มันย่อมเป็นเรื่องแน่นอนว่าเหล่าตระกูลโบราณทั้งเจ็ดนี้จะไม่มีทางยอมช่วยหอมหาสมบัติโดยไม่หวังผลตอบแทน
เพราะเดิมทีแล้วเหล่าตระกูลทั้งเจ็ดนี้ไม่ได้คิดสนใจเรื่องราวความขัดแย้งในโลกหล้าใดๆ
ในเวลานี้เมื่อพวกเขาก้าวออกมา มันก็ย่อมจะหมายถึงว่ามีสิ่งที่พวกเขาต้องการปรากฏขึ้น
และสิ่งที่ล่อลวงคนทั้งหลายออกมายังฉากหน้าในครานี่มันก็คือสูตรโอสถในมือเย่หยวน!
ก่อนหน้านี้เย่หยวนย่อมจะได้ตกลงเงื่อนไขกับตระกูลใหญ่ทั้งเจ็ดไว้แล้วว่าตราบเท่าที่ทางพันธมิตรแดนใต้คิดยอมแพ้ เขาก็ย่อมจะมอบสูตรโอสถใหม่ทั้งหลายนี้ให้แก่ทั้งเจ็ดตระกูล โดยส่วนแบ่งของแต่ละตระกูลนั้นคือตระกูลละสองสูตร
แน่นอนว่าเย่หยวนเองก็ย่อมจะไม่ปล่อยให้เทพสวรรค์เจาหยวนต้องทำงานฟรีด้วยแน่
เป่ยถังค่อยๆ หยิบสูตรนั้นขึ้นมาส่องดูด้วยท่าทางราวกับได้มหาสมบัติมาไว้ในมือ
เพราะสูตรโอสถนี่มันจะยิ่งทำให้รากฐานของตระกูลเขานั้นมั่นคงแข็งแกร่ง!
มีหรือที่เป่ยถังลี่จะไม่ซาบซึ้ง?
“หึ สหายเย่นั้นช่างยึดมั่นรักษาคำพูด! ก่อนที่ข้าจะเดินทางมาครั้งนี้ผู้นำตระกูลได้บอกมาแล้วว่าในวันหน้าให้เจ้านั้นได้เป็นผู้อาวุโสทรงเกียรติของตระกูลเป่ยถังเรา เจ้าเก็บเหรียญนี้ไว้เถอะ หากวันหน้ามีใครคิดกล้าลบหลู่สหายเย่แล้วมันจะต้องกลายเป็นศัตรูกับตระกูลเป่ยถังเรา!”
พูดจบเป่ยถังลี่ก็ไม่คิดสนใจว่าเย่หยวนจะตอบรับหรือไม่อย่างไรรีบยัดเหรียญตราเข้ามายังมือของเย่หยวนทันที
เหล่าตัวแทนของตระกูลอื่นๆ เองก็ได้แต่ผงะหลังเมื่อเห็นเช่นนี้ ตระกูลเป่ยถังจะเจ้าแผนการจนเกินไปแล้ว
พวกเขาทั้งหลายนั้นก็คงสามารถจะมอบตำแหน่งผู้อาวุโสทรงเกียรติให้แก่เย่หยวนได้เช่นกัน แต่มีหรือที่ตำแหน่งนั้นมันจะมีค่าเท่ากับของตระกูลเป่ยถังที่เป็นผู้เสนอคนแรกและยังมาพร้อมกับเหรียญเสียด้วย?
