มิติสั่นสะท้านเผยให้เห็นร่างของเด็กสาวเดินแหวกออกมาด้วยคลื่นพลังชีวิตอันหนาแน่น
หญิงสาวที่เดินนำออกมาก่อนนั้นมีชุดสีขาวราวหิมะ แม้ว่านางนั้นจะเป็นสาวงามแต่ก็มีใบหน้าเรียบเฉยพร้อมด้วยคิ้วที่แสดงความดุดัน เรียกได้ว่าเป็นสาวงามที่มีใบหน้าไล่แขกอย่างแท้จริง
คนทั้งหลายนี้เงยหน้าขึ้นมองดูภาพตรงหน้า มันเป็นภาพเมืองขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านไม่เกรงกลัวฟ้าดิน
เด็กสาวอีกคนที่ด้านข้างหญิงสาวชุดขาวนั้นพูดกล่าวขึ้น “ศิษย์พี่ซุน นี่มันเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ที่ศิษย์น้องมันว่าจริงๆ หรือ? ข้าไม่นึกเลยว่าเมืองจักรพรรดิมันจะยิ่งใหญ่ได้ถึงปานนี้!”
เมื่อพูดถึงศิษย์น้องขึ้นมาสีหน้าของนางก็แสดงความดูถูกอย่างเต็มเปี่ยม
ศิษย์พี่ซุนนางนั้นจึงได้กล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางเย้ยหยัน “แค่เมืองจักรพรรดิก็วางท่าหรูหรา ผู้ดูแลเมืองนี้มันจะต้องเป็นพวกขี้อวดโม้ตนอย่างแน่นอน คงไม่ได้ส่งส่วยให้เจ้านายตามเรื่องราวแน่ หึ! แค่พูดถึงนังเด็กคนนั้นข้าก็อารมณ์ไม่ดีขึ้นมาแล้ว! หากมิใช่เพราะมันแล้วมีหรือที่ข้าจะต้องลำบากเดินทางจากแดนเหนือเราผ่านเขาแห่งถงเทียนลงมาถึงแดนใต้อันห่างไกลนี้”
ศิษย์น้องผู้นั้นจึงยิ้มตอบกลับมา “นังเด็กคนนั้นมันคิดว่าตนมีกายเทวะหยินล้ำแล้วก็จะดูถูกศิษย์พี่ได้ บุญคุณที่อาจารย์มีต่อมันนั้นหนักล้ำเหนือฟ้าแต่มันกลับไม่คิดตอบแทนใดๆ ทั้งยังถึงขั้นใช้ให้ศิษย์พี่ต้องเดินทางมาจับตัวผู้คนถึงที่นี่! ช่างชั่วช้าจริงๆ! เมื่อใดที่เราจับคนรักของนางได้นั้นเราจะต้องสั่งสอนมันให้เข็ดหลาบ”
ศิษย์พี่ซุนนางนั้นไม่ได้แสดงสีหน้าท่าทางใดๆ ออกมา “มาเถอะ ตอนนี้เข้าเมืองกันก่อนค่อยว่า ก่อนอื่นเราต้องสืบหาเรื่องราวของเด็กคนนั้นมันก่อน ไม่เช่นนั้นแล้วหากไปตีหญ้าให้งูตื่นก่อนมันจะเสียเรื่องเอา”
คนทั้งหลายนี้จึงได้มุ่งหน้าเดินทางเข้าไปยังเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์
แต่หลังจากเข้ามาถึงในตัวเมืองแล้วพวกนางทั้งหลายจึงได้สัมผัสว่าแท้จริงแล้วเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นเจริญรุ่งเรืองปานใด ดูแล้วมันไม่ด้อยไปกว่าเมืองหลวงจักรพรรดิเสียด้วยซ้ำ ทำให้พวกนางทั้งหลายต้องตื่นตะลึง
หากมองจากแค่จำนวนนักยุทธในเมืองแล้ว เมืองนี้มันคงไม่นับว่าใหญ่โตใดๆ
“ศิษย์พี่ซุน นี่มันเมืองจักรพรรดิจริงๆ หรือ? ทำไมข้าจึงรู้สึกว่ามันเจริญเสียยิ่งกว่าเมืองหลวงจักรพรรดิบางที่อีกเล่า?” ศิษย์น้องนางนั้นมองซ้ายมองขวาด้วยความตื่นตะลึงในหัวใจ
