“โอสถเขี้ยวหนุมานอึดใจก็ไม่ได้หรือ?”
เย่หยวนได้แต่ส่ายหัวออกมาด้วยความผิดหวัง ตัวเขานั้นได้ลดระดับความยากลงอย่างมากแล้ว แต่สุดท้ายเทพสวรรค์กู้หงก็ยังไม่อาจจะตอบสนองมันได้
ตอนที่เขาเห็นกู้หงครั้งแรกนั้นเย่หยวนคิดว่าแค่ขึ้นไปถึงอาณาจักรเต๋าขั้นกลางมันก็คงดีมากแล้ว
แต่ดูท่า ตัวเขาผู้นี้คงยังวนเวียนอยู่ที่อาณาจักรเต๋าขั้นต้นแน่
“อ่า… เช่นนั้นลองลดระดับมาอีกหน่อย โอสถประทับใต้พิภพได้หรือไม่?”
เย่หยวนกล่าวขึ้นมา ขณะที่ตอนนี้ใบหน้าของเทพสวรรค์กู้หงนั้นมันเขียวดำไปหมดแล้ว
ดูอย่างไรเจ้าหมอนี่มันก็มาหาเรื่องก่อกวนเขาชัดๆ
“หึ! โอสถประทับใต้พิภพก็ได้! เทพสวรรค์ผู้นี้อยากจะรู้เหลือเกินว่าเจ้าจะมีปัญญาสักแค่ไหน จะหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ความยากเก้าได้จริงหรือไม่” เทพสวรรค์กู้หงร้องบอก
แม้ว่าโอสถประทับใต้พิภพนี้เองจะเป็นโอสถความยากเก้าเช่นกัน แต่ตัวเขาก็ยังพอมีความมั่นใจว่าจะหลอมมันออกมาได้ในขั้นกลางหรือไม่ก็อาจจะถึงขั้นสูง
ที่ด้านล่างลานประลองตอนนี้เหล่าพวกซ่งเฉาทั้งหลายต่างได้แต่ยืนทำหน้าแห้ง
โอสถทั้งหลายที่เย่หยวนบอกชื่อออกมานี้พวกเขาทั้งหลายย่อมไม่อาจจะหลอมมันขึ้นมาได้ แค่สูตรของพวกมันเขายังไม่รู้เลย
แน่นอนว่าอาจารย์ของพวกเขาย่อมจะหลอมมันขึ้นมาได้ แต่เพียงแค่ว่าโอกาสสำเร็จมันไม่สูงมากนัก
มันมิใช่ว่าพวกเขาจะสงสัยในความเก่งกาจของอาจารย์ตน แต่มันเป็นเพราะว่าเหล่าโอสถทั้งหลายนี้มันยากเกินมือคนในสายตาพวกเขาต่างหาก
แต่ในหมู่นักยุทธทั้งหลายแล้วพวกเขาต่างแสดงสีหน้าตื่นตกใจออกมา
เทพสวรรค์กู้หง… กลับยอมเย่หยวน?
เย่หยวนบอกชื่อโอสถออกมาสามชนิด แต่สุดท้ายเทพสวรรค์กู้หงก็ยังเลือกโอสถสุดท้าย ดูท่าแล้วตัวเขาคงไม่มั่นใจว่าจะหลอมอีกสองชนิดได้
“หึ! เจ้าคนโอหังอวดดี! โอสถความยากเก้านั้นมันเป็นโอสถที่ผู้คนต้องก้าวขึ้นอาณาจักรเต๋าก่อนจึงจะหลอมขึ้นได้ อายุเท่านี้มันจะขึ้นมาเป็นยอดฝีมืออาณาจักรเต๋าได้อย่างไร?” ซ่งเฉาร้องบอก
“หึ ต่อให้จะเป็นอาณาจักรเต๋าแล้วทำไม? อาจารย์ของเรานั้นเป็นถึงอาณาจักรเต๋าขั้นต้นสุด บวกกับความห่างในการบ่มเพาะพลังจิตศักดิ์สิทธิ์แล้ว มีหรือที่ท่านจะยังแพ้?” หลัวหยูร้องขึ้นตาม
ท่ามกลางเสียงแห่งความมึนงงสงสัยทั้งหลายนั้น ในที่สุดคนทั้งสองก็เริ่มลงมือประลองกัน
เมื่อเทพสวรรค์กู้หงปล่อยคลื่นพลังออกมาทุกผู้คนต่างก็ต้องตกตะลึง
เหล่านักยุทธทั้งหลายไม่เคยจะได้เห็นจอมเทพโอสถเจ็ดดาวลงมือมาก่อน แน่นอนว่าเมื่อได้เห็นมันย่อมจะรุนแรงหนักหนากว่าคลื่นพลังที่พวกซ่งเฉาปล่อยออกมาอย่างมหาศาล
สำหรับนักยุทธทั้งหลายแล้วมันช่างสุดยอดล้ำตระการตา!
