หลัวเทียนฉีนั้นมองดูเย่หยวนอย่างไม่คิดอยากเชื่อจนคิดว่าตัวเองอาจจะได้ยินผิดไปเสียด้วยซ้ำ
ในเวลานี้เย่หยวนกลับยังคิดไล่เขาให้ไสหัวไป?
ตอนนี้มันมิใช่แค่หลัวเทียนฉีแต่เหล่าผู้คนทั้งหลายก็ได้แต่มองดูเย่หยวนอย่างมึนงง
“ปรมาจารย์เย่ ข้าว่าท่านคงยังไม่เข้าใจสถานการณ์ใช่ไหม? หากหอมหาสมบัติพ่ายลงแล้วท่านคิดว่าตนจะยังอยู่สบายๆ ในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้ได้หรือ? หากไม่มีการปกป้องการหอมหาสมบัติแล้วเทพสวรรค์ดันหยู่ท่านย่อมจะเล็งเป้ามาที่ท่านเป็นคนแรกแน่!” หลัวเทียนฉีกล่าว
เขานั้นคิดว่าต้องอธิบายสถานการณ์ให้แก่เย่หยวนฟังไม่เช่นนั้นแล้วเย่หยวนอาจจะยังคิดว่าตนเองเป็นสุดยอดปรมาจารย์เหนือฟ้าดิน
เย่หยวนมองดูที่หลัวเทียนฉีก่อนจะกล่าวขึ้น “เจ้าพูดมากปากเหม็น! ข้าสั่งให้เจ้าไสหัวไป ไม่ได้ยินหรือ?”
หลัวเทียนฉีหัวเราะลั่นขึ้นเมื่อได้ยิน “ดีๆ! เมื่อถึงวันที่เจ้าจะกลายเป็นหมาข้างถนนแล้วข้าจะมาดูว่าเจ้ายังมีท่าทางโอหังเช่นนี้หรือไม่! ถึงเวลานั้นเจ้าอย่าได้มาคิดเสียใจทีหลังแล้วกัน!”
พูดจบหลัวเทียนฉีก็หันหน้าจะเดินกลับออกไป
“เดี๋ยว!” เย่หยวนตะโกนไล่หลัง
หลัวเทียนฉีหยุดเท้าลงก่อนจะหันหน้ากลับมาหาเย่หยวนด้วยรอยยิ้ม “อะไร? เจ้าเสียใจกับความคิดของตนแล้ว? แต่มันสายไปแล้ว!”
เย่หยวนกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าบอกให้เจ้า ‘ไสหัว’ เจ้าไม่ได้ยินหรือ?”
หลัวเทียนฉีที่ได้ยินเช่นนั้นก็หน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที “เจ้า! เจ้ากล้าคิดเหยียดหยามข้า? ข้าหลัวเทียนฉีเป็นคนตระกูลหลัว! เจ้าคิดจะประกาศสงครามกับตระกูลหลัวข้าหรือ?”
เย่หยวนหรี่ตาลงมองพร้อมปล่อยคลื่นพลังสะท้านฟ้าดินลงกดทับร่างของหลัวเทียนฉี
ตุบ!
หลัวเทียนฉีถูกเย่หยวนกดร่างลงกับพื้นอย่างไม่มีแรงขัดขืนได้
ที่ด้านข้างทั้งหยุนยี่และเหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายต้องเบิกตากว้างมองดูภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง
เรื่องวิชาโอสถของเย่หยวนนั้นย่อมเป็นที่รู้กันดี พวกเขาทั้งหลายนั้นยอมรับมันอย่างสุดตัว
แต่พวกเขานี้ไม่ได้รับรู้เลยว่าวิชายุทธของเย่หยวนเองก็เก่งกาจมากมายปานนี้
แม้ว่าหลัวเทียนฉีนั้นจะเป็นแค่นภาสวรรค์แต่หากคิดจะกดอีกฝ่ายให้จมดินด้วยแค่พลังกดดันเช่นนี้ เหล่าจอมเทพโอสถหกดาวทั้งหลายย่อมไม่อาจจะทำได้
เย่หยวนนั้นไม่ได้มีนิสัยก้าวร้าวใดๆ หากไม่คิดอยากได้เขาเป็นอาจารย์ก็ไปเสียไม่มีใครว่าใดๆ
แต่หลัวเทียนฉีผู้นี้กลับแสดงท่าทีอวดดีใช่ชื่อตระกูลหลัวมาขู่ว่า หลัวเทียนฉีนั้นคิดว่าเย่หยวนเป็นพวกยอมคนมากหรือ?
