เรื่องที่หอมหาสมบัติได้ถอนตัวจากพันธมิตรแดนใต้นี้แพร่กระจายไปทั่วสารทิศอย่างรวดเร็วจนทำให้วงการโอสถต้องสั่นสะเทือน
ด้วยตำแหน่งหนึ่งในยักษ์ใหญ่แห่งวงการ หอมหาสมบัตินั้นมีกำลังเป็นอันดับสองรองจากแค่ยอดเมืองหลวงจักรพรรดิโอสถเมฆาเท่านั้น
แต่ไม่ว่าเก่งกาจทรงอำนาจมากเท่าใดมันก็เป็นได้แค่หนึ่งใจเจ็ดยักษ์ใหญ่เท่านั้น
หอมหาสมบัตินั้นถอนตัวจากพันธมิตรแดนใต้เช่นนี้มันย่อมเท่ากับว่าพวกเขากำลังประกาศสงครามกับวงการโอสถในแดนใต้ทั้งหมดทั้งสิ้น
แม้ว่ามันจะมิใช่สงครามที่สู้กับด้วยดาบหอก แต่สงครามการค้านี้เองก็เป็นหนึ่งในสงครามที่โหดร้ายอย่างมาก บางทีอาจจะโหดร้ายยิ่งกว่าการสู้รบด้วยเลือดเนื้อเสียด้วยซ้ำ
ด้วยกำลังของหอมหาสมบัติเพียงลำพังแล้วมีหรือที่พวกเขาจะทนทานการแย่งชิงดินแดนการค้าจากหกยักษ์ใหญ่ที่เหลือได้?
“เทพสวรรค์เปียวหยูก็บ้าบิ่นเกินไป แค่เพราะเพื่อจะช่วยเย่หยวนนั้นเขากลับเลือกที่จะเป็นศัตรูกับแดนใต้ทั้งหมดทั้งสิ้น!”
“หึ ปรมาจารย์เย่นี่เก่งกาจสมชื่อจริงๆ จะเรียกเขาว่าเป็นยอดคนอันดับหนึ่งแห่งแดนใต้เรามันก็คงไม่ผิดเลย แต่ต่อให้จะเป็นยอดคนอันดับหนึ่ง มันก็ยังมีขีดจำกัดของตนอยู่ดี”
“พวกเจ้ายังไม่รู้ใช่หรือไม่? ตอนนี้ยักษ์ใหญ่ทั้งหกนั้นได้เริ่มเข้าไปตั้งเปิดร้านในเขตแดนของหอมหาสมบัติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดูท่าเรื่องนี้อาจจะได้เห็นจักรพรรดิเทพสวรรค์วันเปาท่านออกมาจัดการเองก็ได้!”
“หกยักษ์ใหญ่นี่ก็ลงมืดรวดเร็วเหลือเกิน ตอนนี้เทพสวรรค์เปียวหยูคงได่แต่นั่งหน้าเสียแล้วมั้งเนี่ย?”
…
ทุกทิศในแดนใต้นั้นมันต่างมีคนพูดถึงเรื่องความเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงของวงการโอสถนี้
ในสายตาของคนทั้งหลายแล้วเทพสวรรค์เปียวหยูย่อมจะทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง ตัดสินใจผลักหอมหาสมบัติลงกองไฟอย่างแท้จริง
ถึงเวลานั้นมันคงต้องให้จักรพรรดิเทพสวรรค์วันเปาออกมาจัดการความยุ่งเหยิงวุ่นวายนี้แทนแล้ว
จักรพรรดิเทพสวรรค์นั้นเป็นตัวตนที่ไม่สนโลกเบื้องล่างมากมายนัก แต่เรื่องราวที่ใหญ่โตขนาดนี้ต่อให้เป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์เองก็คงไม่อาจปล่อยไปได้
ในเวลานี้ ณ เขาเมฆาฝันแห่งยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวมันได้เกิดแสงสีทองอร่ามสว่างจ้าขึ้น
ซือหยู่และชิงหยุนทั้งสองคนนั้นต่างรับรู้ได้ถึงพลังอันหนักหน่วงนี้และได้แต่มองดูมันอย่างตื่นตะลึง