“นี่คือพลังของจอมเทพโอสถเจ็ดดาว! ต่อให้จะเป็นโอสถความยากเก้ามันก็คงเป็นแค่เรื่องง่ายกับท่านกู้หง!”
“เจ้าเด็กคนนั้นมันกลับกล้าท้าทายตัวตนระดับนี้ สมองมันยังอยู่ดีไหมเนี่ย?”
“หึ ข้าว่านะ เจ้าเด็กคนนี้มันต้องจงใจมาก่อกวนท่านแน่ๆ ด้วยอายุเท่านี้มีหรือที่จะรู้เรื่องโอสถลึกซึ้งได้?”
…
เมื่อเทพสวรรค์กู้หงลงมือคนทั้งหลายก็ได้แต่ต้องร้องขึ้นมาด้วยความตื่นตาตื่นใจ
มันราวกับว่าวันนี้พวกเขาได้เห็นสาวงามที่แท้จริงจนทำให้สาวๆ ที่พวกเขาเคยได้พบเจอในชีวิตกลายเป็นคนขี้เหร่ไปทันที
เสียงโห่ร้องทั้งหลายทั้งขึ้นรอบลานประลอง พร้อมด้วยเสียงด่าว่าเย่หยวนอย่างไม่ขาดสาย
หนิงเทียนปิงที่ได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวออกมาด้วยท่าทางเหนื่อยใจ “ช่างเป็นเหล่าคนบ้านนอกที่ไม่รู้จักโลกเสียจริง แค่นี้ก็กลับเรียกเสียงโห่ร้องได้มากปานนี้”
ซ่งเฉาที่ยืนอยู่ไม่ไกลได้ยินเข้าจึงหันมาตวาดว่าทันที “แค่นี้? เจ้าเด็กคนนั้นมันยังไม่รู้วิธีหลอมโอสถเลยด้วยซ้ำล่ะมั้ง? เจ้าดูสิ จนเวลานี้มันก็ยังไม่ลงมือทำสิ่งใดเลย!”
หนิงเทียนปิงที่ได้ยินก็ส่ายหัวออกมาอีกครั้ง “นายข้านั้นแค่ใจกว้างเปิดโอกาสให้อาจารย์ของเจ้าได้ลงมือ เพราะหากเขาลงมือบ้างแล้วอาจารย์ของเขาคงไม่อาจทำสิ่งใดได้อีกต่อไป!”
ซ่งเฉาที่ได้ยินก็ยิ้มเย้ยออกมา “ช่างปากเก่งเสียจริง แต่มันไม่มีทางแปลผลลัพธ์ได้หรอก! พวกเจ้าเตรียมตัวมอบสูตรสุราสาดตะวันโอบออกมาได้เลย”
เย่หยวนนั้นได้แต่ยืนนิ่งอยู่บนลานด้วยความผิดหวังอย่างสุดหัวใจ
เทพสวรรค์กู้หงนี้ไม่อาจจะเทียบได้แม้แต่กับเทพสวรรค์ที่อ่อนแอที่สุดในงานชุมนุมโอสถเมฆา!
“เปิด!”
