“เทพสวรรค์เจาหยวน! พระเจ้าช่วย กำลังฝีมือของเขานั้นไม่ได้ต่ำไปกว่าเหล่าปรมาจารย์ทั้งหลายเลย ตัวเขากลับคิดร่วมวงด้วย!”
“เทพสวรรค์เจาหยวนนั้นไม่ค่อยจะเข้าข้างใครจึงไม่มีเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์คนใดเชิญตัวเขามานั่งตำแหน่งปรมาจารย์ แต่พลังฝีมือของตัวเขานั้นมันไม่ได้ต่ำกว่าเหล่าปรมาจารย์ที่ถูกเชิญมาเลย!”
“เย่หยวนเล่นใหญ่เกินรับแล้ว เท่านี้เมื่อคนในงานชุมนุมโอสถเมฆาได้เห็นความจริงตัวเขาก็คงไม่อาจทนอยู่ในงานชุมนุมโอสถเมฆาได้อีกต่อไป!”
…
เมื่อชายแก่คนนี้เปิดปากพูดขึ้นเหล่าคนทั้งหลายที่ด้านล่างต่างก็ร่ำร้องขึ้นทันที
เช่นนี้แล้วพวกเขายิ่งจะอยากดูความน่าสมเพชของผู้คนมากไปใหญ่
ตอนนี้แม้แต่เทพสวรรค์เปียวหยูเองก็ยังอดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างมองดูเทพสวรรค์เจาหยวน ไม่นึกไม่ฝันว่าเขาเองก็จะร่วมวงกับคนทั้งหลายด้วย
เพราะฝีมือของเหล่าปรมาจารย์เองนั้นมันก็ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน
หากจะพูดถึงยอดคนผู้ยืนเหนือวิชาการโอสถในแดนใต้แล้วมันก็ย่อมจะเป็นเทพสวรรค์ดันหยู่ผู้มีเต๋าโอสถอาณาจักรบรรพกาล
และตอนนี้เขาก็ยังเป็นแค่อาณาจักรบรรพกาลเพียงผู้เดียวในแดนใต้
ส่วนเหล่าเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกที่เหลือนั้นล้วนแล้วแต่อยู่ในอาณาจักรเต๋าขั้นสุดและขั้นปลาย
ส่วนเหล่าปรมาจารย์ที่ถูกเชิญมานั้นก็จะยิ่งอ่อนแอลงไปอีก
และเหล่าเทพสวรรค์ห้าอันดับแรกนั้นมันไม่ได้มีพลังฝีมืออ่อนแอกว่าปรมาจารย์ทั้งหลายเลย
เทพสวรรค์ซืออี้นี้ก็เป็นตัวอย่างที่ดี!
เพราะเดิมทีเขานั้นเป็นถึงคนที่นั่งอยู่บนที่นั่งปรมาจารย์ในงานชุมนุมโอสถเมฆาครั้งก่อนๆ
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเมื่อเขาร่วงลงมาจากตำแหน่งแล้ว เทพสวรรค์เจาหยวนกลับยังสามารถได้อันดับเหนือกว่าตัวเขา แค่นี้มันก็มากพอที่จะอธิบายความเก่งกาจของเทพสวรรค์เจาหยวนแล้ว
หากจะให้เทพสวรรค์เจาหยวนไปนั่งบนตำแหน่งปรมาจารย์มันคงไม่มีใครคิดค้าน!
จากท่าทางของทุกผู้คนในเวลานี้เย่หยวนย่อมจะเข้าใจทันทีว่าเทพสวรรค์เจาหยวนผู้นี้ไม่ธรรมดา
แต่มีหรือที่เย่หยวนคนนี้จะต้องกลัวสิ่งใด?
ในวิชาการโอสถนั้นมันไม่เคยมีใครที่จะบังคับให้เขาต้องก้มหัวให้ได้
ไม่มีทั้งในอดีต ปัจจุบันหรืออนาคตมันก็จะไม่มี!