ศิษย์พี่ซุนนางนั้นจึงตอบกลับมาพร้อมขมวดคิ้ว “ที่แห่งนี้มันมีร้านโอสถอยู่มากมายเหลือเกิน ทั้งยังมีนักหลอมโอสถเดินขวักไขว่ ดูราวกับจะเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการโอสถ นังเด็กคนนั้นมันบอกว่าคนรักของมันเป็นนักหลอมโอสถเช่นกัน ดูท่าคงไม่ผิดที่แน่แล้ว ข้างหน้ามีโรงเตี๊ยมอยู่ เราเข้าไปสืบสาวเรื่องราวกันเถอะ”
คนทั้งหลายเดินเข้ามายังโรงเตี๊ยมข้างทางนั้นและได้นั่งลงยังโต๊ะริมหน้าต่างชั้นสองของร้าน
เมื่อพนักงานของร้านเดินเข้ามาถึงศิษย์น้องคนนั้นก็กล่าวถามขึ้นทันที “น้องชาย ดูเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ของเจ้านี้จะมีนักหลอมโอสถมากมายเหลือเกินนะ!”
เมื่อพนักงานผู้นั้นได้ยินเขาก็รีบหันหน้ากลับมาหาด้วยท่าทางภูมิใจ “นายหญิงทั้งหลาย พวกท่านคงเดินทางมาจากดินแดนอื่นแล้ว? หึๆ เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ของเรานั้นเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการโอสถอันดับหนึ่งของแดนใต้นี้ หากท่านคิดจะมาหาซื้อโอสถแล้วล่ะก็ บอกเลยว่าท่านมาถูกที่แล้ว”
เมื่อศิษย์น้องหญิงคนนั้นได้ยินนางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้น
ศิษย์น้องอีกผู้หนึ่งกล่าวขึ้น “อันดับหนึ่งในแดนใต้? แค่เมืองจักรพรรดิน้อยๆ ก็กล้าเอาชื่อนั้นมาใช้หรือ? เมืองของพวกเจ้านี้มันสุดแสนห่างไกลและเจ้าเองก็คงไม่เคยจะได้เห็นโลกกว้างใช่ไหมเล่า?”
คำพูดของนางนั้นมันหมายถึงว่าคนเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นเป็นแค่กบในกะลาไม่รู้จักโลกหล้าที่แท้จริง
เพียงแค่ว่าคำพูดของนางนี้มันกลับทำให้เกิดเสียงหัวเราะขึ้นรอบๆ โรงเตี๊ยมแทน
“สาวน้อย คนที่ไม่เคยได้เห็นโลกหล้านั้นมันเป็นพวกเจ้ามากกว่าล่ะมั้ง! เจ้าลองไปถามใครดูก็ได้ว่าเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการโอสถอันดับหนึ่งในแดนใต้หรือไม่ ข้าขอรับประกันเลยว่ามันคือความจริง!”
“ฮ่าๆ ต่อให้เป็นจอมเทพโอสถเจ็ดดาวแต่หากมาถึงเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์แล้วพวกเขาก็ได้แต่ต้องก้มหัวลงเดิน!”
“สาวน้อย เวลาจะออกบ้านไปไหนก็ศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนเถอะ ไม่เช่นนั้นแล้วพอไปถึงจะกลายเป็นตัวตลกเช่นนี้เอา!”
…
เสียงหัวเราะทั้งหลายนั้นดังขึ้นรอบด้านจนทำให้คนทั้งหลายนี้แทบควบคุมตัวไม่อยู่
ศิษย์น้องคนนั้นหน้าแดงก่ำจนแทบจะลุกขึ้นตวาดว่าแต่ศิษย์พี่ซุนกลับห้ามนางไว้ด้วยเสียงกระแอมเสียก่อน
ศิษย์พี่ซุนนั้นหันไปถามพนักงานบริกร “น้องชายท่านนี้ ในเมื่อเจ้าว่าที่นี่เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการโอสถแล้ว เจ้าพอจะรู้จักเด็กหนุ่มนามเย่หยวนหรือไม่?”