ต่อให้เย่หยวนจะเป็นโพธิสัตว์เขาก็ยังมีความโกรธได้เช่นกัน
“เจ้าไม่พอใจสิ่งใดก็เอาไปพูดลับหลังข้า มาพูดต่อหน้าข้าเช่นนี้เจ้าย่อมจะรู้ตัวว่าผิด จากตรงนี้ไปเจ้าจงเอาหัวไสพื้นจนไปสุดประตูเข้าเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ หากข้ายังได้ยินคำพูดหยาบคายจากปากเจ้าอีกเจ้าจะไม่ต้องได้กลับไปไหนแล้ว อย่าคิดว่าข้าไม่กล้า ไม่เช่นนั้นจะลองดูก็ย่อมได้” เย่หยวนบอก
พูดจบเย่หยวนก็คลายแรงกดดันออกทำให้หลัวเทียนฉีรู้สึกราวกับว่าได้ยกภูเขาออกจากอก
ไม่ว่าตัวเขาจะโอหังสักเพียงใดเขาเองก็ไม่กล้าเอาชีวิตมาเสี่ยงแน่ เขาจึงได้แต่ต้องเอาหน้าไถพื้นกลิ้งตัวออกไปยังทางออกเมือง
“เทียนปิง เจ้าไปส่งมันเสีย หากมันยังกล้าปากมากใดๆ สังหารได้ทันที!” เย่หยวนสั่งหนิงเทียนปิงที่อยู่ข้างกาย
หนิงเทียนปิงได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะขานรับ “ขอรับนายท่าน!”
หนิงเทียนปิงนั้นเดินมองดูหลัวเทียนฉีไปอย่างไม่คิดสงสารใดๆ
การจะกล้ามาวางท่าต่อหน้านายท่านของเขาเช่นนี้ แน่นอนว่ามันต้องเตรียมใจจะถูกนายท่านเขาตบหน้าให้ด้วย
เจ้าหมอนี่มันไม่ได้มีพลังฝีมือใดๆ เป็นของตนเองแต่กลับกล้ามาอวดอ้างตัว ไม่เข้าใจเสียจริงๆ ว่าไปเอาความคิดผิดๆ เช่นนั้นมาจากไหน
นายท่านของเขานั้นกล้าจะท้าทายแม้แต่เทพสวรรค์ดันหยู่ มีหรือที่จะมาเกรงกลัวใดๆ ตระกูลนภาสวรรค์อย่างตระกูลหลัวน้อยๆ ของเขา?
ต่อให้ต้นตระกูลบรรพบุรุษเจ้ามามันก็ไม่ต่างกัน!
นั่นทำให้เวลานี้คนทั้งหลายเงียบเป็นเป่าสากมันยังจะมีใครกล้ามาวางท่าต่อหน้าเย่หยวนอีกเล่า?
ในเวลานี้เย่หยวนจึงได้ค่อยๆ กล่าวขึ้นอีกครั้ง “ข้ารู้ดีว่าพวกเจ้าทั้งหลายนั้นคิดว่าเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้ใกล้พินาศเต็มทีและคิดว่าข้าคงต้องรับพวกเจ้าเข้าไปเพื่อหวังเอาตัวรอด แต่ทว่า… พวกเจ้าคิดเยอะเกินไปแล้ว! ก่อนหน้าที่งานชุมนุมโอสถเมฆาข้าก็ได้บอกไปแล้วว่าหากอยากให้ข้ารับพวกเจ้าเป็นศิษย์พวกเจ้าจะต้องรับการทดสอบจากข้าไป ข้าให้โอกาสพวกเจ้าแล้วแต่พวกเจ้าทั้งหลายกลับไม่รักษามันเอง เพราะฉะนั้นหยุนยี่และหยางซวนอยู่ต่อ คนที่เหลือไปได้!”