“ได้ ข้าขอรับคำท้า!” เย่หยวนกล่าว
เทพสวรรค์เจาหยวนพยักหน้ารับออกมา “ได้เห็นปรมาจารย์อายุแค่พันกว่าปีเฒ่าคนนี้ก็แค่สงสัยใครรู้ อยากลองประลองดู”
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “พี่เจาหยวน โปรดชี้แนะด้วย”
เทพสวรรค์เจาหยวนหัวเราะขึ้นมา “ข้าไม่กล้าพูดถึงขั้นชี้แนะใดๆ หรอก แต่หวังแค่ว่าเจ้าจะไม่ทำให้เทพสวรรค์ผู้นี้ผิดหวัง”
เย่หยวนนั้นย่อมจะมองออกทันทีว่าเทพสวรรค์เจาหยวนไม่ได้คิดหาเรื่องใดๆ กับตัวเขา เขานั้นแค่อยากจะประลองก็เท่านั้น
เรื่องราวเช่นนี้มันก็เหมือนตอนที่เย่หยวนท้าทายเทพสวรรค์เปียวหยูเมื่อครานั้น ต้องหาวิธีการต่างๆ นานา เพื่อจะท้าทายอีกฝ่าย
ในเวลานี้เทพสวรรค์ดันหยู่จึงยิ้มออกมา “หากเป็นเช่นนั้นงานชุมนุมโอสถเมฆาในครั้งนี้ก็จะเริ่มกันด้วยการท้าทายปรมาจารย์ก่อน”
จนสุดท้ายแล้วมันก็มีผู้ลุกขึ้นมาท้าทายถึงหกสิบสามคน มากเสียกว่าครึ่งของเหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายที่มา
เมื่อเหล่าผู้คนทั้งหลายได้ยินคำประกาศนี้ทุกผู้คนต่างก็ต้องสูดลมหายใจเข้าลึก
การที่จอมเทพโอสถเจ็ดดาวมากมายมาท้าทายจอมเทพโอสถหกดาวเช่นนี้มันย่อมจะเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในมหาพิภพถงเทียน
ตอนนี้ภายในลานกว้างสังเวียนขนาดใหญ่ได้ถูกก่อตั้งขึ้น
ทุกผู้คนต่างมองไปยังชายหนุ่มบนสังเวียนนั้น
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกระโดดขึ้นไปบนสังเวียนนั้นพร้อมสายตาที่สุดแสนดูถูกเย่หยวน
“เด็กน้อย ที่นี่มันมิใช่ที่ของเจ้า ที่ของเจ้ามันอยู่ทางนั้น!” เทพสวรรค์ผู้นั้นชี้ไปยังฝูงชนด้านล่าง “ทำไมเจ้าไม่ลองยอมรับผิดแล้วกลับลงไปเล่า? ข้าว่าคนทั้งหลายเองก็คงไม่ติดใจเอาความใดๆ เพราะเห็นแก่หน้าพี่เปียวหยู”
นั้นทำให้เกิดเสียงร้องเห็นด้วยขึ้นตามจากในฝูงชน
“เทพสวรรค์หลงยี่ท่านพูดถูกแล้ว นี่มันดูอย่างไรก็ทำให้ผู้คนต้องเสียเวลาเปล่า!”
