ในท้ายที่สุดแล้วทางหอมหาสมบัติก็ได้ส่วนแบ่งไปห้าสิบเปอร์เซ็นต์ และสิบเปอร์เซ็นต์นั้นแน่นอนว่ามันจะเข้ามือของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ไป
เมืองจักรพรรดิน้อยๆ เมืองหนึ่งกลับสามารถชิงส่วนแบ่งตลาดโอสถของแดนใต้ทั้งหมดทั้งสิ้นไปได้ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ นี่มันคงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของแดนใต้เลยทีเดียว
แต่เหล่าจอมเทพโอสถเจ็ดดาวทั้งหลายก็ไม่อาจกล้าจะขัดขืนใดๆ
เพราะไม้ตายที่เย่หยวนเก็บซ่อนไว้นั้นมันมากมายจนเกินนับ!
หากพันธมิตรนี้สลายตัวลงจริงๆ แล้วพวกเขาย่อมเข้าใจดีว่าตนเองจะได้รับผลกระทบที่หนักหนากว่านี้มาก
เย่หยวนที่ร่วมมือกับหอมหาสมบัติมันย่อมทำให้ไม่อาจมีจุดอ่อนใดๆ เหลือให้เห็นได้
ส่วนเรื่องต่างๆ ที่เหลือนั้นมันย่อมไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับเย่หยวนอีก การประลองศึกโอสถนั้นมันดำเนินต่อเนื่องยาวนานไปถึงกินเวลาหลายเดือน
ในช่วงเวลานี้งานชุมนุมโอสถเมฆาได้กลายเป็นทะเลเพลิงอันดุเดือด
พริบตาเดียวเวลาครึ่งปีก็ได้ผ่านไป เป็นเวลาที่ทางการประชุมยอดโอสถได้ส่งสัญญาณปิดงานลงตัดสินกันได้ว่าแต่ละค่ายสักนักต่างๆ จะได้รับส่วนแบ่งกันไปเท่าใดบ้าง
และแน่นอนว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ดนั้นยังคงทิ้งห่างจากค่ายสำนักอื่นๆ ไปอย่างไม่เห็นฝุ่นด้วยส่วนแบ่งกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของแดนใต้
ส่วนที่เหลืออีกสามสิบนั้นถูกแบ่งแยกกันไปตามแต่ค่ายสำนักตระกูลของจอมเทพโอสถเจ็ดดาวทั้งหลาย
แม้จะยังได้เจ็ดสิบเช่นเดิม แต่ในเวลานี้การแบ่งส่วนเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์นี้มันได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
เพราะเขตแดนการค้าของยอดเมืองหลวงจักรพรรดิโอสถเมฆามันได้ตกร่วงไปลงอย่างมหาศาล เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงได้ยื่นมือไปแย่งชิงผลประโยชน์จากค่ายสำนักอื่นมากแทนเพื่อชดเชยส่วนที่เสียไป
แน่นอนว่านั่นจะทำให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าที่เหลือต้องเสียผลประโยชน์กันไปถ้วนหน้า
ในเวลานี้ผู้ชนะที่แท้จริงของงานชุมนุมโอสถเมฆามันคือหอมหาสมบัติอย่างไม่ต้องสงสัย
ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือทางเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ที่ได้กลายเป็นค่ายสำนักกองกำลังที่ไม่อาจเมินเฉยได้ พุ่งทะยานเหนือล้ำผู้คนไปมาก
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียการแบ่งเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์นี้มันก็จะถูกแบ่งออกมาเป็นสิบส่วนและทางหอมหาสมบัติรับไปถึงสี่ส่วน เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ชิงไปหนึ่งส่วน ที่เหลืออีกห้าส่วนนั้นเหล่าหกดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะต้องไปแบ่งกันเอง
แต่ด้วยกำลังความสามารถของยอดเมืองหลวงจักรพรรดิมันจึงทำให้พวกเขาจะได้ส่วนแบ่งที่มากกว่าใครๆ ไปถึงสองส่วน
และห้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เหลือนั้นจะได้รับไปเพียงแค่สามส่วนจากเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ที่เจ็ดดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้มา
เรื่องนี้มันย่อมจะหมายความว่าเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นได้กลายเป็นค่ายสำนักกองกำลังอันดับสามรองจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวและยอดเมืองหลวงจักรพรรดิโอสถเมฆา!