เย่หยวนร้องขึ้นมาก่อนจะยื่นมืออกไปดึงเหล่าสมุนไพรทั้งหลายโยนลงหม้อหลอมไป
จากนั้นมันก็เกิดคลื่นพลังปะทุขึ้นจากร่างของเขา
คลื่นพลังนี้มันทำให้เสียงโห่ร้องใดๆ เงียบหายลงทันที!
ภายใต้คลื่นพลังนี้ของเย่หยวน ทางคลื่นพลังที่เทพสวรรค์กู้หงปล่อยออกมานั้นมันนับเป็นได้เพียงแค่การผายลมอันแผ่วเบา
เทพสวรรค์กู้หงที่ได้เห็นก็หน้าถอดสีลงพร้อมด้วยตราในมือที่หยุดขยับหมุน
แน่นอนว่าจากนั้นมันต้องตามมาด้วยเสียง ฟู่ ตอนนี้โอสถใดๆ ในหม้อหลอมของเขามันได้กลายเป็นแค่เถ้าถ่านไปแล้ว
เพราะเดิมทีแค่จะหลอมโอสถความยากเก้ามันก็เป็นเรื่องยากเย็นสำหรับเขามากแล้ว มีหรือที่จะทนรับแรงกดดันมหาศาลจากเย่หยวนนี้ได้?
สำหรับตัวเขาแล้วคลื่นพลังจากเย่หยวนนั้นเป็นดั่งขุนเขาใหญ่ที่ตกลงมากดทับ ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ขยับกาย
ความตื่นตะลึงจนถึงที่สุดปรากฏออกมาบนใบหน้าของเทพสวรรค์กู้หง
แต่ทว่าเขานั้นไม่ได้แสดงความโกรธเคืองไม่พอใจใดๆ ออกมา เพราะไม่นานจากนั้นสายตาของเขาก็ต้องถูกวิชาการหลอมโอสถของเย่หยวนดึงดูดไว้
มันมิใช่แค่ตัวเขา ในเวลานี้เหล่าศิษย์ทั้งหลายของเขาเองก็ได้จ้องมองเย่หยวนอย่างตกตะลึงไม่อาจวางตาลง
ในสถานที่อย่างทุ่งราบสุดอุดรนี้ การจะได้เจอยอดคนจอมโอสถเช่นนี้มันย่อมจะเป็นดั่งฝนฉ่ำที่ตกลงกลางดินแดนแห้งแล้ง
เย่หยวนนั้นขยับเคลื่อนไหวหลอมโอสถด้วยความสวยงามล้ำ ราวกับว่าตัวเขานั้นมีความเข้าใจเต๋าอย่างลึกซึ้ง
ในสายตาของคนทั้งหลายแล้วสิ่งที่เย่หยวนหลอมนั้นมิใช่โอสถ แต่เขากำลังหลอมเต๋าอยู่ต่างหาก!
วิชาการโอสถในระดับนี้มันย่อมนับได้ว่าอยู่ในจุดสูงสุด ไร้เทียมทาน!
ท่ามกลางหมู่เสียงร้องอย่างตื่นตะลึงทั้งหลาย ในที่สุดเย่หยวนก็หลอมโอสถสำเร็จ
หลังจากนั้นนานแสนนานในที่สุดเทพสวรรค์กู้หงก็กลับมาตั้งสติได้พร้อมก้มหัวลงต่อเย่หยวนท่ามกลางสายตาผู้คนทั้งหลายทั้งสิ้นที่มาดู “อาจารย์จี้ช่างมีวิชาโอสถที่เหนือล้ำไร้ต้าน กู้หงชื่นชมยิ่งนัก!”
“นี่มัน… ท่านกู้หง เทพสวรรค์ผู้นั้นกลับยอมก้มหัวลงให้ต่อเด็กน้อยเทพถ่องแท้ผู้หนึ่งหรือ?”
“พระเจ้า! ช่างน่าตกตะลึงจริง! เดิมทีข้านั้นคิดว่าวิชาโอสถของท่านกู้หงนั้นอยู่ในระดับไร้เทียมทานแล้วแท้ๆ ใครจะไปคิดว่าอาจารย์จี้ท่านนี้กลับมีฝีมือเหนือล้ำกว่าท่านกู้หงนับร้อยๆ เท่า!”
