ความแปลกประหลาดของหนิงซืออวี๋นั้นได้ปรากฏต่อหน้าของเหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายในไม่ช้า
นั่นทำให้ทุกผู้คนถึงกับพูดไม่ออก
เด็กสาวจอมเทพโอสถห้าดาวนางหนึ่งกลับสามารถปะทะกับยอดคนอาณาจักรเต๋าได้อย่างสูสี
ฝีมือระดับนี้มันเหนือล้ำจนทำให้ผู้คนหวาดกลัว
หนิงซืออวี๋นางนี้มันเป็นเย่หยวนตัวน้อยดีๆ นี่เองมิใช่หรือ?
เท่านี้เหล่าจอมเทพโอสถเจ็ดดาวทั้งหล่าก็เข้าใจทันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเหล่ายอดอัจฉริยะทั้งหลาย
มีหรือที่เมืองบ้านนอกอย่างเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นจะให้กำเนิดยอดคนอัจฉริยะได้ปานนี้? หนิงซืออวี๋นี้ย่อมจะต้องได้รับการดูแลจากเย่หยวนมาแล้ว!
อย่างมากที่สุดหนิงซืออวี๋ก็คงติดตามเย่หยวนมาแค่พันปีแต่กลับมีวิชาฝีมือเหนือล้ำปานนี้ มันน่ากลัวจนจับหัวใจ
ทุกผู้คนต่างต้องหันไปมองเย่หยวนด้วยสายตาราวกับได้เห็นผี เจ้าเด็กคนนี้… มันช่างเป็นสัตว์ประหลาดเสียจริงๆ!
เทพสวรรค์ดันหยู่นั้นเข้าใจหยุนยี่ขึ้นมาได้ในทันที เหลนของเขาคนนี้มีความรักต่อวิชาโอสถอย่างเหนือล้ำ จนผู้คนทั้งหลายไม่อาจจะทำความเข้าใจความรู้สึกนั้นได้
เมื่อได้เห็นความเก่งกาจของเย่หยวนแล้วมีหรือที่หยุนยี่จะไม่ประทับใจ?
และหากหยุนยี่สามารถกราบเย่หยวนเป็นอาจารย์ได้จริงๆ บางทีมันอาจจะกลายเป็นเรื่องดีต่อยอดเมืองหลวงจักรพรรดิโอสถเมฆาด้วยซ้ำ
เพราะแม้ว่าเขาจะไม่อยากยอมรับแต่เทพสวรรค์ดันหยู่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าตนนั้นมีพรสวรรค์ที่ด้อยกว่าเทพสวรรค์เปียวหยู
ตอนนี้เมื่อเขาได้แพ้ให้แก่เทพสวรรค์เปียวหยูแล้ว เมื่อเวลาผ่านไปอีกชัยชนะของเขามันก็จะยิ่งห่างไกลออกไป
แต่หยุนยี่นั้นยังมีโอกาสพัฒนาตนได้อีกมาก หากได้รับการสั่งสอนจากเย่หยวนแล้วจริงๆ การจะก้าวข้ามเทพสวรรค์เปียวหยูในวันหน้ามันก็คงมีโอกาสเป็นไปได้
เว้นเสียแต่ว่า… เขาจะผ่านการทดสอบของเย่หยวนได้หรือไม่?