แต่ถึงจะอย่างนั้นพวกเขาทั้งหลายก็ยังให้คำมั่นสัญญาบอกว่าจะส่งเหรียญตราตามมาให้ในไม่ช้า
เย่หยวนนั้นไม่อาจจะปฏิเสธได้ ค่อยๆ รับคำของแต่ละตระกูลไปรายคน
เย่หยวนเองก็มิใช่คนที่จะปฏิเสธไม่รับบุญคุณใคร ในเมื่ออีกฝ่ายหวังดี เขาก็ย่อมไม่คิดจะตอบแทนไปด้วยความเย็นชาใดๆ
ที่สำคัญกว่านั้นคือเหล่าตระกูลใหญ่ทั้งหลายนี้เองก็มีพลังอำนาจอยู่ไม่น้อย ตามที่เทพสวรรค์เปียวหยูบอกมาแล้วมันมีมากเสียยิ่งกว่าที่พวกเขานำออกมาใช้สนับสนุนหอมหาสมบัติ
หากเป็นเช่นนั้นแล้วมันย่อมจะหมายความว่าเย่หยวนได้หาพันธมิตรมาให้แก่เมืองอินทรีสวรรค์เพิ่ม
เมื่อได้สูตรโอสถและสุราดั่งฝันไป พวกเป่ยถังลี่และตัวแทนตระกูลอื่นๆ ทั้งหลายก็ได้บอกลาเดินทางจากไปตามๆ กัน
แต่เมื่อคนทั้งหลายจากไปแล้วทางเทพสวรรค์เปียวหยูก็ได้แสดงสีหน้ากังวลออกมาพร้อมถามขึ้น “ให้สูตรไปเช่นนั้นมันจะดีจริงๆ หรือ? เจ้าเองก็น่าจะรู้ดีว่ามันมีค่ามากมายปานใด”
แต่เย่หยวนกลับยิ้มตอบมาอย่างสบายใจ “ตอนนี้หอมหาสมบัติเรากำลังทำสงครามอยู่กับพันธมิตรแดนใต้ทุกผู้คนจึงยังไม่ได้คิดสนใจใดๆ มากมาย แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้วสูตรโอสถทั้งหลายนี่มันยังอยู่ในมือหอมหาสมบัติเราแต่เพียงผู้เดียว มันคงจะทำให้หอมหาสมบัติกลายเป็นเป้าหมายที่ทุกผู้คนหันมาหมายหัว ถึงเวลานั้นแล้วดันหยู่เองมันก็คงไม่นิ่งเฉยแน่ใช่หรือไม่เล่า? ตอนนี้เมื่อเรามีเจ็ดตระกูลโบราณมาช่วยหนุนหลังอย่างหนักแน่น หอมหาสมบัติเองก็คงไม่มีทางสั่นคลอนได้ง่ายๆ ไม่ว่าพวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นจะอยากได้สูตรโอสถมากสักเท่าใดพวกเขาก็คงไม่กล้าลงมือทำอะไรโง่ๆ แน่”
เทพสวรรค์เปียวหยูที่ได้ยินต้องเบิกตากว้างมองดูเย่หยวนอย่างตื่นตะลึง
แต่ไม่นานนักรอยยิ้มขื่นขมมันก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “มันยังคงเป็นเจ้าเสมอที่มองโลกอย่างกว้างไกล สองตาของข้านี่มันมองได้แค่ผลประโยชน์ตรงหน้าจริงๆ!”