และระหว่างที่พนักงานผู้นั้นยังไม่ทันจะได้ตอบอะไร ศิษย์พี่ซุนนางนั้นก็ได้กล่าวขึ้นเสริม “ได้ยินว่าอายุของเขาน่าจะยังไม่มาก และมีวิชาโอสถที่… พอใช้ได้”
เมื่อคำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกมาทั้งโรงเตี๊ยมก็เงียบลงทันทีพร้อมด้วยสีหน้าแปลกๆ ของคนทั้งหลาย
ศิษย์พี่ซุนนางนั้นสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในพริบตา หรือว่าตัวนางจะไปพูดถึงเรื่องต้องห้ามใดเข้าแล้ว?
แต่นางเองก็ไม่ได้คิดใส่ใจใดๆ มากมาย แค่เมืองจักรพรรดิน้อยๆ ต่อให้จะมีข้อห้ามใดแล้วพวกนางจะเกรงกลัวหรือ?
“ทำไมเล่า? ข้านั้นพูดอะไรผิดไปหรือ?” ศิษย์พี่ซุนนางนั้นถามขึ้น
พนักงานคนนั้นจึงตอบกลับมาด้วยใบหน้าแปลกประหลาด “ไม่ใช่หรอก แค่ว่า… หากท่านเย่นั้นมีฝีมือแค่พอใช้แล้ว เช่นนั้นผู้คนที่เรียกตนว่านักหลอมโอสถทั้งแผ่นดินคงต้องได้เอาหัวไปโขกเต้าหู้ตายแน่”
“โอ้? เช่นนั้นหรือ เขาเก่งกาจมาก?” ศิษย์พี่ซุนนั้นไม่คิดสนใจใดๆ และเริ่มถามหาข้อมูลต่อ
เพราะนางนั้นได้เริ่มเข้าใจแล้วว่าคนในเมืองนี้มันได้มีนิสัยโอ้อวดเป็นพื้นฐานกันสิ้นเพราะพวกเขานั้นอยู่หลังเขาไกลปืนเที่ยงจนเกินไป
พวกเขานั้นคิดว่าตนเองเหนือล้ำผู้คนทั้งโลกหล้าเพียงเพราะว่าเป็นเมืองที่รวบรวมนักหลอมโอสถบ้านนอกไว้
ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยจริงๆ!
นางเองก็เคยได้ยินชื่อของอันดับหนึ่งแห่งวงการโอสถในแดนใต้มาก่อน และผู้ที่เก่งกาจที่สุดมันย่อมจะเป็นเทพสวรรค์ดันหยู่ทั้งยังเป็นผู้นำของดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ อีกหกดินแดน
มีหรือที่เมืองจักรพรรดิน้อยๆ นี้จะก้าวล้ำดินแดนยิ่งใหญ่ปานนั้นได้?
พนักงานผู้นั้นจึงได้ยิ้มออกมา “เก่งกาจ? หึๆ มันมากกว่าคำว่าเก่งกาจอีก! ข้าขอบอกเลยนะว่าต่อให้เป็นจอมเทพโอสถเจ็ดดาวมาเอง พวกเขาก็ยังต้องก้มหัวลงเรียกนายท่านว่า ‘ปรมาจารย์’”
ศิษย์พี่ซุนนางนั้นได้แต่เบะปากด้วยความดูถูกสุดหัวใจ
คนบ้านนอกนี่มันช่างขี้โม้จนเกินจะสรรหาคำบรรยาย!