สุดท้ายการเลือกศิษย์ของงานชุมนุมโอสถเมฆามันก็ได้จบลงด้วยเรื่องราวสุดแปลกประหลาดนี้
นอกจากตัวหนิงซืออวี๋แล้วคนอื่นๆ ทั้งสามสิบเก้าคนได้มุ่งหน้าออกจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิโอสถเมฆามุ่งหน้าไปยังเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ทันที
จากนั้นมันก็เริ่มงานการบรรยายความรู้จากเหล่าปรมาจารย์ทั้งหลายที่จะกินเวลาถึงครึ่งเดือน
ตอนนี้สิบสี่จุดในเมืองได้ถูกจัดตั้งเป็นลานเรียนรู้เพื่อที่จะเป็นพื้นที่ให้ปรมาจารย์ทั้งสิบสี่คนได้ทำการสอนบรรยาย
การบรรยายของปรมาจารย์ทั้งสิบสี่นั้นมันเป็นเหมือนการแจกทานความรู้ เหล่านักหลอมโอสถทั้งหลายในเมืองนั้นจะสามารถเลือกปรมาจารย์ที่จะเข้าฟังการบรรยายได้อย่างอิสระตามใจอยาก ไม่มีข้อบังคับใดๆ
หลินตงนั้นเป็นจอมเทพโอสถห้าดาวผู้หนึ่งจากเมืองจักรพรรดิอันห่างไกล ตัวเขานั้นได้มุ่งหน้ามายังยอดเมืองหลวงจักรพรรดิโอสถเมฆาเพื่อที่จะทำการฟังบรรยายของเหล่าปรมาจารย์ทั้งหลายโดยเฉพาะ
แต่ตัวเขานั้นไม่มีสิทธิที่จะเข้าไปดูการแข่งขันงานชุมนุมโอสถเมฆาในเขตเมืองชั้นใน เหตุผลเดียวที่เขาเดินทางมาถึงยอดเมืองหลวงจักรพรรดินั้นมันมีเพียงแค่เพื่อจะฟังการบรรยายจากเหล่าปรมาจารย์
ที่เมืองชั้นนอกนั้นเขาก็ได้รู้จักกับผู้คนไม่น้อยระหว่างที่รอให้ถึงช่วงการบรรยายและได้ตกลงว่าจะไปร่วมฟังการบรรยายความรู้ของปรมาจารย์ด้วยกัน
“หลินตง เจ้าคิดจะไปฟังการบรรยายของปรมาจารย์ท่านใด?” คนที่พูดอยู่นี้คือสหายที่หลินตงได้รู้จักในระหว่างรอให้ถึงเวลางานบรรยายนี้มีนามว่าซ่งซือชุน
หลินตงตอบกลับออกไปอย่างไม่คิดลังเล “ต้องถามด้วยหรือ? แน่นอนว่ามันต้องเป็นเทพสวรรค์ดันหยู่! ท่านนั้นเป็นถึงอาณาจักรบรรพกาลเชียวนะ อันดับหนึ่งในแดนใต้เราเลยนะ!”
ซ่งซือชุนที่ได้ยินจึงหัวเราะขึ้นมา “อันดับหนึ่งในแดนใต้? ข่าวของเจ้านี้มันเก่าคร่ำจริง! ตอนนี้เทพสวรรค์ดันหยู่ท่านได้แพ้พ่ายให้แก่เทพสวรรค์เปียวหยูไปแล้ว ตำแหน่งอันดับหนึ่งแห่งแดนใต้มันได้เปลี่ยนมือไปแล้วเรียบร้อย!”
หลินตงที่ได้ยินก็เบิกตากว้างขึ้นทันที “เทพสวรรค์ดันหยู่นั้นอยู่ถึงอาณาจักรบรรพกาลนะ! จะแพ้ไปได้อย่างไร?”
ซ่งซือชุนที่ได้เห็นเช่นนั้นจึงคิดจะอวดข่าวที่ตนรู้มาก่อนให้เพื่อนฟัง “เจ้าคงยังไม่รู้ใช่ไหมเล่า? เทพสวรรค์เปียวหยูท่านนั้นเตรียมการมาดี ครั้งนี้ท่านมาพร้อมบรรลุอาณาจักรบรรพกาลเช่นนั้น ที่สำคัญคือท่านยังเอาชนะเทพสวรรค์ดันหยู่ได้ภายใต้สายตาของทุกผู้คนที่ไปร่วมงาน งานชุมนุมโอสถเมฆานั้นมันจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว เพราะงานชุมนุมในครั้งหน้ามันจะเปลี่ยนไปใช้ชื่อว่างานชุมนุมทองวาวแทน!”