หลังจากเย่หยวนได้รู้ว่างานชุมนุมโอสถเมฆามันมีการแบ่งส่วนแบ่งรายได้ตลาดกัน เขาก็ย่อมจะมองเห็นว่ามันเป็นโอกาสอันดีงาม
หากเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์คิดอยากพัฒนาขึ้นไปจริงๆ แล้ว ทรัพยากรทั้งหลายย่อมจะเป็นสิ่งสำคัญ
หากเย่หยวนแค่ใช้ฝีมือของตนหลอมโอสถขึ้นมาแจกจ่าย ต่อให้เขาจะใช้เวลาทั้งชีวิตนั่งหลอมโอสถมันก็คงทำอะไรได้ไม่มากมาย ไม่อาจจะเปลี่ยนให้เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์กลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ได้แน่
และงานชุมนุมโอสถนี้มันจึงได้กลายเป็นโอกาสครั้งใหญ่อันแสนสำคัญแก่ตัวเขา
เพราะแม้ว่ามันจะเป็นแค่หนึ่งส่วนของเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ แต่มันก็นับได้ว่าเป็นผลประโยชน์อันมหาศาลเกินกว่าที่จะนับได้
ด้วยผลประโยชน์อันนี้ เมืองอินทรีสวรรค์ย่อมจะพัฒนาขึ้นไปอย่างก้าวกระโดด
และหลังจากผ่านเวลาครึ่งปีนี้มา ชื่อเสียงของเย่หยวนก็มีแต่จะพัฒนาขึ้นในทุกวี่วันจนทำให้มันแพร่กระจายไปทั่วทั้งแดนใต้ในที่สุด
ทุกผู้คนได้รับรู้แล้วว่าแดนใต้นั้นได้ให้กำเนิดสุดยอดปรมาจารย์ขึ้นมา!
เมื่อเจิ้งฉีหยวนได้ยินข่าวนี้เขาก็นั่งอยุ่ในห้องส่วนตัวยาวนานถึงสิบวันอย่างที่ไม่ได้ขยับตัวแม้แต่น้อย
หลังจากสิบวันผ่านไป เขาก็เดินออกมาจากห้องพร้อมด้วยเส้นผมที่ขาวไปทั้งหัว
จากนั้นเขาก็ได้ออกคำสั่งต่อตระกูลเจิ้งทั้งหมดให้ย้ายหลักไปปักฐานตั้งรกรากที่แดนเหนือ!
ข่าวนี้มันทำให้เกิดเสียงฮือฮากันไปทั่วสารทิศ
เมื่อข่าวนั้นลื่นลันไปจนถึงเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ คนทั้งเมืองต่างก็ต้องโห่ร้องขึ้นอย่างตื่นตะลึง
นายของพวกเขานั้นได้ทำลายสามัญสำนึกของพวกเขาลงอีกแล้ว
แม้ว่าพวกเขาทั้งหลายจะรู้ดีว่าเย่หยวนเก่งกาจเหนือล้ำปานใด แต่ก็ไม่มีใครเข้าใจว่ามันแข็งแกร่งในระดับใด
แต่ตอนนี้เย่หยวนกลับเอาชนะจอมเทพโอสถเจ็ดดาวแทบทุกคนในงานชุมนุมโอสถเมฆาลง
ความสำเร็จเช่นนี้มัน… เจิดจ้าจนเกินกว่าที่จะจินตนาการถึง!
และในเวลานี้ทางงานชุมนุมโอสถเมฆาก็ได้ปิดฉากลง
จนสุดท้ายแล้วหยุนยี่ก็ยังได้รับอันดับหนึ่งมา
แต่คนที่เจิดจ้าที่สุดนั้นมันกลับมิใช่หยุนยี่ แต่เป็นหนิงซืออวี๋!
หนิงซืออวี๋นั้นได้ก้าวข้ามอุปสรรคมากมายตลอดทางจนสุดท้ายก็ได้รับตำแหน่งอันดับที่สี่มาครอง
และสามอันดับที่เหนือกว่านางนั้นล้วนเป็นยอดอัจฉริยะอาณาจักรเต๋าทั้งสิ้น!
ตำแหน่งของหนิงซืออวี๋นั้นไม่ได้ทำให้ผู้คนเคลือบแคลงใจใดๆ แม้แต่น้อย เพราะตัวนางนั้นได้ถูกยอมรับว่าเป็นยอดคนอับดับหนึ่งใต้อาณาจักรเต๋าไปนานแสนนานแล้ว
ดำแหน่งอันดับที่สี่นั้นมันเหมาะสมกับตัวนางแล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนทั้งหลายตกตะลึงนั้นมันก็คือการประลองสุดท้ายของหนิงซืออวี๋ เพราะคู่ต่อสู้ของนางนั้นคือยอดอัจฉริยะอาณาจักรเต๋าที่ได้อันดับที่สามไป หลายชายของเทพสวรรค์ลี่หยาง หยางยี่
ในศึกครั้งนี้หนิงซืออวี๋ได้ใช้เต๋าโอสถออกมาอย่างเต็มที่จนเหนือล้ำกว่าที่ผู้คนจะจินตนาการได้ทำให้ทางหยางยี่ต้องเหงื่อตกอยู่ช่วงหนึ่ง
ระหว่างการประลองนี้คนทั้งสองได้ต่อสู้กันอย่างดุเดือดจนถึงขั้นที่เรียกได้ว่าสูสี
มันเป็นการประลองที่ทำให้ทุกผู้คนตกตะลึง!