แต่พนักงานคนนั้นไม่ได้คิดสนใจสีหน้าของนางใดๆ และพูดขึ้นต่อ “หึๆ ที่แท้พวกเจ้าก็คิดอยากเจอท่านเย่นี่เอง เช่นนั้นพวกเจ้าก็มาถูกที่แล้ว หากเป็นที่อื่นพวกเจ้าคงไม่มีปัญญาจะไปพบท่านได้ แต่ท่านเย่นั้นชอบร้านของเราและจะแวะมาเยี่ยมเยียนเสมอ อ่า พูดยังไม่ทันขาดคำ ท่านเย่มาถึงแล้ว!”
พนักงานผู้นั้นหันหน้าออกไปมองยังร่างของชายหนุ่มที่เดินมาพร้อมกับคนรับใช้สองคนกำลังค่อยๆ เดินขึ้นบันไดของโรงเตี๊ยมมา
ศิษย์พี่ซุนนางนั้นจึงได้หรี่ตามองดูอีกฝ่ายด้วยความตื่นเต้นดีใจ
ลากเท้าตามหามานานสองนาน บทจะเจอก็เจอกันอย่างไม่ได้คาดฝัน
เมื่อพนักงานบริกรนั้นเห็นเย่หยวนเดินเข้ามาเขาก็รีบเข้าไปรับหน้าทันทีก่อนจะพาเย่หยวนขึ้นมายังชั้นสอง
“ฮ่าๆ ท่านเย่มาแล้ว ห้องประจำถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว นายท่านเชิญทางนี้” พนักงานนั้นยิ้มกว้างบอกนำทางไป
เย่หยวนจึงได้หยิบผลึกปราณเทวะขั้นสูงออกมาโยนให้เขาด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “ลำบากหน่อยนะ นี่ รับไป”
พนักงานผู้นั้นหัวเราะขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มเปี่ยมล้น “ขอบพระคุณนายท่านที่มอบรางวัลให้!”
ในตอนนั้นเองที่แขกบนชั้นสองก็ได้ลุกขึ้นก้มหัวลงให้แก่เย่หยวนอย่างพร้อมเพรียง “นายท่าน!”
เย่หยวนยกมือขึ้นมาโบกไล่ด้วยเสียงหัวเราะ “นั่งเถอะๆ เย่ผู้นี้แค่คอแห้งอยากหาอะไรกินเสียหน่อยเท่านั้น”
ทุกผู้คนที่ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะและนั่งลง
เรื่องที่ว่าเย่หยวนนั้นสนิทสนมกับชาวเมืองนั้นเป็นเรื่องที่คนเมืองอินทรีสวรรค์ต่างรู้กันดี เพราะฉะนั้นทุกผู้คนจึงไม่ได้กลัวเกรงว่าจะไปทำให้เย่หยวนไม่พอใจใดๆ
แต่เวลานี้เป็นทางด้านเย่หยวนที่เหลือบไปเห็นกลุ่มคนทั้งห้าของศิษย์พี่ซุนนางนั้นจนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น
คนทั้งหลายนี้ปกปิดพลังบ่มเพาะ… และดูท่าจะมีเป้าประสงค์ร้าย?
แต่พวกนางทั้งหลายนั้นก็ไม่ได้คิดจะให้เวลาเย่หยวนคิดมากมาย กลุ่มคนทั้งห้าได้ลุกขึ้นยืนเตรียมตัวเรียบร้อย
ศิษย์พี่ซุนนางนั้นลดเสียงลงก่อนจะหันไปถาม “เจ้าเย่หยวน?”
เย่หยวนพยักหน้ารับ “เป็นเย่ผู้นี้เอง”
ศิษย์พี่ซุนนางนั้นจึงได้พูดขึ้นมาต่อ “เช่นนั้นเจ้ารู้จักลู่เอ๋อหรือไม่?”
เมื่อเย่หยวนได้ยินเช่นนั้นแน่นอนว่าใบหน้าของเขาจะต้องเปลี่ยนสีไปทันที
เมื่อศิษย์พี่ซุนนางนั้นเห็นสีหน้าของเย่หยวนนางจึงมั่นใจแน่นอนว่าไม่ผิดตัวและสั่งการออกมา “ดูท่าจะถูกตัวแล้ว เหลียนซิน จัดการเสีย”
………………………