…
ในจัตุรัสกลับฟ้าเวลานี้มันเปี่ยมล้นไปด้วยเสียงชื่นชมอย่างตกตะลึง
จอมเทพโอสถเจ็ดดาวกลับก้มหัวลงให้แก่เด็กจอมเทพโอสถหกดาวผู้หนึ่ง มีหรือที่คนทั้งหลายจะไม่ตื่นตะลึง?
เหล่านักยุทธทั้งหลายที่ไม่เข้าใจวิชาโอสถนั้นย่อมไม่เข้าใจถึงความแตกต่างที่แท้จริงระหว่างเทพสวรรค์กู้หงและตัวเย่หยวน
แต่เหล่านักหลอมโอสถทั้งหลายนั้นต่างจะเข้าใจได้ถึงความแตกต่างของคนทั้งสองนี้
เพราะแม้ว่าตัวกู้หงนั้นจะเป็นจอมเทพโอสถเจ็ดดาวแต่ตัวเขาเองก็ไม่อาจจะหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดได้หลายชนิดมากมายนัก
เพราะความยากของโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดดนั้นมันแตกต่างจากโอสถระดับก่อนๆ ไปมาก หากเต๋าโอสถมีอาณาจักรไม่ถึงขั้นแล้วก็ไม่อาจจะหลอมมันได้เลย
เพราะฉะนั้นเมื่อพวกเขาได้เห็นความสามารถของเย่หยวน คนทั้งหลายจึงได้แต่ต้องร้องขึ้นอย่างตกตะลึง
ส่วนในเวลานี้พวกซ่งเฉาทั้งหลายนั้นได้แต่ยืนนิ่งแข็งเป็นหินเป็นที่เรียบร้อย
อาจารย์ผู้เป็นดั่งเทพสำหรับพวกเขานั้นกลับพ่ายลงง่ายๆ อย่างนี้?
เจ้าเด็กน้อยคนนี้มันกลับกลายเป็นเทพแห่งการโอสถไปได้อย่างไร?
“นี่มัน… กู้หงมีคำถามมากมายเกี่ยวกับวิชาโอสถ อยากเรียนถามอาจารย์จี้ว่าพอจะมีเวลาชี้แนะข้าสักอย่างสองอย่างหรือไม่?” เทพสวรรค์กู้หงถามขึ้น
เย่หยวนตอบกลับไป “ทุ่งราบสุดอุดรนั้นมีเต๋าโอสถที่ล้าหลัง ที่ได้เจอจี้ผู้นี้เจ้าก็ถือว่าเป็นโชคที่จะได้เรียนรู้ไปเสียเถอะ”
เมื่อเทพสวรรค์กู้หงได้ยินเขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างออกมา
เพราะหากไม่มีโอกาสเหนือฟ้าใดๆ ตัวเขานั้นคงไม่อาจพัฒนาวิชาโอสถของตนไปได้มากกว่านี้แล้ว
แต่หากมีคนชี้แนะให้ โดยเฉพาะปรมาจารย์อย่างเย่หยวนนี้มันย่อมจะพัฒนาชีวิตของเขาไปได้อย่างมากมาย
“ขอบพระคุณอาจารย์จี้ที่เห็นใจ! ชีวิตนี้กู้หงคงไม่อาจจะตอบแทนมันได้หมดสิ้น!”กู้หงนั้นก้มหัวลงต่ำคารวะเย่หยวนอีกครั้ง
พูดจบเขาก็เงยหน้าขึ้นมาแสดงท่าทางของเทพสวรรค์ผู้ปกครองดินแดนอีกครั้ง “จากวันนี้ไป อาจารย์จี้ผู้นี้จะเป็นแขกผู้ทรงเกียรติของข้า หากใครกล้าลบหลู่ท่านอาจารย์ เจ้าเตรียมตัวเป็นศัตรูกับเทพสวรรค์ผู้นี้ได้เลย!”
………………………………….
