป็นถึงจอมเทพโอสถเจ็ดดาวมันย่อมจะมีความรู้ความสามารถกันไม่น้อย หากเป็นเช่นนั้นแล้วไปแลกเปลี่ยนความรู้กับพวกเขาจะเป็นปัญหาอย่างไร?”
เพราะที่เย่หยวนรับคำเชิญมางานชุมนุมโอสถเมฆานี้มันก็เพื่อจะได้พบเจอเหล่าจอมเทพโอสถเจ็ดดาวทั้งหลายนั้นเอง
เมื่อขึ้นมาจนถึงจอมเทพโอสถเจ็ดดาวได้มันย่อมจะมิใช่คนธรรมดา
เย่หยวนนั้นไม่เคยจะสงสัยในความสามารถของตน แต่ตัวเขาก็ไม่เคยอวดดีดูถูกผู้อื่น
ตอนนั้นในบึงเมฆเองเขาก็ได้ต่อสู้อย่างดุเดือดนับพันๆ ศึก แต่มันมิใช่เพื่อที่จะแสดงความเก่งกาจของตนเองแต่มันเพื่อที่จะเรียกรู้ความเก่งกาจจุดเด่นของผู้อื่น
หลังจากวันนั้นเขาก็ได้ความรู้กลับมามากมายจริงๆ จนทำให้ฝีมือวิชาโอสถพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด
การมายังงานชุมนุมโอสถเมฆาครั้งนี้เองก็มีเป้าหมายเดียวกัน
ส่วนเรื่องของพวกลั่วเยว่ทั้งหลายนั้นมันย่อมจะไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่หยวน มีหรือที่เขาจะยอมเสียแรงลงมือใดๆ
เพราะหากให้พูดเทียบถึงวิชายุทธแล้ว มันก็เหมือนการเอาจักรพรรดิเทพสวรรค์มานั่งแลกเปลี่ยนความรู้กับนภาสวรรค์
หากคิดจะแลกเปลี่ยนความรู้กับเย่หยวน อีกฝ่ายนั้นก็ย่อมจะต้องมีวิชาโอสถอาณาจักรเต๋าขั้นกลางขึ้นไป
หนิงซืออวี๋นั้นลังเลอยู่เล็กน้อย “แต่คนทั้งหลายนั้นมันไม่หวังดีนะ!”
เย่หยวนตอบกลับไป “หากคิดจะทำให้ข้าต้องลำบากแล้วพวกมันก็ต้องเก่งกาจให้ได้เท่าพี่เปียวหยูก่อน คนอย่างพวกมันนั้นไม่มีปัญญาพอหรอก”
ที่ด้านข้างหนิงซืออวี๋นั้นได้แต่มองภาพนี้อย่างหลงใหล
ความมั่นใจที่เย็นเยือกนี้มันย่อมจะเกิดขึ้นมาได้จากชัยชนะที่นับไม่ถ้วนของเขา
นิสัยเช่นนี้มันเหนือล้ำกว่านิสัยใดๆ ที่ชอบแสดงความดูถูกเหยียดหยามผู้คนมากนัก
คนเช่นนี้เองที่จะเป็นที่ต้องการหมายตาของสาวๆ มากหน้าหลายตา
แต่หนิงซืออวี๋นั้นย่อมเข้าใจดีว่าหัวใจของนายท่านนางนั้นมันมิได้อยู่ที่ตัวเขาอีกต่อไปแล้ว
หนิงซืออวี๋ในเวลานี้พึงพอใจในชีวิตอย่างมาก ตราบเท่าที่นางได้ติดตามนายท่านผู้นี้ไปนางก็ย่อมจะพึงพอใจจนถึงที่สุดแล้ว
…
“หยุด! ศาลาโอสถแห้งนั้นเป็นสถานที่สำคัญของยอดเมืองหลวงจักรพรรดิโอสถเมฆา คนรับใช้ทั่วไปห้ามเข้า!”
เย่หยวนนั้นมายืนอยู่หน้าตึกสูงหลายชั้นตามที่อยู่ที่จดหมายบอกมาแต่กลับถูกเทพถ่องแท้เก้าดาวที่ดูเหมือนยามผู้นี้หยุดไว้ด้วยคำเตือนรุนแรง
เทพถ่องแท้สามดาวที่กล้าเดินมาถึงที่นี่ สมองของมันมีปัญหาหรือ?