“เทพสวรรค์หลงยี่นั้นเป็นถึงอาจารย์นักหลอมโอสถอาณาจักรเต๋าขั้นกลาง ใช้ชีวิตอยู่กับโอสถมานับแสนๆ ปี แค่จะจัดการกับจอมเทพโอสถหกดาวมันคงแสนง่ายดาย”
“จอมเทพโอสถหกดาวปะทะจอมเทพโอสถเจ็ดดาว ข้าไม่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องเช่นนี้มาก่อนเลย”
…
แม้ว่าเย่หยวนจะพูดจาหนักแน่นรับคำท้าทายของเทพสวรรค์ทั้งหลายมาแต่คนที่จะเชื่อในฝีมือของเขานั้นมันย่อมมีอยู่ไม่กี่คน
จอมเทพโอสถสี่ดาวชนะจอมเทพโอสถห้าดาวมันย่อมทำให้ผู้คนโห่ร้องสรรเสริญ ยกย่องเป็นยอดอัจฉริยะในหมู่นักหลอมโอสถที่มากันในวันนี้ มีหลายคนที่เคยทำเช่นนั้นได้
จอมเทพโอสถห้าดาวชนะจอมเทพโอสถหกดาวมันจะทำให้ผู้คนมึนงง เพราะนั่นมันคือตัวตนของยอดอัจฉริยะในหมู่ยอดอัจฉริยะอย่างแท้จริง
เพราะฉะนั้นตอนที่หนิงซืออวี๋ชนะเหล่ายอดอัจฉริยะทั้งหลายเมื่อตอนนั้นคงทั้งหลายจึงตื่นตะลึงอย่างมาก
แต่จอมเทพโอสถหกดาวชนะจอมเทพโอสถเจ็ดดาว เรื่องเช่นนั้นมันย่อมไม่มีทางเป็นไปได้
จอมเทพโอสถเจ็ดดาวนั้นคือยอดคนที่คลุกคลีอยู่กับโอสถมานับแสนๆ ปี พลังฝีมือของพวกเขาทั้งหลายมันไม่อาจวัดค่าใดๆ ได้
เด็กน้อยที่บ่มเพาะมาแค่พันกว่าปีมีหรือจะสามารถท้าทายจอมเทพโอสถเจ็ดดาวได้?
แต่ทว่าแม้คนทั้งหลายจะคิดเช่นนั้นแต่เมื่อเย่หยวนมองดูเทพสวรรค์หลงยี่ที่ตรงหน้านี้เขากลับกล่าวขึ้น “เจ้าอ่อนแอไป! ตอนนี้มีคนมากมายรอเข้าท้าทายอยู่ มากันทีละคนคงเสียเวลาแย่ ทำไม… ไม่ขึ้นมาทีละห้าคนเอาเล่า?”
ผู้คนทั้งหลายมึนงงไปทันที!
ทุกผู้คนต่างมองดูเย่หยวนราวกับคนโง่ คิดว่าความโอหังของเจ้าเด็กคนนี้มันเกินหลักเหตุผลไปแล้ว
“โอหัง! อวดดี! โง่เง่า! เจ้าเด็กน้อยคนนี้มันช่างหลงตัวเองจนเกินบรรยาย!”
เทพสวรรค์หลงยี่นั้นโกรธแค้นในคำพูดคำเดียวนี้จนหน้าดำหน้าแดง
เดิมทีแล้วเขาเองก็เป็นยอดคนชื่อเสียงลือลั่น แต่วันนี้ตัวเขากลับถูกเด็กน้อยผู้หนึ่งดูถูกเช่นนี้มีหรือที่เขาจะไม่โกรธแค้น?
แต่เย่หยวนกลับกล่าวขึ้นต่อ “วางใจเถอะ ขึ้นมาทีละห้าคนก็ตาม แต่หากข้าแพ้ข้าก็จะยังออกจากงานชุมนุมโอสถเมฆาให้อยู่ดี!”
เทพสวรรค์หลงยี่เบิกตากว้าง แทบจะต้องสำลักกระอักเลือดออกมา
เขานั้นไม่อาจจะใช้คำใดๆ มาอธิบายความโอหังอวดดีของเย่หยวนได้ มันเป็นสิ่งที่เหนือหลักเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น
เย่หยวนหันไปมองที่เทพสวรรค์ดันหยู่ก่อนถามขึ้น “พี่ดันหยู่ ท่านว่าอย่างไร?”