“โอสถเขี้ยวหนุมานอึดใจก็ไม่ได้หรือ?”
เย่หยวนได้แต่ส่ายหัวออกมาด้วยความผิดหวัง ตัวเขานั้นได้ลดระดับความยากลงอย่างมากแล้ว แต่สุดท้ายเทพสวรรค์กู้หงก็ยังไม่อาจจะตอบสนองมันได้
ตอนที่เขาเห็นกู้หงครั้งแรกนั้นเย่หยวนคิดว่าแค่ขึ้นไปถึงอาณาจักรเต๋าขั้นกลางมันก็คงดีมากแล้ว
แต่ดูท่า ตัวเขาผู้นี้คงยังวนเวียนอยู่ที่อาณาจักรเต๋าขั้นต้นแน่
“อ่า… เช่นนั้นลองลดระดับมาอีกหน่อย โอสถประทับใต้พิภพได้หรือไม่?”
เย่หยวนกล่าวขึ้นมา ขณะที่ตอนนี้ใบหน้าของเทพสวรรค์กู้หงนั้นมันเขียวดำไปหมดแล้ว
ดูอย่างไรเจ้าหมอนี่มันก็มาหาเรื่องก่อกวนเขาชัดๆ
“หึ! โอสถประทับใต้พิภพก็ได้! เทพสวรรค์ผู้นี้อยากจะรู้เหลือเกินว่าเจ้าจะมีปัญญาสักแค่ไหน จะหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ความยากเก้าได้จริงหรือไม่” เทพสวรรค์กู้หงร้องบอก
แม้ว่าโอสถประทับใต้พิภพนี้เองจะเป็นโอสถความยากเก้าเช่นกัน แต่ตัวเขาก็ยังพอมีความมั่นใจว่าจะหลอมมันออกมาได้ในขั้นกลางหรือไม่ก็อาจจะถึงขั้นสูง
ที่ด้านล่างลานประลองตอนนี้เหล่าพวกซ่งเฉาทั้งหลายต่างได้แต่ยืนทำหน้าแห้ง
โอสถทั้งหลายที่เย่หยวนบอกชื่อออกมานี้พวกเขาทั้งหลายย่อมไม่อาจจะหลอมมันขึ้นมาได้ แค่สูตรของพวกมันเขายังไม่รู้เลย
แน่นอนว่าอาจารย์ของพวกเขาย่อมจะหลอมมันขึ้นมาได้ แต่เพียงแค่ว่าโอกาสสำเร็จมันไม่สูงมากนัก
มันมิใช่ว่าพวกเขาจะสงสัยในความเก่งกาจของอาจารย์ตน แต่มันเป็นเพราะว่าเหล่าโอสถทั้งหลายนี้มันยากเกินมือคนในสายตาพวกเขาต่างหาก
แต่ในหมู่นักยุทธทั้งหลายแล้วพวกเขาต่างแสดงสีหน้าตื่นตกใจออกมา
เทพสวรรค์กู้หง… กลับยอมเย่หยวน?
เย่หยวนบอกชื่อโอสถออกมาสามชนิด แต่สุดท้ายเทพสวรรค์กู้หงก็ยังเลือกโอสถสุดท้าย ดูท่าแล้วตัวเขาคงไม่มั่นใจว่าจะหลอมอีกสองชนิดได้
“หึ! เจ้าคนโอหังอวดดี! โอสถความยากเก้านั้นมันเป็นโอสถที่ผู้คนต้องก้าวขึ้นอาณาจักรเต๋าก่อนจึงจะหลอมขึ้นได้ อายุเท่านี้มันจะขึ้นมาเป็นยอดฝีมืออาณาจักรเต๋าได้อย่างไร?” ซ่งเฉาร้องบอก
“หึ ต่อให้จะเป็นอาณาจักรเต๋าแล้วทำไม? อาจารย์ของเรานั้นเป็นถึงอาณาจักรเต๋าขั้นต้นสุด บวกกับความห่างในการบ่มเพาะพลังจิตศักดิ์สิทธิ์แล้ว มีหรือที่ท่านจะยังแพ้?” หลัวหยูร้องขึ้นตาม
ท่ามกลางเสียงแห่งความมึนงงสงสัยทั้งหลายนั้น ในที่สุดคนทั้งสองก็เริ่มลงมือประลองกัน
เมื่อเทพสวรรค์กู้หงปล่อยคลื่นพลังออกมาทุกผู้คนต่างก็ต้องตกตะลึง
เหล่านักยุทธทั้งหลายไม่เคยจะได้เห็นจอมเทพโอสถเจ็ดดาวลงมือมาก่อน แน่นอนว่าเมื่อได้เห็นมันย่อมจะรุนแรงหนักหนากว่าคลื่นพลังที่พวกซ่งเฉาปล่อยออกมาอย่างมหาศาล
สำหรับนักยุทธทั้งหลายแล้วมันช่างสุดยอดล้ำตระการตา!