เย่หยวนจึงหยิบจดหมายเชิญนั้นออกมา “เทพสวรรค์เหลียวหมิงเชิญข้ามาและมันก็เขียนไว้ว่าที่แห่งนี้ ไม่น่าจะผิดพลาดใช่หรือไม่?”
เมื่อได้เห็นจดหมายเชิญนั้นเทพถ่องแท้เก้าดาวผู้นั้นก็ผงะไปเล็กน้อยก่อนจะใช้สายตาไม่ไว้ใจมองดูเย่หยวน
เหตุใดเทพสวรรค์เหลียวหมิงท่านต้องเชิญเทพถ่องแท้มาด้วย?
เมื่อได้เปิดจดหมายเชิญออกมาอ่านดูเทพถ่องแท้เก้าดาวผู้นั้นก็แทบจะร้องไห้ออกมา “เจ้า… ไม่สิ… ท่านคือปรมาจารย์เย่หยวน?”
“หากมันไม่มีเย่หยวนที่ไหนอีกก็คงเป็นข้า” เย่หยวนหยิบเหรียญปรมาจารย์ออกมาทำให้สีหน้าของอีกฝ่ายซีดขาวทันที
เขานั้นรีบคืนจดหมายเชิญให้แก่เย่หยวนด้วยความหวาดกลัวจับหัวใจ “นายท่านโปรดอย่าถือสาข้าน้อยเลย… ข้าไม่รู้จริงๆ ว่ามันคือท่าน!”
เย่หยวนพยักหน้ารับอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะถามขึ้น “แล้วข้าเข้าไปได้หรือยัง?”
เทพถ่องแท้เก้าดาวผู้นั้นได้แต่ยิ้มแห้งๆ ออกมาก่อนจะร้องตอบ “แน่นอนขอรับ!”
เขานั้นได้แต่มองตามหลังของเย่หยวนไปด้วยความรู้สึกอยากจะร้องไห้เสียให้ได้
เย่หยวนผู้นี้มันช่างน่าสับสนเสียจริงๆ เป็นดั่งหลุมพรางขนาดยักษ์
ตอนนี้ในยอดเมืองหลวงจักรพรรดิโอสถเมฆานั้นมันมีเทพถ่องแท้อยู่กว่าแปดพันคนหรืออาจจะถึงหมื่นเสียด้วยซ้ำ ใครจะไปรู้ว่าหนึ่งในนั้นดันกลายเป็นปรมาจารย์!
เมื่อเข้าศาลาโอสถแห้งมาเย่หยวนก็หันหน้าเดินเข้าไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายและเข้าสู่ห้องต่างมิติทันที
ตอนนี้ภายในห้องนั้นมันมีผู้คนอยู่กว่าสิบคนที่กำลังนั่งคุยเรื่องราวใดกันอยู่สักอย่าง
คนทั้งหลายนั้นมีคลื่นพลังที่รุนแรงออกจากร่างเพราะพวกเขานี้ล้วนแต่เป็นเทพสวรรค์ทั้งสิ้น!
เมื่อได้เห็นเย่หยวนเดินเข้ามาเหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายก็หยุดคุยกันและหันหน้ามามองเย่หยวนทันที
‘ฟึบ!’