แม้ว่าหอมหาสมบัตินั้นจะเก่งกาจสักเท่าใดมันก็คงไม่มีทางที่จะรวบรวมแดนใต้ทั้งหมดมาไว้ใต้อำนาจได้แน่
เพราะทำเช่นนั้นมันจะเท่ากับว่าจักรพรรดิเทพสวรรค์วันเปาตั้งตนเหนือจักรพรรดิเทพสวรรค์คนอื่นๆ และกลายเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน
เว้นเสียแต่ว่าแม้จักรพรรดิเทพสวรรค์วันเปาจะเก่งกาจสักเท่าใด ตัวเขาก็ย่อมจะไม่มีทางทำได้ถึงขั้นนั้น
และในเมื่อเขาทำไม่ได้ สูตรโอสถทั้งหลายนี่มันก็ไม่มีทางจะถูกเก็บไว้ได้ตลอดไป
ถึงเวลานั้นเหล่าค่ายสำนักกองกำลังต่างๆ ทั้งหลายจะเริ่มลงมือสร้างแผนการต่างๆ นานา
ต่อหน้าผลประโยชน์มหาศาลเช่นนั้นบางทีแม้แต่เหล่าจักรพรรดิเทพสวรรค์เองก็อาจจะออกมาลงสนามด้วย ถึงเวลานั้นมันคงไม่มีใครจะจัดการรับมือพวกเขาทั้งหลายได้
และในเมื่อสูตรโอสถนี่มันจะต้องถูกแจกจ่ายออกไปไม่ว่าจะทำอย่างไร ก็สู้เอามันมาใช้เป็นเบี้ยสร้างสายสัมพันธ์อันดีเช่นนี้ดีกว่าที่จะถูกคนอื่นแย่งชิงไปพร้อมการสร้างศัตรู
ตอนนี้ในจิตใจของเทพสวรรค์เปียวหยูนั้นมีแต่ความดีใจเปี่ยมล้นที่ได้มีสหายหนุ่มเช่นนี้ไว้
มันเป็นฝั่งเทพสวรรค์ดันหยู่เองต่างหากที่โง่เง่า ตัวเขานั้นมีหยุนยี่เป็นไพ่ตายอยู่แท้ๆ แต่กลับไม่รู้จักใช้เขาและเอาแต่สร้างเรื่องให้แก่เย่หยวน
ตอนนี้คงได้แต่นั่งเศร้าเสียใจที่ตัดสินใจโง่เง่าเช่นนั้นออกมาแล้ว
…
ณ จวนเจ้าเมืองยอดเมืองหลวงจักรพรรดิทองวาว
ตอนนี้เทพสวรรค์เปียวหยูกำลังนั่งตรงครองตำแหน่งเจ้าบ้านด้วยคลื่นพลังอันแสนยิ่งใหญ่
เทพสวรรค์เฉิงเฟิงและเทพสวรรค์ออหยุนกำลังนั่งอยู่ตรงข้ามด้วยสีหน้าหนักใจ หอมหาสมบัตินั้นวางท่าเหนือล้ำปล่อยให้ตัวแทนพันธมิตรแดนใต้อย่างพวกเขาต้องมารออยู่กว่าเดือน
“หึๆ สหายผู้ร่วมทางเต๋าทั้งสอง หอมหาสมบัตินั้นมีร้านเปิดขึ้นมากมายทั่วแผ่นดิน เทพสวรรค์ผู้นี้ก็ยุ่งอยู่ทุกวี่วันไม่อาจหาเวลาได้จริงๆ ต้องขออภัย”
เทพสวรรค์เปียวหยูพูดขอโทษออกมาด้วยสีหน้าไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย
‘ข้านั่นตั้งใจทำ เจ้ากล้าว่ากล่าวข้าไหมเล่า?’
‘หากเจ้ามีปัญญาก็พูดสวนกลับมาสิ!’
แน่นอนว่าทางเทพสวรรค์เฉิงเฟิงนั้นย่อมจะได้แต่ยิ้มแห้งๆ ตอบกลับไป “แน่นอนล่ะๆ! สหายเปียวหยูนั้นเป็นคนสำคัญของแดนใต้เรานี้ แน่นอนว่าเจ้าย่อมจะยุ่งเป็นธรรมดา ไม่แปลกหรอกที่จะต้องให้เราได้รอ”
เทพสวรรค์เปียวหยูจึงยิ้มตอบกลับมา “ไม่เลยๆ! หอมหาสมบัตินั้นเป็นแค่ค่ายสำนักเล็กๆ น้อยๆ มีหรือจะไปเทียบกับพันธมิตรแดนใต้ได้? วันนี้ข้าแค่สงสัยว่าสหายเฉิงเฟิงมาที่เมืองทองวาวข้าด้วยเหตุใด?”
ความหมายของคำพูดนั้นคือพวกเจ้าทั้งหลายทำการรังแกผู้คนด้วยกำลังปริมาณ จำนวนที่มากล้ำ แต่สุดท้ายก็ยังถูกข้าจัดการลงมิใช่หรือ?