“นี่คือพลังของจอมเทพโอสถเจ็ดดาว! ต่อให้จะเป็นโอสถความยากเก้ามันก็คงเป็นแค่เรื่องง่ายกับท่านกู้หง!”
“เจ้าเด็กคนนั้นมันกลับกล้าท้าทายตัวตนระดับนี้ สมองมันยังอยู่ดีไหมเนี่ย?”
“หึ ข้าว่านะ เจ้าเด็กคนนี้มันต้องจงใจมาก่อกวนท่านแน่ๆ ด้วยอายุเท่านี้มีหรือที่จะรู้เรื่องโอสถลึกซึ้งได้?”
…
เมื่อเทพสวรรค์กู้หงลงมือคนทั้งหลายก็ได้แต่ต้องร้องขึ้นมาด้วยความตื่นตาตื่นใจ
มันราวกับว่าวันนี้พวกเขาได้เห็นสาวงามที่แท้จริงจนทำให้สาวๆ ที่พวกเขาเคยได้พบเจอในชีวิตกลายเป็นคนขี้เหร่ไปทันที
เสียงโห่ร้องทั้งหลายทั้งขึ้นรอบลานประลอง พร้อมด้วยเสียงด่าว่าเย่หยวนอย่างไม่ขาดสาย
หนิงเทียนปิงที่ได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวออกมาด้วยท่าทางเหนื่อยใจ “ช่างเป็นเหล่าคนบ้านนอกที่ไม่รู้จักโลกเสียจริง แค่นี้ก็กลับเรียกเสียงโห่ร้องได้มากปานนี้”
ซ่งเฉาที่ยืนอยู่ไม่ไกลได้ยินเข้าจึงหันมาตวาดว่าทันที “แค่นี้? เจ้าเด็กคนนั้นมันยังไม่รู้วิธีหลอมโอสถเลยด้วยซ้ำล่ะมั้ง? เจ้าดูสิ จนเวลานี้มันก็ยังไม่ลงมือทำสิ่งใดเลย!”
หนิงเทียนปิงที่ได้ยินก็ส่ายหัวออกมาอีกครั้ง “นายข้านั้นแค่ใจกว้างเปิดโอกาสให้อาจารย์ของเจ้าได้ลงมือ เพราะหากเขาลงมือบ้างแล้วอาจารย์ของเขาคงไม่อาจทำสิ่งใดได้อีกต่อไป!”
ซ่งเฉาที่ได้ยินก็ยิ้มเย้ยออกมา “ช่างปากเก่งเสียจริง แต่มันไม่มีทางแปลผลลัพธ์ได้หรอก! พวกเจ้าเตรียมตัวมอบสูตรสุราสาดตะวันโอบออกมาได้เลย”
เย่หยวนนั้นได้แต่ยืนนิ่งอยู่บนลานด้วยความผิดหวังอย่างสุดหัวใจ
เทพสวรรค์กู้หงนี้ไม่อาจจะเทียบได้แม้แต่กับเทพสวรรค์ที่อ่อนแอที่สุดในงานชุมนุมโอสถเมฆา!
“เปิด!”