หยุนยี่สั่นสะท้านไปทั้งกายเมื่อได้ยินคำนั้นก่อนจะมองดูเย่หยวนอย่างตกตะลึง
ต้วนหยุนเฟยเองก็มีสีหน้าท่าทางไม่คิดอยากเชื่อและกล่าวขึ้นมา “ปรมาจารย์เย่ ท่านเข้าใจผิดหรือไม่? หยุนยี่นั้นเป็นเหลนของเทพสวรรค์ดันหยู่นะ ท่านกลับคิดจะรับเขาไว้เป็นศิษย์หรือ?”
เย่หยวนจึงตอบกลับไป “เกี่ยวอะไรกันเล่า? สงครามก็สงคราม รับศิษย์ก็รับศิษย์ สองเรื่องไม่ได้เกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย มันเป็นพวกเจ้าทั้งหลายเองที่ชอบจับต้นชนปลายกันในหัวของตน ข้าเคยบอกไปแล้วว่าสิ่งที่ข้าจะดูเวลารับศิษย์นั้นหนึ่งคือความประพฤติ สองคือนิสัยใจคอ สามคือพรสวรรค์ หากหยุนยี่นั้นเป็นอย่างพวกเจ้าทั้งหลายต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์เหนือล้ำฟ้าข้าก็จะไล่เขากลับไปเช่นกัน แต่ตัวเขาผู้นี้มีความเป็นนักหลอมโอสถในจิตวิญญาณ ความสำเร็จในวันหน้าของเขานั้นมันจะเหนือล้ำจนพวกเจ้าทั้งหลายจะได้แต่เงยหน้ามองดู”
หยุนยี่สั่นสะท้านไปทั้งกายด้วยความตื่นเต้นดีใจอย่างสุดซึ้ง
เมื่อตอนที่เขาได้ยินว่าหอมหาสมบัติประกาศทำสงครามกับพันธมิตรแดนใต้นั้นตัวเขาแทบจะสิ้นหวัง
เขานั้นรู้ได้ทันทีว่าเย่หยวนคงไม่คิดรับเขาเป็นศิษย์แล้ว
ใครกันเล่าจะไปรับลูกหลานศัตรูเข้าบ้านเช่นนั้น?
แต่เขาไม่เคยนึกฝันว่าเย่หยวนกลับจะทำให้เขาต้องตื่นตกใจ
ตุบ!
ตุบ!
ตุบ!
หยุนยี่ก้มหัวลงโขกสามครั้งเพื่อเป็นการคารวะแก่เย่หยวนพร้อมพูดขึ้นมาทั้งน้ำตา “อาจารย์เย่ หยุนยี่จะติดตามท่านไปตลอดกาลจนกว่าชีวิตจะหาไม่!”
เย่หยวนยิ้มขึ้นตอบ “เจ้านั้นวางตำแหน่งสูงศักดิ์ของตนลงและมาเป็นแค่เด็กรับใช้ของหอโอสถ เวลากว่าสิบปีนี้มันได้พิสูจน์ความรักที่เจ้ามีต่อเต๋าโอสถแล้ว คนอื่นว่าข้าจะไม่รับเจ้า แต่ข้าผู้นี้แหละจะทำให้โลกได้เห็นว่าลูกหลานของดันหยู่นั้นจะเก่งกาจกว่าบรรพบุรุษได้อย่างแน่นอน!”
หยุนยี่ตอบกลับมาด้วยใบหน้าหนักแน่น “ขอรับ! หยุนยี่จะไม่ทำให้ท่านอาจารย์เย่ผิดหวัง!”
