ในหมู่เทพสวรรค์ที่อยู่ภายในศาลาโอสถแห้งวันนั้นมันย่อมจะมีจอมเทพโอสถเจ็ดดาวของทางยอดเมืองหลวงจักรพรรดิโอสถเมฆาร่วมอยู่ด้วย
หยุนยี่จึงได้ไปถามไถ่เรื่องราวจากปากของเทพสวรรค์ผู้นั้นและได้รับรู้เรื่องราวที่น่าตื่นตะลึงอย่างไม่อยากจะเชื่อ
สิ่งที่เทพสวรรค์นับสิบๆ ไม่อาจแก้ไขได้ แต่เย่หยวนกลับใช้เวลาเพียงแค่สองวันแก้ไขมัน
การทำเช่นนั้นได้มันจะเท่ากับว่าตัวเย่หยวนนั้นสามารถโค่นเทพสวรรค์นับสิบๆ คนลง โค่นจอมเทพโอสถเจ็ดดาวทั้งหลายลงพร้อมๆ กัน!
พลังความสามารถในระดับนั้นมันไม่อาจจะใช้คำใดๆ บรรยายได้
ต่อให้เป็นตัวเทพสวรรค์ดันหยู่เองก็คงไม่อาจจะกล้าพูดว่าจะชนะเทพสวรรค์นับสิบๆ เช่นนั้นได้
ตำแหน่งปรมาจารย์ใดๆ นี้ยังต้องสงสัยกันอีกหรือ?
“เรื่องจริงนั้นยิ่งกว่าข่าวลือ? เช่นนั้นแล้ว… มันเป็นเรื่องราวเช่นใดกันแน่?” ชายหนุ่มสกุลต้วนถาม
เพราะแค่ฟังดูจากข่าวลือทั้งหลายนี้มันก็เป็นเรื่องที่เหนือล้ำจนไม่อาจหักใจเชื่อลงแล้ว
หากจะบอกว่าความเป็นจริงนั้นมันยิ่งเสียกว่าข่าวลือ เช่นนั้นแล้วเย่หยวนผู้นี้จะต้องเก่งกาจปานใด!
หยุนยี่ยิ้มตอบกลับมา “อย่าได้ถามเลย ตอนนี้งานชุมนุมโอสถเมฆาก็จะเริ่มขึ้นแล้ว อีกไม่นานเจ้าคงรู้”
พูดจบหยุนยี่ก็ยกมือขึ้นมาโบกบอกลาเดินจากหายไป
เวลากว่าสามพันมานี้หยุนยี่ได้คิดมาตลอดว่าตนนั้นคือยอดอัจฉริยะที่ยืนอยู่เหนือผู้คนในแดนใต้
แต่มันก็เป็นความคิดที่ต้องมาพังทลายลงด้วยความเก่งกาจอันเหนือล้ำของเย่หยวนที่ทำให้ความมั่นใจศักดิ์ศรีใดๆ ของเขาไร้ค่าลงทันที
เขานั้นอายุแก่กว่าเย่หยวนนับเท่าตัว แต่ตัวเย่หยวนกลับยืนอยู่ในจุดที่สูงส่งจนตัวเขายังไม่แน่ว่าจะขึ้นไปถึงได้ในชีวิตนี้
เรื่องราวเช่นนั้นมันย่อมส่งผลกระทบต่อจิตใจเขาอย่างมากมาย
แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดมิใช่แค่ว่าเย่หยวนนั้นเก่งกาจกว่าเขา แต่มันเป็นเรื่องที่ว่าต่อให้เขาจะพยายามสักเท่าไหร่มันก็ไม่อาจวิ่งตามรอยเท้าเย่หยวนได้ทัน
หยุนยี่ผู้นี้จะต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใดกว่าที่จะสามารถขึ้นไปนั่งถกวิชากับเหล่าจอมเทพโอสถเจ็ดดาวได้?
หมื่นปี?
ห้าหมื่นปี?
หรือแสนปี?
แต่เย่หยวนคนนั้นกลับใช้เวลาแค่ไม่ถึงหนึ่งพันห้าร้อยปี!
ต่อให้เขาจะใช้เวลาหมื่นปีเพื่อก้าวมาถึงจุดนี้ ตัวเย่หยวนก็คงยังนับว่าเป็นยอดคนเหนือโลกหล้า!