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียหนิงซืออวี๋นั้นก็เป็นเพียงแค่อาณาจักรต้นขั้นสุด ส่วนหยางยี่นั้นเป็นถึงอาณาจักรเต๋า!
การที่หนิงซืออวี๋จะสามารถประลองได้ถึงขั้นนั้นมันย่อมทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่ารากฐานของเต๋าโอสถที่นางมีนั้นมันหนักแน่นปานใด
นั่นมันจึงยิ่งทำให้ชื่อเสียงของปรมาจารย์เย่แพร่กระจายหนักขึ้นไปอีกขั้น!
จนถึงเวลานี้งานชุมนุมโอสถเมฆานั้นเหลือเรื่องราวอีกแค่สองอย่าง และเป็นสองสิ่งที่เหล่าผู้เข้าร่วมงานทุกคนต่างตั้งตารอคอย เพราะมันคืองานรับศิษย์ของเหล่าปรมาจารย์และการสั่งสอนของเหล่าปรมาจารย์!
ยี่สิบอันดับแรกของสายห้าดาวและสายหกดาวนั้นจะได้รับสิทธิในการเลือกกราบปรมาจารย์ที่ตนเองนับถือที่สุด
แต่แน่นอนว่ามันย่อมจะขึ้นอยู่กับปรมาจารย์ผู้นั้นด้วยว่าจะรับพวกเขาเข้าเป็นศิษย์หรือไม่
ในเวลานี้ปรมาจารย์ทั้งสิบสี่คนต่างนั่งอยู่บนชั้นสูงมองดูเห็นทั่วทั้งลานกว้าง
ภาพของคนทั้งสิบสี่นั้นถูกฉายให้เห็นทั้งลาน แทนตัวของปรมาจารย์ทั้งสิบสี่
ในตอนนั้นเองที่เทพสวรรค์ผู้จัดงานได้ร้องบอกขึ้น “เอาล่ะ ยี่สิบอันดับแรกของสายห้าดาวก้าวมาข้างหน้าและเลือกปรมาจารย์ที่จะกราบเสีย เทพสวรรค์ผู้นี้รู้ดีว่าพวกเจ้าทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นลูกหลานทายาทเทพสวรรค์ แต่การได้กราบอาจารย์ในงานชุมนุมโอสถเมฆานี้มันเป็นโอกาสครั้งสำคัญของชีวิต! พวกเจ้าจะเลือกปรมาจารย์คนใดก็ตามที่ใจเลือกเถอะ ผู้เฒ่าผู้แก่ของพวกเจ้าย่อมจะไม่ติดใจใดๆ! แต่พวกเจ้าจงจำไว้ เจ้านั้นมีโอกาสเลือกกราบแค่ผู้เดียวเท่านั้น”
เหล่าจอมเทพโอสถห้าดาวทั้งหลายต่างแสดงสีหน้าท่าทางตื่นเต้นออกมา การที่จะได้กราบปรมาจารย์เป็นอาจารย์ของตนนั้นมันย่อมจะเป็นโอกาสสำคัญที่หาได้ยากยิ่งในชีวิตนี้
เพราะต่อให้จะเป็นเหล่าผู้เฒ่าผู้แก่ของพวกเขาทั้งหลายก็ไม่อาจเทียบเคียงกับปรมาจารย์ทั้งหลายได้!