คลื่นพลังรุนแรงเข้าปะทะอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้มีเทพสวรรค์รวมตัวกันอยู่กว่าสิบคนต่อให้พวกเขาจะไม่ได้ปล่อยพลังกดดันใดๆ ออกมามันก็ยังจะเป็นบรรยากาศที่หนักหน่วงเกินกว่าที่เทพถ่องแท้น้อยๆ ผู้หนึ่งจะทนรับได้
แถมในหมู่คนทั้งหลายนี้ยังมีสายตาไม่เป็นมิตรหลายคู่
“แค่เทพถ่องแท้กลับกล้าเสนอหน้าเข้ามาในศาลาโอสถแห้ง เจ้าเบื่อชีวิตแล้วหรือ?” เทพสวรรค์ผู้หนึ่งก้าวเดินออกมาพร้อมด้วยคลื่นพลังกดดันเข้าปะทะใส่ร่างเย่หยวน
แน่นอนว่าคนผู้นี้มันคือเจิ้งฉีหยวน
เขานั้นย่อมรู้ดีว่านี่คือเย่หยวนและจงใจจะทำให้เย่หยวนต้องอ่อนข้อลงคิดหวังให้เย่หยวนร้องขอชีวิตด้วยความหวาดกลัว
เว้นเสียแต่ว่ามันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
เย่หยวนนั้นยืนด้วยท่าทางเบื่อหน่ายอยู่ตรงนั้นอย่างไม่แสดงอาการหวาดกลัวใดๆ
น่าตลก! แม้พลังของเทพสวรรค์นั้นมันจะแข็งแกร่งแต่หากคิดจะขู่เย่หยวนด้วยแค่พลังกดดันของเทพสวรรค์แล้วคนอย่างเจิ้งฉีหยวนคงทำไม่ได้
ทางเย่หยวนเองก็ไม่ได้คิดสนใจคำพูดของเจิ้งฉีหยวนใดๆ และหันไปมองหน้าคนอื่นๆ ก่อนจะเปิดปากพูดขึ้น “ท่านใดคือพี่เหลียวหมิง ข้าเย่หยวน”
เมื่อได้เห็นท่าทางแสนสบายของเย่หยวนนั้นเหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตะลึง
อย่าว่าแต่เทพถ่องแท้สามดาว ต่อให้เป็นเทพถ่องแท้เก้าดาวมันก็คงไม่อาจจะหายใจได้ในเวลานี้!
นอกจากนั้นเจิ้งฉีหยวนยังปล่อยพลังกดดันของเทพสวรรค์ออกมาเต็มตัว
แต่เย่หยวนนั้นกลับไม่แสดงอาการใดๆ
เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา!
นั่นคือความคิดแรกของทุกผู้คนเมื่อได้เห็นเย่หยวน
เจิ้งฉีหยวนเองทำหน้าไม่ถูก เพราะตอนนี้เขาไม่ได้ดูต่างจากคนโง่คนหนึ่ง
ที่ตรงกลางนั้นชายวัยกลางคนผู้หนุ่งได้หันมามองเย่หยวนและกล่าวขึ้น “หึๆ ที่แท้นี่คือปรมาจารย์เย่นี่เอง! ตอนนี้เรานั้นกำลังพูดคุยกันถึงเรื่องสูตรโบราณและกำลังถึงทางตัน ปรมาจารย์เย่ท่านมาได้จังหวะเวลาพอดีจริงๆ ช่วยชี้แนะพวกเราเสียหน่อยเถอะ”
พูดไปเขาก็ก้าวเข้ามาดึงตัวของเย่หยวนเข้าไปนั่งกับทุกผู้คน
เย่หยวนยิ้มตอบรับกลับไป “อย่าได้พูดถึงเรื่องชี้แนะใดๆ เลย ก่อนอื่นทุกท่านลองว่ามาเสียหน่อยสิ”
คำพูดนี้มันทำให้เหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายต้องขมวดคิ้วแน่น
เพราะการกระทำเช่นนี้มันเหมือนเป็นการบอกว่าตัวเขานั้นคือคนรุ่นเดียวกับเหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลาย
เจ้าเด็กคนนี้มันเข้าใจหรือไม่ว่าตัวเองมีความสามารถเท่าใด? หรือมันคิดว่าตัวเองเป็นถึงปรมาจารย์จริงๆ แล้ว?
เจิ้งฉีหยวนที่เห็นเช่นนั้นจึงหัวเราะเย้ยขึ้นมา “หึ อวดอ้างตัวเองเสียจริงๆ! เจ้าเป็นแค่เทพถ่องแท้สามดาว โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหกยังไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่ แต่เจ้ากลับกล้ามาอวดอ้างพูดถึงเรื่องสูตรโอสถระดับเจ็ด?”
การเรียกเย่หยวนมานี้มันย่อมจะเป็นความคิดของเขา
เพราะตอนนี้พวกเขาทั้งหลายกำลังพูดคุยถึงสูตรโอสถโบราณอยู่จริงๆ และมันมิใช่สูตรทั่วๆ ไปจนทำให้พวกเขาทั้งหลายมาถึงทางตัน
แต่เย่หยวนนั้นกลับเดินเข้ามาร่วมวงไม่คิดถือว่าตัวเองเป็นคนนอกแม้แต่น้อย!
……………….