เทพสวรรค์ดันหยู่ย่อมจะมีความดูถูกอยู่ในใจ
แม้ว่าฝีมือของเทพสวรรค์หลงยี่นั้นจะไม่ได้มีค่าใดในสายตาของเขา แต่อย่างน้อยๆ ตัวเขานั้นก็เป็นถึงจอมเทพโอสถเจ็ดดาวที่เก่งกาจเหนือล้ำผู้คนทั่วไปมาก
การที่เย่หยวนบอกว่าจะสู้ห้าต่อหนึ่งนั้นมันย่อมเป็นคำพูดที่โอหังจนเกินรับ
เทพสวรรค์ดันหยู่หันไปมองที่เทพสวรรค์เปียวหยูก่อนจะถามขึ้น “เทมพสวรรค์ผู้นี้ย่อมไม่ขัด ท่านว่าอย่างไรเล่าพี่เปียวหยู?”
เทพสวรรค์เปียวหยูจึงพยักหน้ารับออกมา “ก็จริง ประลองทีละคนมันคงเสียเวลาเกินไป เอาเช่นนี้เป็นอย่างไร กับสิบสามคนสุดท้ายนั้นเราจะเปลี่ยนกลับไปเป็นแบบตัวต่อตัว แต่คนที่เหลือให้ประลองแบบห้าต่อหนึ่ง”
คำพูดของเทพสวรรค์เปียวหยูนี้มันทำให้ดวงตาของทุกผู้คนเบิกกว้างรวมไปถึงตัวเทพสวรรค์ดันหยู่ด้วย
นี่เขาคิดจะทำลายเย่หยวนลงแล้วหรือ? หรือว่าเขามั่นใจในตัวเย่หยวนถึงขนาดนั้น?
ไม่มีใครคาดคิดว่าพันธมิตรหนึ่งเดียวของเย่หยวนกลับจะยอมรับออกมาง่ายๆ เช่นนั้น
“เอาล่ะ ตามนั้น” เทพสวรรค์ดันหยู่พยักหน้ารับ
เทพสวรรค์ทั้งห้าคนยืนอยู่บนสังเวียนด้วยความรู้สึกอับอายอย่างถึงที่สุด
พวกเขาทั้งหลายนั้นแทบจะอยากพ่นไฟออกมาจากปากคิดเผาร่างเย่หยวนให้หายเจ็บแค้นใจ
เทพสวรรค์ผู้หนึ่งกัดฟันแน่นร้องขึ้นมา “เด็กน้อย เจ้าจะได้รู้จักคำว่าสิ้นหวัง!”
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “เริ่มเถอะ มันยังมีคนรออยู่อีกมาก!”
นั่นทำให้เทพสวรรค์ผู้นั้นเจ็บแค้นจนแทบกระอักเลือดออกมา
“เหล่าสหายทั้งหลาย ข้าไม่นึกเลยว่ามันจะมีวันที่พวกเราถูกเหยียดหยามเช่นนี้ วันนี้ข้าจะให้เหล่าเด็กๆ มันได้เห็นพลังที่แท้จริงของพวกเรา!” เทพสวรรค์หลงยี่ร้องบอก
เหล่าคนทั้งหลายนั้นจึงพยักหน้ารับพร้อมปล่อยคลื่นพลังเต๋าโอสถออกมาพุ่งทะลวงใส่เย่หยวนทันที
เมื่อจอมเทพโอสถเจ็ดดาวลบงมือมันย่อมจะทำให้เกิดพลังฟ้าดินสั่นสะท้าน
คลื่นพลังทั้งห้านี้ดุดันราวสัตว์ร้ายคิดอยากจะฉีกร่างเย่หยวนเป็นชิ้นๆ
“นี่หรือคือพลังของจอมเทพโอสถเจ็ดดาว? แข็งแกร่งเสียจริงๆ!”
“หึ ข้าอยากรู้เหลือเกินว่าเย่หยวนคนนั้นจะยังเอาอะไรมาอวดดีอีก”
“เหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายท่านนี้คงเจ็บแค้นมาก วันนี้หากเย่หยวนไม่ตายก็คงต้องเสียหน้าไปจนลุกไม่ขึ้นแล้ว!”