“เอาล่ะ ผู้ใดที่ถูกเทพสวรรค์ผู้นี้ขานชื่อจงออกมาตามลำดับและเลือกปรมาจารย์ที่เจ้าคิดจะกราบ! คนแรก หลัวเทียนฉี”
หลัวเทียนฉีนั้นเป็นอันดับหนึ่งของสายห้าดาว มีพลังฝีมือเหนือล้ำอย่างไม่ต้องสงสัย
ในครั้งที่ผ่านๆ มานั้นใครก็ตามที่ได้อันดับหนึ่งย่อมจะมุ่งหน้าเข้าไปขอกราบเทพสวรรค์ดันหยู่เป็นอาจารย์สิ้น
ส่วนเรื่องที่ว่าเขาจะรับหรือไม่นั้น มันก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเทพสวรรค์ดันหยู่
แต่ในเวลานี้เทพสวรรค์เปียวหยูเองก็ได้ก้าวขึ้นมาถึงอาณาจักรบรรพกาลด้วยอีกคนแล้ว ทำให้เทพสวรรค์ดันหยู่ไม่อาจจะประมาณใดๆ ได้แล้ว
“หลัวเทียนฉี เทพสวรรค์ผู้นี้คิดว่าเจ้าเก่งกาจไม่น้อย มาหาเทพสวรรค์ผู้นี้ เทพสวรรค์ผู้นี้จะทำให้พรสวรรค์ของเจ้าเบิกบานเอง ในวันหน้าเจ้าคงเก่งกาจได้ไม่แพ้หยุนยี่” เทพสวรรค์ดันหยู่ร้องบอก
เขานั้นมั่นใจมาก เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงยอดคนอาณาจักรบรรพกาลทั้งยังเปิดปากเรียกเข้ามาเองเช่นนี้ทำให้เด็กหนุ่มหลัวเทียนฉีไม่ต้องกลัวว่าจะถูกปฏิเสธ
หากคนผู้นั้นมิใช่คนโง่ เขาย่อมจะก้าวเข้ามากราบเทพสวรรค์ดันหยู่แน่
แม้ว่าครั้งนี้เขาจะพ่าย แต่ชื่อเสียงที่สะสมมากว่าแสนๆ ปีมันไม่ได้มีขึ้นมาลอยๆ
หลายปีที่ผ่านมามียอดนักหลอมโอสถมากมายเท่าใดที่ก้าวออกจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิโอสถเมฆานี้ไป?
เพียงแค่ว่าครั้งนี้เขาคำนวณพลาดไป
หลัวเทียนฉีก้มหัวลงต่ำแก่เทพสวรรค์ดันหยู่ก่อนจะบอก “ขอบพระคุณท่านดันหยู่ที่คิดต้อนรับข้าอย่างดี ข้าตื้นตันจนเกินหัวใจ! เพียงแค่ว่า… ข้าน้อยนั้นได้เลือกปรมาจารย์ที่คิดจะกราบไว้ตั้งแต่เริ่มแล้ว ต้องขออภัยท่านจริงๆ”
เทพสวรรค์ดันหยู่หน้าเปลี่ยนสีไปทันทีและกำลังคิดที่จะเปิดปากขึ้นพูดอีกครา แต่เขากลับเห็นว่าหลัวเทียนฉีเดินตรงฝ่าภาพของเหล่าจอมเทพโอสถเจ็ดดาวทั้งหลายเข้าไปหาเย่หยวน
เขากลับไม่คิดจะเลือกเปียวหยู?
ได้เห็นว่ามันเป็นเย่หยวน เทพสวรรค์ดันหยู่ก็ได้แต่ถอนหายใจยาว
เพราะการแย่งชิงอัจฉริยะกันนี้เองมันก็สำคัญ
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียตัวเขาคนเดียวก็คงไม่อาจดูแลดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ทั่วถึง
แต่ตราบเท่าที่พวกเขาไม่ได้เลือกเทพสวรรค์เปียวหยู มันก็ย่อมจะไม่เป็นปัญหา
เทพสวรรค์ผู้จัดงานนั้นเองก็มึนงงไปเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้คิดใส่ใจใดๆ และกล่าวนามต่อไปขึ้น “คนที่สอง หลี่ชิง”
เดิมทีแล้วเทพสวรรค์ดันหยู่ย่อมจะไม่คิดสนใจอันดับที่สองใดๆ
เพียงแค่ว่าดว้ยสถานการณ์ในเวลานี้ เขาจึงยังคงเปิดปากพูดขึ้นมา
“หลี่ชิง เทพสวรรค์ผู้นี้จะรับเจ้าเป็นศิษย์เอง!” เทพสวรรค์ดันหยู่ร้องบอกอีกครา
หลี่ชิงจึงได้แต่ทำหน้าท่าทางรู้สึกผิดขึ้นก่อนจะก้มหัวลงต่ำ “ขอบพระคุณท่านดันหยู่ที่คิดชื่นชอบตัวข้า เพียงแค่ว่า… ข้าน้อยนั้นได้เลือกอาจารย์ไว้ในดวงใจแล้ว”
พูดจบหลี่ชิงก็ได้เดินเข้าไปต่อแถวของเย่หยวนอย่างไม่คิดลังเลใดๆ
…………………………