“แข็งแกร่งจริงๆ นี่หรือคือคลื่นพลังของอาณาจักรบรรพกาล! ไม่นึกเลยว่าผู้อาวุโสเย่จะสามารถก้าวขึ้นมาถึงอาณาจักรบรรพกาลได้ด้วยเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้และยังสามารถปะทะกับท่านอาจารย์เราที่อยู่ในอาณาจักรบรรพกาลได้!” ซือหยู่ร้องขึ้น
พวกเขานั้นเคยคิดดูถูกเย่หยวนในครั้งแรกที่เจอ แต่หลังจากได้เห็นการประลองของเทพสวรรค์เปียวหยูและเย่หยวนแล้วความคิดของพวกเขาก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
จิตโอสถกังวานนั้นมันยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของทั้งสอง
ชิงหยุนนั้นหยุดคิดไปพักหนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้น “ต่อให้เขาจะบรรลุอาณาจักรบรรพกาลมาได้แต่แล้วทำไมเล่า? ยังไม่เขาก็ยังไม่น่าเทียบเคียงท่านอาจารย์เราได้! เพราะอาจารย์เรานั้นสามารถโค่นเทพสวรรค์ดันหยู่ผู้นั้นลงได้ในงานชุมนุมโอสถเมฆาจนตอนนี้มีตำแหน่งเป็นอันดับหนึ่งแห่งแดนใต้นะ!”
ซือหยู่เองก็พยักหน้าขึ้นตาม “ก็จริง มีหรือที่เย่หยวนนั้นจะเทียบเคียงท่านอาจารย์ได้?”
ระหว่างที่คนทั้งสองกำลังนั่งคุยกันไปคลื่นพลังจากภายในห้องมันก็ได้ถูกดึงกลับจางหายไป
เย่หยวนและเทพสวรรค์เปียวหยูสองคนเดินออกมาด้วยรอยยิ้มกว้างจนทำให้ทั้งซือหยู่ ชิงหยุน เซินชางและเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายต้องรีบเข้าไปถามไถ่ถึงผลด้วยสีหน้าสุดสงสัยในใจ
“อาจารย์ ท่านชนะแน่แล้วใช่ไหม? ท่านนั้นเป็นถึงยอดคนอันดับหนึ่งในเต๋าโอสถแห่งแดนใต้!” ซือหยู่ถามขึ้นด้วยความมั่นใจ
เทพสวรรค์เปียวหยูหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ยอดคนอันดับหนึ่งในเต๋าโอสถแห่งแดนใต้? ฮ่าๆๆ! ข้ายังไม่ทันได้นั่งตำแหน่งนั้นมันก็โดนเจ้าเด็กนี่แย่งไปแล้ว! จากวันนี้ไปหากจักรพรรดิเทพสวรรค์ทั้งหลายไม่ออกมามันก็คงไม่มีใครเทียบเคียงเขาได้แล้ว! บางทีเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าทั้งหลายนั้นเองก็อาจจะยังเทียบเคียงเย่หยวนไม่ได้เสียด้วยซ้ำ”
เปียวหยูหัวเราะออกมาอย่างสบายอารมณ์ กล่าวคำพูดออกมาอย่างไม่มีท่าทีติดขัดใดๆ แต่เมื่อมันเข้าถึงหูเหล่าซือหยู่ทั้งหลายมันกลับทำให้พวกเขาแทบสิ้นสติลง
มันหมายความว่า… อาจารย์ของพวกเขาแพ้หรือ?
“นี่มัน… จะเป็นไปได้อย่างไร? อาจารย์นั้นสามารถโค่นได้แม้แต่เทพสวรรค์ดันหยู่คางานชุมนุมโอสถเมฆาเลยนะ!” ซือหยู่กล่าว
ในจิตใจของพวกเขาแล้วเทพสวรรค์ดันหยู่นั้นเป็นดั่งเทพเหนือฟ้าไม่อาจเอื้อมถึงได้
แต่ตอนนี้เมื่ออาจารย์ของพวกเขาบรรลุขึ้นอาณาจักรบรรพกาลได้และยังสามารถโค่นเทพสวรรค์ดันหยู่ผู้เป็นอันดับหนึ่งแห่งแดนใต้ลงได้
แต่อาจารย์ของพวกเขานั้นกลับยอมรับว่าตนด้อยกว่าเย่หยวน
นี่มัน… จะไม่ได้แทบสิ้นสติได้อย่างไร?