…………………………
“เทพสวรรค์เจาหยวน! พระเจ้าช่วย กำลังฝีมือของเขานั้นไม่ได้ต่ำไปกว่าเหล่าปรมาจารย์ทั้งหลายเลย ตัวเขากลับคิดร่วมวงด้วย!”
“เทพสวรรค์เจาหยวนนั้นไม่ค่อยจะเข้าข้างใครจึงไม่มีเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์คนใดเชิญตัวเขามานั่งตำแหน่งปรมาจารย์ แต่พลังฝีมือของตัวเขานั้นมันไม่ได้ต่ำกว่าเหล่าปรมาจารย์ที่ถูกเชิญมาเลย!”
“เย่หยวนเล่นใหญ่เกินรับแล้ว เท่านี้เมื่อคนในงานชุมนุมโอสถเมฆาได้เห็นความจริงตัวเขาก็คงไม่อาจทนอยู่ในงานชุมนุมโอสถเมฆาได้อีกต่อไป!”
…
เมื่อชายแก่คนนี้เปิดปากพูดขึ้นเหล่าคนทั้งหลายที่ด้านล่างต่างก็ร่ำร้องขึ้นทันที
เช่นนี้แล้วพวกเขายิ่งจะอยากดูความน่าสมเพชของผู้คนมากไปใหญ่
ตอนนี้แม้แต่เทพสวรรค์เปียวหยูเองก็ยังอดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างมองดูเทพสวรรค์เจาหยวน ไม่นึกไม่ฝันว่าเขาเองก็จะร่วมวงกับคนทั้งหลายด้วย
เพราะฝีมือของเหล่าปรมาจารย์เองนั้นมันก็ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน
หากจะพูดถึงยอดคนผู้ยืนเหนือวิชาการโอสถในแดนใต้แล้วมันก็ย่อมจะเป็นเทพสวรรค์ดันหยู่ผู้มีเต๋าโอสถอาณาจักรบรรพกาล
และตอนนี้เขาก็ยังเป็นแค่อาณาจักรบรรพกาลเพียงผู้เดียวในแดนใต้
ส่วนเหล่าเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกที่เหลือนั้นล้วนแล้วแต่อยู่ในอาณาจักรเต๋าขั้นสุดและขั้นปลาย
ส่วนเหล่าปรมาจารย์ที่ถูกเชิญมานั้นก็จะยิ่งอ่อนแอลงไปอีก
และเหล่าเทพสวรรค์ห้าอันดับแรกนั้นมันไม่ได้มีพลังฝีมืออ่อนแอกว่าปรมาจารย์ทั้งหลายเลย
เทพสวรรค์ซืออี้นี้ก็เป็นตัวอย่างที่ดี!
เพราะเดิมทีเขานั้นเป็นถึงคนที่นั่งอยู่บนที่นั่งปรมาจารย์ในงานชุมนุมโอสถเมฆาครั้งก่อนๆ
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเมื่อเขาร่วงลงมาจากตำแหน่งแล้ว เทพสวรรค์เจาหยวนกลับยังสามารถได้อันดับเหนือกว่าตัวเขา แค่นี้มันก็มากพอที่จะอธิบายความเก่งกาจของเทพสวรรค์เจาหยวนแล้ว
หากจะให้เทพสวรรค์เจาหยวนไปนั่งบนตำแหน่งปรมาจารย์มันคงไม่มีใครคิดค้าน!
จากท่าทางของทุกผู้คนในเวลานี้เย่หยวนย่อมจะเข้าใจทันทีว่าเทพสวรรค์เจาหยวนผู้นี้ไม่ธรรมดา
แต่มีหรือที่เย่หยวนคนนี้จะต้องกลัวสิ่งใด?
ในวิชาการโอสถนั้นมันไม่เคยมีใครที่จะบังคับให้เขาต้องก้มหัวให้ได้
ไม่มีทั้งในอดีต ปัจจุบันหรืออนาคตมันก็จะไม่มี!