ความสั่นสะท้านที่เกิดขึ้นในจิตใจของเขานี้มันไม่อาจจะใช้คำใดๆ อธิบายออกมาได้
…
“ท่านปู่ หรือว่า… เราจะต้องยอมแพ้เช่นนี้? ถอนตัวจากงานชุมนุมโอสถเมฆานั้นมันคงทำให้ตระกูลเจิ้งเราเสียหายอย่างใหญ่หลวงแน่!”
ระหว่างทางกลับเจิ้งปู้ฉุนก็ได้ร้องบอกด้วยความแค้น
เขานั้นไม่เคยคิดว่าเด็กหนุ่มดูที่ดูอ่อนแอเช่นนั้นกลับจะโค่นบรรพบุรุษของเขาลงได้ทำให้ตระกูลเจิ้งต้องพบความหายนะเช่นนี้
เจิ้งฉีหยวนที่ได้ยินก็ยิ้มตอบกลับไป “ยอม? ไม่มีทางเสียล่ะ! เจ้าเด็กคนนั้นมันมีวิชาการอนุมานและวิเคราะห์ที่เหนือล้ำจริง แต่ข้าไม่เชื่อหรอกว่ามันจะหลอมโอสถได้เก่งกาจจริง! ปู่เจ้านี้อยู่ร่วมงานชุมนุมโอสถเมฆามานานแสนนานมีหรือที่เส้นสายของปู่เจ้าจะตื้นเขินเช่นนั้น? ครั้งนี้แหละข้าจะทำให้มันเผยธาตุแท้ออกมาให้ได้!”
เจิ้งปู้ฉุนเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ท่านปู่ยังมีแผนสำรองอีกหรือ?”
เจิ้งฉีหยวนยิ้มตอบกลับไป “แน่นอน เพราะสิ่งที่เหล่านักหลอมโอสถเชื่อถือนั้นมันมิใช่ตำพูด แต่มันคือฝีมือที่ฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วง! มันนั้นเป็นแค่เด็กน้อยอายุพันกว่าปี มีหรือที่จะเก่งเทียบเท่าเหล่าจอมเทพโอสถเจ็ดดาวทั้งหลายที่หลอมโอสถมานับครั้งไม่ถ้วน? เมื่อใดที่งานเริ่มขึ้น ข้าล่ะอยากจะรู้จริงๆ ว่ามันจะเอาอะไรมาอวดดีอีก!”
เจิ้งปู้ฉุนที่ได้ยินก็ตื่นเต้นดีใจทันที เย่หยวนนั้นคงไม่ได้พบจุดจบที่ดีงามนักแล้ว
มีใครบ้างเล่าที่ไม่รู้วิธีโม้โอ้อวด?
แต่วิชาโอสถนั้นมันไม่เคยมีทางลัด ความสามารถในการวิเคราะห์หรือเรียนรู้ของเจ้าอาจจะเหนือล้ำจริง แต่เมื่อใดก็ตามที่มันมาถึงการหลอมโอสถแล้วมันก็จะมีเพียงประสบการณ์เท่านั้นที่จะช่วยให้สามารถทำมันได้อย่างเหนือล้ำ
พวกเขาทั้งหลายเหล่าจอมเทพโอสถเจ็ดดาวนั้นมีใครบ้างที่มิใช่คนเฒ่าคนแก่อายุนับแสนๆ ล้านๆ ปี?
โอสถใดๆ ที่พวกเขาเคยหลอมนั้นมันมากมายจนพอจะถมสร้างภูเขาได้ทั้งลูก!
มีหรือที่ประสบการณ์ของเย่หยวนจะเทียบเคียงได้?
…
ภายใต้เสียงข่าวลือต่างๆ นานา ในที่สุดมันก็มาถึงวันเปิดงานชุมนุมโอสถเมฆา
ในวันนี้เหล่ายอดนักหลอมโอสถทั้งหลายต่างได้มารวมตัวกันที่ยอดเมืองหลวงจักรพรรดิโอสถเมฆาสิ้น
ตอนนี้เหล่านักหลอมโอสถกว่าหมื่นคนได้มารวมตัวกันที่ลานกว้างที่จัดงาน!