เปียวหยูนั้นหัวเราะลั่นอย่างไม่มีท่าทีจะหยุด “ข้าประลองกับเย่หยวนสามรอบและพ่ายทั้งสามรอบติด! โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหกที่ตัวเขาหลอมขึ้นมานั้นมันเกือบจะขึ้นไปถึงขั้นเทวะวิญญาณมรณาแล้ว ข้าด้อยกว่าเขาไปมาก!”
เหมือนดั่งความต่างชั้นของวิชายุทธในระดับสูงๆ ที่แค่หนึ่งขั้นมันก็แสนห่างไกล คุณภาพของโอสถขั้นเทวะวิญญาณไพศาลนั้นเองก็แบ่งหลายระดับ
หากจะนับว่ามันแบ่งออกมาเป็นระดับต่ำ กลาง สูง สามระดับแล้วล่ะก็ โอสถที่คนทั้งสองเคยหลอมกันมาก่อนหน้ามันคงอยู่ในระดับกลาง
แต่หลังจากขึ้นมาถึงอาณาจักรบรรพกาลได้โอสถที่เทพสวรรค์เปียวหยูหลอมขึ้นมาได้มันก็พัฒนาขึ้นไปถึงระดับสูง
แต่ตัวเย่หยวนในเวลานี้เขาสามารถหลอมโอสถขั้นเทวะวิญญาณไพศาลไปได้ถึงระดับสูงขั้นสุด ห่างจากขั้นเทวะวิญญาณมรณาไปแค่ก้าวเดียวเท่านั้น
หากเย่หยวนพัฒนาฝีมือต่อไปอีกการจะหลอมโอสถให้ได้ถึงขั้นเทวะวิญญาณมรณามันคงมิใช่เรื่องยากเย็น
แน่นอนว่าพูดมันง่ายแต่ทำจริงมันยากเย็น
หลังจากขึ้นอาณาจักรบรรพกาลมาแล้วแต่ละย่างก้าวมันย่อมจะแสนยากลำบาก
เปียวหยูนั้นรู้ดีว่าเย่หยวนมีพรสวรรค์ความสามารถสูงล้นแต่หากคิดจะผ่านระดับนี้ไปมันก็ยังคงต้องใช้เวลาอีกมากมายไม่น้อย
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นในเวลานี้เย่หยวนก็มีฝีมือมากพอจะทำให้ฟ้าดินสั่นสะท้านได้แล้ว
ในแดนใต้ ณ เวลานี้หากไม่นับรวมเหล่าจอมเทพโอสถแปดดาวแล้วมันก็คงไม่มีใครเทียบเคียงเย่หยวนได้
เมื่อใดที่เย่หยวนสามารถบรรลุขึ้นอาณาจักรเทพสวรรค์ได้ เขาก็จะได้รับนามยอดคนอันดับหนึ่งแห่งแดนใต้ไปอย่างแท้จริง
เมื่อได้ยินคำของเทพสวรรค์เปียวหยูซือหยู่และพวกต่างก็ได้แต่สูดหายใจเข้าลึก
สามรอบ เทพสวรรค์เปียวหยูกลับไม่อาจชนะได้แม้สักรอบ!
นี่มันย่อมจะแสดงอย่างชัดเจนแล้วว่าเย่หยวนนั้นเก่งกาจเหนือล้ำเทพสวรรค์เปียวหยูไปอย่างแน่นอนแล้ว
เย่หยวนที่ได้ยินก็ยิ้มตอบกลับมา “พี่เปียวหยูอย่าได้กล่าวชมข้ามากนักเลย ท่านเองก็อุตส่าห์ลงเดิมพันกับข้าคนนี้ด้วยหอมหาสมบัติ มันช่างเป็นการเดิมพันที่ใหญ่นัก! ท่านมั่นใจในตัวข้าขนาดนั้น?”