“ได้ ข้าขอรับคำท้า!” เย่หยวนกล่าว
เทพสวรรค์เจาหยวนพยักหน้ารับออกมา “ได้เห็นปรมาจารย์อายุแค่พันกว่าปีเฒ่าคนนี้ก็แค่สงสัยใครรู้ อยากลองประลองดู”
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “พี่เจาหยวน โปรดชี้แนะด้วย”
เทพสวรรค์เจาหยวนหัวเราะขึ้นมา “ข้าไม่กล้าพูดถึงขั้นชี้แนะใดๆ หรอก แต่หวังแค่ว่าเจ้าจะไม่ทำให้เทพสวรรค์ผู้นี้ผิดหวัง”
เย่หยวนนั้นย่อมจะมองออกทันทีว่าเทพสวรรค์เจาหยวนไม่ได้คิดหาเรื่องใดๆ กับตัวเขา เขานั้นแค่อยากจะประลองก็เท่านั้น
เรื่องราวเช่นนี้มันก็เหมือนตอนที่เย่หยวนท้าทายเทพสวรรค์เปียวหยูเมื่อครานั้น ต้องหาวิธีการต่างๆ นานา เพื่อจะท้าทายอีกฝ่าย
ในเวลานี้เทพสวรรค์ดันหยู่จึงยิ้มออกมา “หากเป็นเช่นนั้นงานชุมนุมโอสถเมฆาในครั้งนี้ก็จะเริ่มกันด้วยการท้าทายปรมาจารย์ก่อน”
จนสุดท้ายแล้วมันก็มีผู้ลุกขึ้นมาท้าทายถึงหกสิบสามคน มากเสียกว่าครึ่งของเหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายที่มา
เมื่อเหล่าผู้คนทั้งหลายได้ยินคำประกาศนี้ทุกผู้คนต่างก็ต้องสูดลมหายใจเข้าลึก
การที่จอมเทพโอสถเจ็ดดาวมากมายมาท้าทายจอมเทพโอสถหกดาวเช่นนี้มันย่อมจะเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในมหาพิภพถงเทียน
ตอนนี้ภายในลานกว้างสังเวียนขนาดใหญ่ได้ถูกก่อตั้งขึ้น
ทุกผู้คนต่างมองไปยังชายหนุ่มบนสังเวียนนั้น
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกระโดดขึ้นไปบนสังเวียนนั้นพร้อมสายตาที่สุดแสนดูถูกเย่หยวน
“เด็กน้อย ที่นี่มันมิใช่ที่ของเจ้า ที่ของเจ้ามันอยู่ทางนั้น!” เทพสวรรค์ผู้นั้นชี้ไปยังฝูงชนด้านล่าง “ทำไมเจ้าไม่ลองยอมรับผิดแล้วกลับลงไปเล่า? ข้าว่าคนทั้งหลายเองก็คงไม่ติดใจเอาความใดๆ เพราะเห็นแก่หน้าพี่เปียวหยู”
นั้นทำให้เกิดเสียงร้องเห็นด้วยขึ้นตามจากในฝูงชน
“เทพสวรรค์หลงยี่ท่านพูดถูกแล้ว นี่มันดูอย่างไรก็ทำให้ผู้คนต้องเสียเวลาเปล่า!”