เย่หยวนพยักหน้ารับก่อนจะหันไปหาหยางซวนบ้าง “หยางซวน จากวันนี้ไปเจ้าจะเป็นศิษย์ลำดับสี่ของข้าเย่หยวน มา มาเคารพศิษย์พี่ของเจ้า”
ที่ด้านข้างของเย่หยวนมีไป๋เฉินและหนิงซืออวี๋ยืนอยู่
ตั้งแต่ที่ขึ้นมหาพิภพถงเทียนมาเย่หยวนได้รับแค่ไป๋เฉินเพียงคนเดียวเท่านั้น จนมาถึงก่อนหน้านี้ไม่นานที่หนิงซืออวี๋ได้กลายเป็นศิษย์คนที่สอง
หยางซวนนั่งก้มลงคุกเข่าต่อหน้าเย่หยวนอย่างตื้นตัน จากนั้นเขาก็หันไปคารวะต่อไป๋เฉิน หนิงซืออวี๋และหยุนยี่
ไม่มีใครคาดฝันว่าศิษย์ทั้งสองคนที่เย่หยวนรับในครานี้มันจะเป็นยอดคนอันดับหนึ่งแห่งงานชุมนุมโอสถเมฆาและผู้ได้อันดับรั้งท้ายของงาน
หยุนยี่นั้นเป็นตัวตนที่ค่อนข้างพิเศษทำให้ไม่มีใครคิดว่าเย่หยวนจะรับเขาเข้าไปดูแล
หยางซวนนั้นยิ่งไม่น่าจดจำและไม่มีเบื้องหลังใหญ่โตใดๆ
ทั้งๆ อย่างนั้นคนทั้งสองนี้กลับได้กลายเป็นศิษย์ของเย่หยวนในที่สุด
ต้วนหยุนเฟยนั้นได้แต่มองดูภาพตรงหน้าด้วยความอิจฉา
ด้วยการชี้นำของเย่หยวนแล้ววันหน้าคนทั้งสองนี้คงพัฒนาวิชาโอสถไปได้อย่างเหนือล้ำ
แต่พวกเขาทั้งหลายกลับพลาดโอกาสนี้ไป
น่าเสียดายที่ว่าโลกใบนี้มันไม่มีโอกาสใดจะรักษาอาการเสียใจภายหลังนี้ได้
สิ่งที่เย่หยวนว่ามานั้นมันไม่มีผิด เขาได้ให้โอกาสคนทั้งหลายนี้แล้วแต่เป็นตัวพวกเขาทั้งหลายนี้เองที่ไม่รักษาโอกาสไว้
สงครามของหอมหาสมบัติและพันธมิตรแดนใต้นั้นมันคงกินเวลาอย่างน้อยๆ สิบปี หรืออาจจะนานหลายสิบปีหากสงครามมันยืดเยื้อ
และเวลานั้นมันย่อมมากพอที่เย่หยวนจะสอนสิ่งต่างๆ ให้พวกเขาได้มากมาย
ต่อให้ไม่มีใครคิดว่าหอมหาสมบัติจะชนะได้ แต่พวกเขาทั้งหลายก็ยังคงอิจฉา
“เอาล่ะ พวกเจ้าทั้งหลายไปได้แล้ว” เย่หยวนบอก
ตอนนี้สีหน้าของพวกต้วนหยุนเฟยทั้งหลายจึงได้มืดหม่นลงทันทีก่อนจะเดินจากไปด้วยท่าทางไม่เต็มใจนัก
พวกเขาทั้งหลายย่อมจะไม่กล้าขัดคำสั่งเย่หยวน เพราะพวกเขานั้นมีหลัวเทียนฉีเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด
หลังจากทุกผู้คนจากไปเย่หยวนก็ได้ถามศิษย์ใหม่ทั้งสองขึ้น “สิบปีที่พวกเจ้าทั้งสองฝึกฝนมานี้ได้รับประโยชน์ใดกันบ้างหรือไม่?”
หยุนยี่ก้มหัวลงตอบรับทันที “เรียนท่านอาจารย์ หยุนยี่นั้นได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล! คนทั้งหลายนั้นมันยึดติดหลงตัวเองไม่คิดสนใจทำการฝึกฝนจริงจัง ไม่ได้รู้เลยว่าแท้จริงแล้วนี่เป็นบทเรียนแรกที่ท่านอาจารย์ได้สั่งสอนให้แก่พวกเราแล้ว!”
………………………………….