เทพสวรรค์เปียวหยูยิ้มออกมา “หึๆ คนอื่นไม่รู้จักเจ้าแต่ข้าผู้นี้รู้! เจ้านั้นสร้างได้แม้แต่โอสถครองวิญญาณผสานเต๋า โอสถพื้นฐานทั้งหลายนี้มันจะนับเป็นเรื่องยากเย็นใดกันเล่า? พวกมันทั้งหลายนั้นคิดว่าเจ้าโม้อวดตัว แต่หากมันได้เห็นฝีมือของเจ้าแล้วข้าล่ะสงสัยเหลือเกินว่าพวกมันทั้งหลายจะทำหน้าอย่างไร! ในศึกที่ข้าจะชนะอย่างไม่มีทางแพ้ได้ ทำไมข้าถึงจะไม่คิดลงเดิมพันเล่า? เมื่อชนะเดิมพันแล้วหอมหาสมบัติก็จะได้กลายเป็นมหาอำนาจในวงการโอสถอย่างเด็ดขาด พวกมันทั้งหลายนั้นจะต้องก้มหัวให้แก่พวกเรา! เทพสวรรค์ผู้นี้อยากจะเห็นจริงๆ ว่าดันหยู่เฒ่านั้นมันจะทำหน้าอย่างไรตอนที่ต้องมาก้มหัวให้เราทั้งสองคน ฮ่าๆๆ!”
พูดไปเทพสวรรค์เปียวหยูก็ยิ่งหัวเราะลั่นดังขึ้น
เขานั้นไม่รู้ว่าไม้ตายที่เย่หยวนถือไว้คือสิ่งใด แต่เขานั้นเชื่อในเย่หยวน
คนอื่นไม่รู้จักความน่ากลัวของโอสถครองวิญญาณผสานเต๋า แต่ตัวเทพสวรรค์เปียวหยูนั้นรู้ถึงมันดี
เหล่าคนโง่ทั้งหลายนั้นมันคิดทำให้เรื่องเล็กๆ กลายเป็นเรื่องใหญ่โต
เย่หยวนที่ได้ยินคำพูดของเทพสวรรค์เปียวหยูก็ได้แต่หัวเราะออกมา “พี่เปียวหยูช่างเป็นปีศาจเจ้าแผนการจริงๆ! หึๆ เพื่อตอบแทนความเชื่อใจที่ท่านมีให้ข้านี่ข้าก็จะขอมอบสูตรโอสถทั้งสิบห้านี้ให้ท่านแล้วกัน!”
พูดจบเย่หยวนก็ขยับมือส่งแผ่นหยกหลายแผ่นออกมาวางเรียงรายบนโต๊ะ
เทพสวรรค์เปียวหยูต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นมันทั้งหลายนี้ “มากขนาดนี้เลย?”
เขานั้นค่อยๆ หยิบหยกขึ้นมาก่อนจะส่งจิตของตนลงไปอ่านดูภายในทำให้ใบหน้าของเขาต้องเปลี่ยนสีไปอีกครั้ง
จากนั้นเขาก็หยิบหยกอีกแผ่นขึ้นมาอย่างไม่รีรอ
เมื่อได้ลองอ่านดูภายในหยกแต่ละแผ่นไปสีหน้าของเทพสวรรค์เปียวหยูก็ยิ่งแสดงความตื่นตะลึง
เมื่อเขาวางหยกแผ่นสุดท้ายลงเขาก็หันมามองหน้าเย่หยวนราวกับเย่หยวนเป็นผีปีศาจที่ไหน
“เฮ้อ เทพสวรรค์ผู้นี้เคยคิดว่าตนรู้จักเจ้าดีแล้วแท้ๆ แต่เมื่อได้เห็นสูตรโอสถทั้งหลายนี้มันก็เป็นอีกครั้งที่ข้าผู้นี้ได้รู้ตัวว่าตนยังคงดูถูกเจ้ามากไปอยู่! แค่ลำพังสูตรโอสถทั้งหลายนี้มันก็มากพอที่จะทำให้เหล่าคนโง่ทั้งหลายนั้นมันมาก้มกราบเราสองในยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาวนี้ได้!”
พูดมาถึงตรงนี้ดวงตาทั้งสองของเทพสวรรค์เปียวหยูก็เบิกกว้างขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
เพราะไม้ตายของเย่หยวนนี้มันทำให้เขาล้นเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
เทพสวรรค์เปียวหยูนั้นรู้ดีว่าศึกนี้มันจะกลายเป็นการล้างบางวงการโอสถแห่งแดนใต้จนสิ้นแน่!
……………………