เหล่านักหลอมโอสถนับหมื่นคนนี้ล้วนแล้วแต่เป็นยอดของยอดคนในวงการโอสถแดนใต้
ตอนนี้บนที่นั่งสูงนั้นมีเทพสวรรค์นับร้อยๆ คนกำลังนั่งอยู่ด้วยท่าทางสุดยิ่งใหญ่
ภาพอันอลังการเช่นนี้มันจะเกิดขึ้นได้แค่ในเฉพาะงานสุดยิ่งใหญ่อย่างงานชุมนุมโอสถเมฆาเท่านั้น
เหล่าเทพสวรรค์ทั้งร้อยคนนี้เป็นถึงยอดคนชื่อเสียงลือลั่นด้วยความที่เป็นยอดจอมเทพโอสถทั้งสิ้น
แต่ในเวลานี้เหล่าจอมเทพโอสถเจ็ดดาวทั้งร้อยคนนี้กลับได้แค่ที่นั่งชั้นกลาง
เพราะด้านบนในจุดสูงสุดที่แท้จริงนั้นมันมีที่นั่งสิบสี่ที่นั่งที่ยังคงว่างอยู่
ทุกผู้คนต่างรู้ว่าที่นั่งทั้งสิบสี่นั้นมันคือตัวตนที่อยู่สูงสุดในวงการโอสถแห่งแดนใต้!
พวกเขาทั้งหลายนั้นคือยอดฝีมือระดับปรมาจารย์!
จนในที่สุดมันก็ได้เกิดคลื่นพลังรุนแรงพุ่งออกมาจากห้วงมิติ
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งในชุดสีขาวนวลได้เดินออกมาด้วยท่าทางราวเทพเจ้า
นี่คือเทพสวรรค์ดันหยู่ ยอดจอมเทพโอสถเจ็ดดาวผู้เป็นถึงเทพสวรรค์เก้าดาว
ภายใต้จักรพรรดิเทพสวรรค์แล้วมันย่อมจะไม่มีใครเหนือล้ำกว่าเทพสวรรค์ดันหยู่ไปได้!
เทมพสวรรค์ดันหยู่หันไปมองผู้คนรอบๆ ด้วยท่าทางสุดแสนสง่า
“วันนี้เป็นวันที่จะเริ่มงานชุมนุมโอสถเมฆากันแล้ว ขอบคุณทุกท่านที่มารวมงาน! เทพสวรรค์ผู้นี้รู้ดีว่าเหล่าคนที่มาร่วมงานชุมนุมโอสถเมฆาล้วนตั้งเป้าหมายไว้ที่ปรมาจารย์ทั้งสิบสาม ตอนนี้ เทพสวรรค์ผู้นี้จะขอเชิญเหล่าปรมาจารย์ทั้งสิบสามออกมาแล้ว! เทพสวรรค์ลี่หยางแห่งยอดเมืองหลวงจักรพรรดิวิญญาณสวรรค์!”
เสียงของเทพสวรรค์ดันหยู่ยังไม่ทันจางหายก็เกิดเงาร่างของชายผู้หนึ่งผู้มีท่าทางร้อนแรงราวเปลวเพลิงค่อยๆ ปรากฏตัวออกมาก่อนจะเดินเข้าไปนั่งในที่ของตน
“เทพสวรรค์เปียวหยูแห่งยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาว!”
นั่นทำให้เทพสวรรค์เปียวหยูในชุดสีครามปรากฏกายออกมาด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ก่อนจะยกมือขึ้นคารวะคนทั้งหลายและเดินไปนั่งยังที่ของตน
“เทพสวรรค์หลัวซุ่ยแห่งยอดเมืองหลวงจักรพรรดิสะท้านเมฆา!”
…
เทพสวรรค์ดันหยู่แนะนำตัวเหล่าปรมาจารย์ทั้งหลายไปเรื่อยๆ จนตอนนี้เหล่ายอดปรมาจารย์เจ้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกได้ออกมาสิ้น พวกเขาเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นยอดคนแห่งแดนใต้อย่างแท้จริง
หลังจากเทพสวรรค์ทั้งหกคนนี้ได้ขึ้นมาถึงเวทีพวกเขาต่างก็เดินแยกย้ายกันไปนั่งยังที่นั่งทั้งสองด้านซ้ายขวา
และที่นั่งตรงกลางสุดนี้มันก็คือที่นั่งของเทพสวรรค์ดันหยู่เอง
หลังจากเจ็ดยอดคนนั่งลงประจำที่ตน เทพสวรรค์ดันหยู่ก็เริ่มแนะนำปรมาจารย์ชุดที่สอง
“เทพสวรรค์เหลียวหมิงแห่งตระกูลจูเก๋อ!”