คำพูดของเทพสวรรค์เปียวหยูนั้นย่อมพูดออกมาอย่างความสะใจ
เพราะหากให้พูดตรงๆ แล้วตอนที่เขาประกาศตัวยืนข้างเย่หยวนในครานั้นตัวเขาเองก็ใจสั่นอยู่ไม่น้อย
ในเวลานั้นเหล่าพวกเทพสวรรค์ดันหยู่นั้นทำตัววางท่ามากมายปานใด?
เย่หยวนแค่ต้องการคำอธิบายขอโทษ สุดท้ายพวกมันทั้งหลายกลับรุมหัวกันกับเทพสวรรค์ดันหยู่มาข่มขู่ให้ตัวเขาต้องทิ้งเย่หยวน
ตอนนี้เล่า?
เย่หยวนนั้นไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง ทำลายพันธมิตรแดนใต้ลงอย่างราบคาบด้วยตัวคนเดียวอย่างแท้จริง
เทพสวรรค์เฉิงเฟิงที่ได้ยินเองก็แข็งทื่อไปทั้งกาย
‘พวกข้ามาทำไม เจ้าจะไม่รู้ได้หรือ?’
‘ถึงเวลานี่มันจำต้องเหยียดหยามผู้คนถึงขั้นนี้ไหม?’
“ฮ่าๆ น้องเปียวหยู ที่เฒ่าคนนี้มามันก็เพื่อเป็นตัวแทนพันธมิตรแดนใต้ขอให้หอมหาสมบัติมีเมตตา! เจ้าดูเถอะ! เวลานี้ทั้งสองฝ่ายเราต่อสู้กันอย่างดุเดือด ทำให้สูญเสียความสงบที่เคยมีมา หากทั้งสองฝ่ายแตกพ่ายลงด้วยกันแล้วมันจะมีประโยชน์ผลดีกับใครเล่า? ที่สำคัญน้องเปียวหยูเองก็เป็นสมาชิกของพันธมิตรเรา มีความจำเป็นใดหรือที่ต้องมาทำร้ายสหายครอบครัวตนเช่นนี้?” เทพสวรรค์เฉิงเฟิงนั้นได้แต่พูดขึ้นด้วยใบหน้าเกรงๆ
แต่เทพสวรรค์เปียวหยูที่ได้ยินกลับหัวเราะขึ้นในใจ
พันธมิตรแดนใต้นี่มันจะเอาหน้าให้ได้ไม่ว่าจะอย่างไร!
“แตกพ่ายลงด้วยกัน? สหายเฉิงเฟิงเองก็จะหน้าด้านเกินไปแล้ว! หอมหาสมบัติข้านั้นได้ครองตลาดกว่าครึ่งของแดนใต้นี้ไปแล้ว แต่เจ้ากลับยังกล้ามาพูดถึงเรื่องการแตกพ่ายลงด้วยกัน? ที่สำคัญไปกว่านั้นคือเทพสวรรค์ผู้นี้ได้ถอนตัวจากพันธมิตรมาอย่างเด็ดขาดแล้ว เจ้าบอกว่าสหาย? ครอบครัว? หึๆ… เทพสวรรค์ผู้นี้ไม่มีค่าพอจะเป็นไปกับพวกเจ้าหรอก!” เทพสวรรค์เปียวหยูร้องบอก
แต่ทางเฉิงเฟิงเองก็ไม่ได้คิดสนใจใดๆ “ข้าเข้าใจดีว่าน้องเปียวหยูนั้นหมายถึงเรื่องใด แต่พันธมิตรแดนใต้เรานั้นไม่ว่าอย่างไรก็เป็นกองกำลังด้านโอสถที่ใหญ่ที่สุดของแดนใต้ ต่อให้หอมหาสมบัติจะถือครองความได้เปรียบในเวลานี้ มันก็ไม่มีทางใดที่หอมหาสมบัติจะครองตลาดของแดนใต้นี้ไว้อย่างเด็ดขาดหรอก!”