เย่หยวนร้องขึ้นมาก่อนจะยื่นมืออกไปดึงเหล่าสมุนไพรทั้งหลายโยนลงหม้อหลอมไป
จากนั้นมันก็เกิดคลื่นพลังปะทุขึ้นจากร่างของเขา
คลื่นพลังนี้มันทำให้เสียงโห่ร้องใดๆ เงียบหายลงทันที!
ภายใต้คลื่นพลังนี้ของเย่หยวน ทางคลื่นพลังที่เทพสวรรค์กู้หงปล่อยออกมานั้นมันนับเป็นได้เพียงแค่การผายลมอันแผ่วเบา
เทพสวรรค์กู้หงที่ได้เห็นก็หน้าถอดสีลงพร้อมด้วยตราในมือที่หยุดขยับหมุน
แน่นอนว่าจากนั้นมันต้องตามมาด้วยเสียง ฟู่ ตอนนี้โอสถใดๆ ในหม้อหลอมของเขามันได้กลายเป็นแค่เถ้าถ่านไปแล้ว
เพราะเดิมทีแค่จะหลอมโอสถความยากเก้ามันก็เป็นเรื่องยากเย็นสำหรับเขามากแล้ว มีหรือที่จะทนรับแรงกดดันมหาศาลจากเย่หยวนนี้ได้?
สำหรับตัวเขาแล้วคลื่นพลังจากเย่หยวนนั้นเป็นดั่งขุนเขาใหญ่ที่ตกลงมากดทับ ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ขยับกาย
ความตื่นตะลึงจนถึงที่สุดปรากฏออกมาบนใบหน้าของเทพสวรรค์กู้หง
แต่ทว่าเขานั้นไม่ได้แสดงความโกรธเคืองไม่พอใจใดๆ ออกมา เพราะไม่นานจากนั้นสายตาของเขาก็ต้องถูกวิชาการหลอมโอสถของเย่หยวนดึงดูดไว้
มันมิใช่แค่ตัวเขา ในเวลานี้เหล่าศิษย์ทั้งหลายของเขาเองก็ได้จ้องมองเย่หยวนอย่างตกตะลึงไม่อาจวางตาลง
ในสถานที่อย่างทุ่งราบสุดอุดรนี้ การจะได้เจอยอดคนจอมโอสถเช่นนี้มันย่อมจะเป็นดั่งฝนฉ่ำที่ตกลงกลางดินแดนแห้งแล้ง
เย่หยวนนั้นขยับเคลื่อนไหวหลอมโอสถด้วยความสวยงามล้ำ ราวกับว่าตัวเขานั้นมีความเข้าใจเต๋าอย่างลึกซึ้ง
ในสายตาของคนทั้งหลายแล้วสิ่งที่เย่หยวนหลอมนั้นมิใช่โอสถ แต่เขากำลังหลอมเต๋าอยู่ต่างหาก!
วิชาการโอสถในระดับนี้มันย่อมนับได้ว่าอยู่ในจุดสูงสุด ไร้เทียมทาน!
ท่ามกลางหมู่เสียงร้องอย่างตื่นตะลึงทั้งหลาย ในที่สุดเย่หยวนก็หลอมโอสถสำเร็จ
หลังจากนั้นนานแสนนานในที่สุดเทพสวรรค์กู้หงก็กลับมาตั้งสติได้พร้อมก้มหัวลงต่อเย่หยวนท่ามกลางสายตาผู้คนทั้งหลายทั้งสิ้นที่มาดู “อาจารย์จี้ช่างมีวิชาโอสถที่เหนือล้ำไร้ต้าน กู้หงชื่นชมยิ่งนัก!”
“นี่มัน… ท่านกู้หง เทพสวรรค์ผู้นั้นกลับยอมก้มหัวลงให้ต่อเด็กน้อยเทพถ่องแท้ผู้หนึ่งหรือ?”
“พระเจ้า! ช่างน่าตกตะลึงจริง! เดิมทีข้านั้นคิดว่าวิชาโอสถของท่านกู้หงนั้นอยู่ในระดับไร้เทียมทานแล้วแท้ๆ ใครจะไปคิดว่าอาจารย์จี้ท่านนี้กลับมีฝีมือเหนือล้ำกว่าท่านกู้หงนับร้อยๆ เท่า!”