“เทพสวรรค์เฉียนหยูจากตระกูลลู่แห่งรุ่งอุดร!”
…
เมื่อแนะนำเหล่ายอดคนทั้งหกเสร็จสิ้นอากาศโดยรอบมันก็เย็นเยือกลงทันที ตอนนี้ทั้งลานกว้างมันปกคลุมไปด้วยความเงียบงัน
เพราะทุกผู้คนรู้ดีว่าปรมาจารย์คนสุดท้ายนี้มันคือตัวเอกแห่งงานชุมนุมโอสถเมฆาที่แท้จริง
งานชุมนุมโอสถเมฆานั้นยังไม่ทันจะเริ่มปรมาจารย์ผู้นี้ที่ไม่ได้เป็นแท้แต่เทพสวรรค์กลับได้ไล่ตระกูลเจิ้งออกจากงานชุมนุมโอสถเมฆาตลอดกาล
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือปรมาจารย์ผู้นี้เป็นจอมเทพโอสถหกดาวคนแรกที่ได้รับตำแหน่งปรมาจารย์ในงานชุมนุมโอสถเมฆา!
ตอนนี้แม้แต่เทพสวรรค์ดันหยู่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะหยุดพูดลงก่อนที่จะค่อยๆ เรียกชื่อนั้นออกมา “คนสุดท้ายนั้นคือยอดคนมากพรสวรรค์ ถูกเชิญมาเป็นปรมาจารย์ของงานชุมนุมโอสถเมฆานี้โดยเทพสวรรค์เปียวหยูด้วยอายุเพียงแค่พันกว่าปี! เย่หยวนจากเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์แห่งสันเขาใต้!”
เทพสวรรค์ดันหยู่พูดจบเย่หยวนก็ค่อยๆ เดินออกมาจากห้วงมิติบ้าง
นั่นทำให้สายตาของทุกผู้คนต่างมองไปยังร่างของเด็กหนุ่มคนนี้
“เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์แห่งสันเขาใต้? ที่ใดกัน? ข้าไม่เห็นเคยได้ยิน!”
“เมืองน้อยๆ เช่นนั้นมันก็ให้กำเนิดปรมาจารย์ขึ้นมาได้หรือ?”
“เย่หยวนคนนี้มีฝีมือพอจะถือตำแหน่งปรมาจารย์หรือ? แม้ว่าตระกูลเจิ้งจะต้องถอนตัวจากงานชุมนุมโอสถเมฆาไปแต่ข้าก็ได้ยินมาว่าเพราะพวกเขาแพ้เดิมพัน ส่วนเรื่องที่ว่าเย่หยวนเก่งกาจปานใดมันย่อมจะไม่มีใครรู้ได้!”
“น่าเสียดายแค่ว่าเราไม่มีสิทธิ์ไปท้าทายปรมาจารย์ ไม่เช่นนั้นแล้วเราคงได้รู้กัน”
…
แม้ว่าคนทั้งหลายนั้นจะได้ยินเรื่องราวของเย่หยวนในยอดเมืองหลวงจักรพรรดิโอสถเมฆามาบ้างแต่พวกเขานั้นก็อดไม่ได้ที่จะต้องสูดลมหายใจเข้าลึกด้วยความสงสัย
เด็กมาก!
อายุเท่านี้มันควรจะมายืนเข้าร่วมงานประลองโอสถกับพวกเขา
แต่ตอนนี้ตัวเขานั้นกลับไปนั่งบนตำแหน่งปรมาจารย์
“พี่ดันหยู่ ให้เด็กที่ขนยังไม่ทันขึ้นเช่นนี้มานั่งตำแหน่งปรมาจารย์มันจะไม่เป็นการดูถูกเหล่าจอมเทพโอสถเจ็ดดาวทั้งร้อยคนอย่างเราไปหน่อยหรือ?”
เย่หยวนยังไม่ทันได้เดินไปนั่งก็เกิดเสียงไม่พอใจหนึ่งดังขึ้นมา
………………