“ม-มันมีเรื่องแบบนั้นด้วยหรือนี่?” หลินตงย่อมจะเบิกตากว้างอย่างตื่นตะลึง
เพราะมันเป็นการยากมากที่เหล่านักยุทธระดับล่างอย่างพวกเขาทั้งหลายจะเข้าถึงข่าวที่แท้จริงของเมืองชั้นใน ส่วนมากแล้วมันจะเป็นแค่ข่าวลือที่เหล่าทหารเอาออกมาพูดกันเท่านั้น
ซ่งซือชุนคนนี้นั้นมีเส้นสายรู้จักกับคนในเมืองชั้นใน ทำให้ข่าวของเขานั้นค่อนข้างจะแม่นยำมากกว่าคนทั่วๆ ไปในเมืองชั้นนอก
ซ่งซือชุนยิ้มขึ้น “หึ แม้ว่าเรื่องที่เทพสวรรค์เปียวหยูเอาชนะเทพสวรรค์ดันหยู่ได้มันจะใหญ่โต แต่พระเอกของงานชุมนุมโอสถเมฆาครั้งนี้มันกลับเป็นคนอื่น”
หลินตงที่ได้ยินเรื่องราวน่าเหลือเชื่อติดๆ กันเช่นนั้นจึงได้แต่อ้าปากค้างอย่างไม่อาจคิดตามทัน “หรือว่า… จะยังมีคนที่เก่งกาจเหนือล้ำสองยอดคนอาณาจักรบรรพกาลนี้?”
“หึๆ ไม่แน่หรอกว่าจะเก่งกว่า แต่การที่เขาจะก้าวข้ามยอดคนอาณาจักรบรรพกาลทั้งสองนี้ไปได้มันย่อมเป็นอนาคตที่แน่นอน” ซ่งซือชุนกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ
หลินตงที่ได้ยินจึงถอนหายใจยาว “ดูท่าคงมียอดอัจฉริยะคนใหม่ปรากฏตัวขึ้นมาในงานชุมนุมโอสถเมฆาสินะ”
เพราะงานชุมนุมโอสถเมฆาแต่ละครั้งนั้นมันย่อมจะมียอดอัจฉริยะคนใหม่ปรากฏขึ้นเสมอ หลินตงจึงไม่คิดตื่นตกใจใดๆ
แต่ซ่งซือชุนกลับยิ้มออกมาด้วยท่าทางเย้ยหยัน “งานชุมนุมโอสถเมฆา? หึๆ ในหมู่คนหนุ่มสาวทั้งหลายนั้น ท่านผู้นี้เป็นแค่เทพถ่องแท้สามดาวเท่านั้น และยังเป็นเพียงแค่จอมเทพโอสถหกดาว แต่กลับเก่งกาจเหนือล้ำกว่าเหล่าจอมเทพโอสถเจ็ดดาวทั้งหลายและก้าวขึ้นมาเป็นปรมาจารย์ได้! ไม่เพียงแค่นั้นเหล่าผู้ชนะงานชุมนุมโอสถเมฆาทั้งสี่สิบคนได้เลือกจะกราบท่านเป็นอาจารย์จนสิ้น!”
หลินตงยิ่งได้ฟังยิ่งแสดงสีหน้าตื่นตกใจออกมา
แต่หลังจากซ่งซือชุนพูดจบแล้วหลินตงก็หัวเราะขึ้น “พี่ซ่ง ท่านคงว่ากล่าวเกินจริงแล้วมั้ง? จอมเทพโอสถหกดาวกลับเหนือล้ำกว่าจอมเทพโอสถเจ็ดดาวหรือ? มันจะเป็นไปได้อย่างไร?”
เมื่อซ่งซือชุนได้เห็นว่าหลินตงไม่คิดเชื่อเขาจึงยิ้มตอบไป “ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่มันก็เรื่องของเจ้า ไม่ว่าอย่างไรเสียข้าก็หวังจะไปฟังการบรรยายจากปรมาจารย์เย่ ลาก่อน!”