เทพสวรรค์เปียวหยูที่ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะขึ้นมา “เช่นนั้นแล้วเทพสวรรค์ผู้นี้ก็ไม่คิดว่าเราจะต้องคุยเจรจาใดๆ อีก พันธมิตรยังมีไม้เด็ดใดก็ใช้ออกมาให้เต็มที่ หอมหาสมบัติข้าจะสู้ศึกไปกับพวกเจ้าจนถึงที่สุดเอง! สหายเฉิงเฟิง เชิญกลับไปได้!”
เหล่าคนทั้งหลายนี้ยังกล้าจะมาทำหน้าวางท่า พวกเขาทั้งหลายนี้คิดว่าตนเป็นฝ่ายชนะหรือ?
หอมหาสมบัติของพวกเขาไม่อาจกลืนกินแดนใต้ได้หมดจริง แต่มีหรือที่จะถูกพันธมิตรแดนใต้นี้ขวางทางได้?
ต่อสู้กันต่อไป มันก็จะได้รู้เองว่าใครกันแน่ที่จะทนไม่ไหวก่อน
ถึงเวลานั้นพันธมิตรแดนใต้คงได้แตกสลายลงแน่นอน!
เทพสวรรค์ดันหยู่เองก็เข้าใจจุดนี้ดีจึงได้ส่งเทพสวรรค์เฉิงเฟิงมาที่นี่
แล้วมีหรือที่เทพสวรรค์เปียวหยูคนนี้จะไม่เข้าใจ?
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือหอมหาสมบัติในเวลานี้มีตระกูลโบราณทั้งเจ็ดหนุนหลัง แล้วตัวเขาจะยังต้องเกรงกลัวสิ่งใดอีก?
เทพสวรรค์เฉิงเฟิงหน้าถอดสีลงทันที ตอนนี้เขาได้รับรู้แล้วว่าเทพสวรรค์เปียวหยูในเวลานี้มิใช่คนเดิมกับเทพสวรรค์เปียวหยูเมื่อตอนครั้งยังอยู่ในพันธมิตรอีกแล้ว!
ตั้งแต่ที่เขากดหัวเทพสวรรค์ดันหยู่ลงได้ในงานชุมนุมโอสถเมฆา ตัวตนของเทพสวรรค์เปียวหยูในเวลานี้ก็ดุดันไม่เกรงกลัวใครอีก!
“น้องเปียวหยูโปรดระงับโทสะก่อน! เทพสวรรค์ผู้นี้… เทพสวรรค์ผู้นี้เดินทางมาก็เพื่อเป็นตัวแทนพันธมิตรแดนใต้น้อมรับความพ่ายแพ้ พี่ดันหยู่นั้นได้บอกมาแล้วว่าตราบเท่าที่น้องเปียวหยูยอมรับ เจ้าก็สามารถกลับมารับตำแหน่งผู้นำของพันธมิตรได้ทุกเมื่อ!”
เทพสวรรค์เฉิงเฟิงนั้นยอมก้มหัวลงในที่สุด
เขานั้นเป็นเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ มีหรือที่ตัวเขานี้จะเคยก้มหัวลงให้ใคร?
แต่วันนี้เขากลับไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องก้มหัวอันสูงส่งนี้ลง!
การพูด ‘น้อมรับความพ่ายแพ้’ นี่มันเป็นสิ่งที่หนักหนากว่าโลกหล้าทั้งใบสำหรับเขา
เมื่อเทพสวรรค์เปียวหยูได้ยินเขาก็หัวเราะขึ้นมา “จะคิดยอมแพ้ก็จงทำตัวให้สมกับเป็นผู้แพ้! เพียงแค่ว่าเราจะยอมรับหรือไม่นั้น มันก็มิใช่สิ่งที่เปียวหยูผู้นี้จะตัดสินใจคนเดียวได้! หากพวกเจ้าคิดอยากก้มหัวลงยอมรับความพ่ายแพ้ยุติสงครามแล้วมันก็ย่อมจะมีคนอีกผู้หนึ่งที่ต้องออกความเห็นด้วย!”
………………..