…
ในจัตุรัสกลับฟ้าเวลานี้มันเปี่ยมล้นไปด้วยเสียงชื่นชมอย่างตกตะลึง
จอมเทพโอสถเจ็ดดาวกลับก้มหัวลงให้แก่เด็กจอมเทพโอสถหกดาวผู้หนึ่ง มีหรือที่คนทั้งหลายจะไม่ตื่นตะลึง?
เหล่านักยุทธทั้งหลายที่ไม่เข้าใจวิชาโอสถนั้นย่อมไม่เข้าใจถึงความแตกต่างที่แท้จริงระหว่างเทพสวรรค์กู้หงและตัวเย่หยวน
แต่เหล่านักหลอมโอสถทั้งหลายนั้นต่างจะเข้าใจได้ถึงความแตกต่างของคนทั้งสองนี้
เพราะแม้ว่าตัวกู้หงนั้นจะเป็นจอมเทพโอสถเจ็ดดาวแต่ตัวเขาเองก็ไม่อาจจะหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดได้หลายชนิดมากมายนัก
เพราะความยากของโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดดนั้นมันแตกต่างจากโอสถระดับก่อนๆ ไปมาก หากเต๋าโอสถมีอาณาจักรไม่ถึงขั้นแล้วก็ไม่อาจจะหลอมมันได้เลย
เพราะฉะนั้นเมื่อพวกเขาได้เห็นความสามารถของเย่หยวน คนทั้งหลายจึงได้แต่ต้องร้องขึ้นอย่างตกตะลึง
ส่วนในเวลานี้พวกซ่งเฉาทั้งหลายนั้นได้แต่ยืนนิ่งแข็งเป็นหินเป็นที่เรียบร้อย
อาจารย์ผู้เป็นดั่งเทพสำหรับพวกเขานั้นกลับพ่ายลงง่ายๆ อย่างนี้?
เจ้าเด็กน้อยคนนี้มันกลับกลายเป็นเทพแห่งการโอสถไปได้อย่างไร?
“นี่มัน… กู้หงมีคำถามมากมายเกี่ยวกับวิชาโอสถ อยากเรียนถามอาจารย์จี้ว่าพอจะมีเวลาชี้แนะข้าสักอย่างสองอย่างหรือไม่?” เทพสวรรค์กู้หงถามขึ้น
เย่หยวนตอบกลับไป “ทุ่งราบสุดอุดรนั้นมีเต๋าโอสถที่ล้าหลัง ที่ได้เจอจี้ผู้นี้เจ้าก็ถือว่าเป็นโชคที่จะได้เรียนรู้ไปเสียเถอะ”
เมื่อเทพสวรรค์กู้หงได้ยินเขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างออกมา
เพราะหากไม่มีโอกาสเหนือฟ้าใดๆ ตัวเขานั้นคงไม่อาจพัฒนาวิชาโอสถของตนไปได้มากกว่านี้แล้ว
แต่หากมีคนชี้แนะให้ โดยเฉพาะปรมาจารย์อย่างเย่หยวนนี้มันย่อมจะพัฒนาชีวิตของเขาไปได้อย่างมากมาย
“ขอบพระคุณอาจารย์จี้ที่เห็นใจ! ชีวิตนี้กู้หงคงไม่อาจจะตอบแทนมันได้หมดสิ้น!”กู้หงนั้นก้มหัวลงต่ำคารวะเย่หยวนอีกครั้ง
พูดจบเขาก็เงยหน้าขึ้นมาแสดงท่าทางของเทพสวรรค์ผู้ปกครองดินแดนอีกครั้ง “จากวันนี้ไป อาจารย์จี้ผู้นี้จะเป็นแขกผู้ทรงเกียรติของข้า หากใครกล้าลบหลู่ท่านอาจารย์ เจ้าเตรียมตัวเป็นศัตรูกับเทพสวรรค์ผู้นี้ได้เลย!”
………………………………….