“เทพสวรรค์หลงยี่นั้นเป็นถึงอาจารย์นักหลอมโอสถอาณาจักรเต๋าขั้นกลาง ใช้ชีวิตอยู่กับโอสถมานับแสนๆ ปี แค่จะจัดการกับจอมเทพโอสถหกดาวมันคงแสนง่ายดาย”
“จอมเทพโอสถหกดาวปะทะจอมเทพโอสถเจ็ดดาว ข้าไม่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องเช่นนี้มาก่อนเลย”
…
แม้ว่าเย่หยวนจะพูดจาหนักแน่นรับคำท้าทายของเทพสวรรค์ทั้งหลายมาแต่คนที่จะเชื่อในฝีมือของเขานั้นมันย่อมมีอยู่ไม่กี่คน
จอมเทพโอสถสี่ดาวชนะจอมเทพโอสถห้าดาวมันย่อมทำให้ผู้คนโห่ร้องสรรเสริญ ยกย่องเป็นยอดอัจฉริยะในหมู่นักหลอมโอสถที่มากันในวันนี้ มีหลายคนที่เคยทำเช่นนั้นได้
จอมเทพโอสถห้าดาวชนะจอมเทพโอสถหกดาวมันจะทำให้ผู้คนมึนงง เพราะนั่นมันคือตัวตนของยอดอัจฉริยะในหมู่ยอดอัจฉริยะอย่างแท้จริง
เพราะฉะนั้นตอนที่หนิงซืออวี๋ชนะเหล่ายอดอัจฉริยะทั้งหลายเมื่อตอนนั้นคงทั้งหลายจึงตื่นตะลึงอย่างมาก
แต่จอมเทพโอสถหกดาวชนะจอมเทพโอสถเจ็ดดาว เรื่องเช่นนั้นมันย่อมไม่มีทางเป็นไปได้
จอมเทพโอสถเจ็ดดาวนั้นคือยอดคนที่คลุกคลีอยู่กับโอสถมานับแสนๆ ปี พลังฝีมือของพวกเขาทั้งหลายมันไม่อาจวัดค่าใดๆ ได้
เด็กน้อยที่บ่มเพาะมาแค่พันกว่าปีมีหรือจะสามารถท้าทายจอมเทพโอสถเจ็ดดาวได้?
แต่ทว่าแม้คนทั้งหลายจะคิดเช่นนั้นแต่เมื่อเย่หยวนมองดูเทพสวรรค์หลงยี่ที่ตรงหน้านี้เขากลับกล่าวขึ้น “เจ้าอ่อนแอไป! ตอนนี้มีคนมากมายรอเข้าท้าทายอยู่ มากันทีละคนคงเสียเวลาแย่ ทำไม… ไม่ขึ้นมาทีละห้าคนเอาเล่า?”
ผู้คนทั้งหลายมึนงงไปทันที!
ทุกผู้คนต่างมองดูเย่หยวนราวกับคนโง่ คิดว่าความโอหังของเจ้าเด็กคนนี้มันเกินหลักเหตุผลไปแล้ว
“โอหัง! อวดดี! โง่เง่า! เจ้าเด็กน้อยคนนี้มันช่างหลงตัวเองจนเกินบรรยาย!”
เทพสวรรค์หลงยี่นั้นโกรธแค้นในคำพูดคำเดียวนี้จนหน้าดำหน้าแดง
เดิมทีแล้วเขาเองก็เป็นยอดคนชื่อเสียงลือลั่น แต่วันนี้ตัวเขากลับถูกเด็กน้อยผู้หนึ่งดูถูกเช่นนี้มีหรือที่เขาจะไม่โกรธแค้น?
แต่เย่หยวนกลับกล่าวขึ้นต่อ “วางใจเถอะ ขึ้นมาทีละห้าคนก็ตาม แต่หากข้าแพ้ข้าก็จะยังออกจากงานชุมนุมโอสถเมฆาให้อยู่ดี!”
เทพสวรรค์หลงยี่เบิกตากว้าง แทบจะต้องสำลักกระอักเลือดออกมา
เขานั้นไม่อาจจะใช้คำใดๆ มาอธิบายความโอหังอวดดีของเย่หยวนได้ มันเป็นสิ่งที่เหนือหลักเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น
เย่หยวนหันไปมองที่เทพสวรรค์ดันหยู่ก่อนถามขึ้น “พี่ดันหยู่ ท่านว่าอย่างไร?”