ได้เห็นว่าซ่งซือชุนจากไปจริงๆ หลินตงก็ได้แต่หัวเราะออกมาพร้อมส่ายหัว
ซ่งซือชุนนั้นโม้เกินจริงจนเกินไป มันเกินจริงจนไม่อาจทำใจเชื่อลง
เพราะตอนนี้มันมิใช่แค่หลินตงเท่านั้นแต่เหล่าผู้คนในเมืองนับแสนๆ เองก็ย่อมจะไม่คิดเชื่อว่าเทพถ่องแท้สามดาวผู้หนึ่งจะโดดเด่นเหนือล้ำกว่ายอดคนอาณาจักรบรรพกาลไปได้
เมื่อการบรรยายของเหล่าปรมาจารย์เริ่มขึ้นแน่นอนว่าเย่หยวนจะเป็นการบรรยายที่มีผู้เข้าฟังน้อยที่สุด ตอนนี้มันมีคนมาเข้าฟังอยู่แค่ไม่กี่พันคน
และส่วนมากของคนทั้งหลายนี้จะล้วนแต่เป็นผู้ได้เข้าร่วมแข่งในงานชุมนุมโอสถเมฆาทั้งสิ้น
เพราะการสั่งสอนวิชาโอสถนั้นมันแตกต่างจากการประลองโอสถ ไม่ว่าเย่หยวนจะมีฝีมือเก่งกาจปานใดความรู้ประสบการณ์ของเขามันก็คงไม่อาจเทียบเคียงกับเหล่าปรมาจารย์คนอื่นๆ ได้
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือเย่หยวนนั้นเป็นเพียงแค่จอมเทพโอสถหกดาว
เพราะฉะนั้นพวกเขาทั้งหลายจึงไม่คิดว่าเขาจะสั่งสอนวิชาได้มากมาย
กับเหล่านักหลอมโอสถทั้งหลายแล้วโอกาสเช่นนี้มันจะมีมาแค่หลายหมื่นปีครั้ง พวกเขาย่อมจะไม่คิดเอามันไปเสี่ยงกับเด็กหนุ่มที่เพิ่งปรากฏกาย
เมื่อหลินตงได้เห็นว่าเบื้องหน้านั้นมีคนมากมายราวมหาสมุทรเขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา
‘ซ่งซือชุนเจ้าบ้านั่นคงโม้แล้วแน่ๆ บางทีเขาเองก็อาจจะแอบมาฟังการบรรยายของเทพสวรรค์ดันหยู่ท่านด้วยก็ได้ หากปรมาจารย์หนุ่มคนนั้นเก่งกาจจริงอย่างที่ลือ มีหรือที่คนมากมายจะมาฟังการบรรยาของเทพสวรรค์ดันหยู่เช่นนี้’ หลินตงได้แต่คิดแล้วก็สงสัยในใจ
ในวันแรกของการบรรยายนั้นหลินตงรู้สึกอิ่มเอมมากหลังได้ฟัง
ยอดคนอาณาจักรบรรพกาลนี้มันเป็นอาณาจักรบรรพกาลอย่างแท้จริง ทั้งประสบการณ์ทั้งความรู้ต่างๆ เวลาที่สั่งสอนออกมานี้มันย่อมจะเป็นประโยชน์ไปทั้งชีวิต
หลินตงนั้นมีความสามารถที่เหนือล้ำไม่น้อยจนก้าวล้ำเมืองจักรพรรดิไปแสนไกล แต่สุดท้ายความเก่งกาจนั้นมันก็มาถึงทางตัน
เพราะเมืองจักรพรรดิน้อยๆ นั้นมันย่อมจะไม่มีอะไรให้เขาเรียนรู้ได้อีก
ก่อนหน้านี้เขาไปได้ยินเรื่องราวของงานชุมนุมโอสถเมฆาเข้าจึงได้รีบมุ่งหน้ามายังยอดเมืองหลวงจักรพรรดิโอสถเมฆาอย่างไม่คิดลังเล
ตอนนี้เมื่อมาได้ยินการบรรยายของเทพสวรรค์ดันหยู่แล้วเขาก็รู้สึกว่าตนตัดสินใจไม่ผิดจริงๆ
ความรู้สึกนี้มันทำให้เขารู้สึกราวกับว่าจะบรรลุได้ทุกเมื่อ
‘หึ นี่คือความสามารถของอาณาจักรบรรพกาล! การบรรยายนี้มันอาจช่วยให้ผู้คนบรรลุได้ง่ายๆ!’ หลินตงได้แต่คิดขึ้นอย่างตื่นเต้นดีใจ
แต่ในเวลานั้นเองที่มันได้เกิดเสียงกระซิบกระซาบกันที่ด้านข้างเขา
หลินตงนั้นต้องขมวดคิ้วแน่นก่อนจะหันหน้าไป คิดจะบ่นว่าอีกฝ่ายเสียหน่อย
ยอดคนอาณาจักรบรรพกาลกำลังบรรยายสอนอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่พวกเขาเหล่านี้กลับไม่คิดสนใจและคิดคุยกระซิบกระซาบกันแทน
แต่เมื่อหันไปเขากลับต้องมึนงง
ผู้คนหายไปไหนกันหมด?
………………………