เทพสวรรค์ดันหยู่ย่อมจะมีความดูถูกอยู่ในใจ
แม้ว่าฝีมือของเทพสวรรค์หลงยี่นั้นจะไม่ได้มีค่าใดในสายตาของเขา แต่อย่างน้อยๆ ตัวเขานั้นก็เป็นถึงจอมเทพโอสถเจ็ดดาวที่เก่งกาจเหนือล้ำผู้คนทั่วไปมาก
การที่เย่หยวนบอกว่าจะสู้ห้าต่อหนึ่งนั้นมันย่อมเป็นคำพูดที่โอหังจนเกินรับ
เทพสวรรค์ดันหยู่หันไปมองที่เทพสวรรค์เปียวหยูก่อนจะถามขึ้น “เทมพสวรรค์ผู้นี้ย่อมไม่ขัด ท่านว่าอย่างไรเล่าพี่เปียวหยู?”
เทพสวรรค์เปียวหยูจึงพยักหน้ารับออกมา “ก็จริง ประลองทีละคนมันคงเสียเวลาเกินไป เอาเช่นนี้เป็นอย่างไร กับสิบสามคนสุดท้ายนั้นเราจะเปลี่ยนกลับไปเป็นแบบตัวต่อตัว แต่คนที่เหลือให้ประลองแบบห้าต่อหนึ่ง”
คำพูดของเทพสวรรค์เปียวหยูนี้มันทำให้ดวงตาของทุกผู้คนเบิกกว้างรวมไปถึงตัวเทพสวรรค์ดันหยู่ด้วย
นี่เขาคิดจะทำลายเย่หยวนลงแล้วหรือ? หรือว่าเขามั่นใจในตัวเย่หยวนถึงขนาดนั้น?
ไม่มีใครคาดคิดว่าพันธมิตรหนึ่งเดียวของเย่หยวนกลับจะยอมรับออกมาง่ายๆ เช่นนั้น
“เอาล่ะ ตามนั้น” เทพสวรรค์ดันหยู่พยักหน้ารับ
เทพสวรรค์ทั้งห้าคนยืนอยู่บนสังเวียนด้วยความรู้สึกอับอายอย่างถึงที่สุด
พวกเขาทั้งหลายนั้นแทบจะอยากพ่นไฟออกมาจากปากคิดเผาร่างเย่หยวนให้หายเจ็บแค้นใจ
เทพสวรรค์ผู้หนึ่งกัดฟันแน่นร้องขึ้นมา “เด็กน้อย เจ้าจะได้รู้จักคำว่าสิ้นหวัง!”
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “เริ่มเถอะ มันยังมีคนรออยู่อีกมาก!”
นั่นทำให้เทพสวรรค์ผู้นั้นเจ็บแค้นจนแทบกระอักเลือดออกมา
“เหล่าสหายทั้งหลาย ข้าไม่นึกเลยว่ามันจะมีวันที่พวกเราถูกเหยียดหยามเช่นนี้ วันนี้ข้าจะให้เหล่าเด็กๆ มันได้เห็นพลังที่แท้จริงของพวกเรา!” เทพสวรรค์หลงยี่ร้องบอก
เหล่าคนทั้งหลายนั้นจึงพยักหน้ารับพร้อมปล่อยคลื่นพลังเต๋าโอสถออกมาพุ่งทะลวงใส่เย่หยวนทันที
เมื่อจอมเทพโอสถเจ็ดดาวลบงมือมันย่อมจะทำให้เกิดพลังฟ้าดินสั่นสะท้าน
คลื่นพลังทั้งห้านี้ดุดันราวสัตว์ร้ายคิดอยากจะฉีกร่างเย่หยวนเป็นชิ้นๆ
“นี่หรือคือพลังของจอมเทพโอสถเจ็ดดาว? แข็งแกร่งเสียจริงๆ!”
“หึ ข้าอยากรู้เหลือเกินว่าเย่หยวนคนนั้นจะยังเอาอะไรมาอวดดีอีก”
“เหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายท่านนี้คงเจ็บแค้นมาก วันนี้หากเย่หยวนไม่ตายก็คงต้องเสียหน้าไปจนลุกไม่ขึ้นแล้ว!”
…………………………