“นี่…นี่มัน….ข้า…ข้า…” ฉือเซียวได้แต่ร้องออกมาด้วยใบหน้าแดงฉานไม่รู้ว่าจะต้องอธิบายมันอย่างไร
เย่หยวนจ้องมองไปด้วยดวงตาที่ดุร้ายและตะโกนลั่น “คุกเข่า!”
ฉือเซียวสั่นสะท้านไปทั้งกายแต่ก็ยังไม่วายจะเงยหน้าขึ้นมาสู้ไม่คิดยอม “เจ้ามีเหตุใดมาสั่งให้ข้าคุกเข่าได้?”
เย่หยวนที่ได้ยินจึงหรี่ตาลงทันที “ข้านั้นคือรองมหาปราชญ์ที่มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลแต่งตั้งขึ้นมา หากพูดกันถึงแค่ฐานะแล้วข้าย่อมจะเหนือล้ำกว่าอาจารย์ของเจ้ามหานักบวชขนแดงเสียด้วยซ้ำ! ต่อให้วันนี้จะเป็นเขาที่มาเห็นข้า ตัวเขาเองก็คงไม่กล้าพูดจาสามหาวเช่นเจ้าแน่ ทำไมเล่า? หรือข้าสั่งเจ้าคุกเข่าไม่ได้? หรือเรื่องนี้ข้าต้องเอาไปปรึกษาพูดคุยกับมหานักบวชขนแดงเสียก่อน?”
เสียงตวาดลั่นนั้นมันทำให้เหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายได้แต่ยืนนิ่ง ไม่มีใครนึกฝันว่าจู่ ๆ เมื่อเย่หยวนระเบิดความโกรธออกมามันจะรุนแรงหนักหน่วงปานนี้
ก่อนนี้ไม่ถึงวินาทีฉือเซียวยังวางท่าสั่งสอนผู้คนชี้นิ้วใส่หน้าพวกเขาทั้งหลายตั้งแต่แรกเห็น แต่ตอนนี้เขานั้นกลับไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงหายใจออกมา
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือสิ่งที่เย่หยวนพูดออกมามันสมเหตุสมผลมาก
ต่อให้จะเป็นตัวมหานักบวชขนแดงมาเอง เขาก็คงไม่กล้ากล่าวว่าถึงขั้นนี้ต่อหน้าเย่หยวน
ไม่เช่นนั้นแล้วมีหรือที่กงหยางเลี่ยจะต้องใช้วิธีอ้อมค้อมหลอกด่าผู้คนเช่นนั้น?
ฉือเซียวสั่นสะท้านไปทั้งกายก่อนจะหันหน้าไปอ้อนวอนต่อกงหยางเลี่ย
กงหยางเลี่ยที่ได้เห็นจึงถอนหายใจออกมา แต่ตัวเขายังไม่ทันจะได้กล่าวใด ๆ เย่หยวนก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน “เจ้าคิดจะพูดรับความผิดแทนมันหรือ? เช่นนั้นเจ้าจะหมายความว่ามันกล่าวว่ามหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลได้โดยไม่ต้องถูกทำโทษใด ๆ?”
กงหยางเลี่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหันไปบอกฉือเซียว “เฮ้อ เจ้าคุกเข่าเถอะ!”
เรื่องครานนี้ตัวเขาไม่อาจจะช่วยเหลือฉือเซียวได้อีกแล้ว
เพราะหากเรื่องมันไปถึงหูของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลจริง มันคงไม่จบลงง่าย ๆ แน่
เว้นเสียแต่ว่าเขาจะสังหารเย่หยวนลง
แต่คนตั้งมากมายอยู่ในที่นี้ หากเขาสังหารรองมหาปราชญ์ลงมันจะไม่เท่ากับการประกาศสงครามต่อมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลหรือ?
ฉือเซียวได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่อาจหักใจคุกเข่าลงได้
ในฐานะศิษย์อันภาคภูมิของมหานักบวชขนแดง ฉือเซียวย่อมจะมีชื่อเสียงเหนือล้ำฟ้า เคยหรือที่เขาจะพบเจอเรื่องราวสุดน่าอับอายเช่นนี้?
เพียงแค่ว่าตำแหน่งของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นมันมิใช่สิ่งที่จะลบหลู่ได้!
เรื่องนี้เขาเข้าใจดีถึงกระดูก
“คุกเข่า!”
เย่หยวนร้องบอกอีกครั้งจนทำให้ขาของฉือเซียวสั่นสะท้านก่อนจะปล่อยร่างของเขาตกลงกับพื้น
เหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายในที่นี้ได้แต่มองดูมันอย่างมึนงง ฉือเซียวนี้กลับถูกคนวางกล่าวจนต้องคุกเข่าลงให้อีกฝ่าย
แม้ว่าพวกเขาทั้งหลายเองจะเป็นถึงนักบวชเจ็ดดาวเช่นกันก็ตาม แม้จะมีเต๋าโอสถถึงอาณาจักรเต๋าขั้นกลางหรือปลายแต่ต่อหน้าฉือเซียวนี้ พวกเขานั้นก็ยังต้องก้มหัวให้
เพราะแม้ฉือเซียวจะโอหัง แต่เขาก็มีคุณสมบัติพอที่จะโอหังได้
เพราะเขานั้นใช้เวลาแค่แปดพันปีในการก้าวขึ้นอาณาจักรบรรพกาล เขานั้นนับเป็นศิษย์ของมหานักบวชขนแดงที่ก้าวขึ้นถึงจุดนั้นได้รวดเร็วที่สุด
พรสวรรค์ระดับนี้พร้อมด้วยความเป็นศิษย์ของมหานักบวชขนแดง มันย่อมจะทำให้เขาสามารถทำอะไรได้ตามอำเภอใจในอาณาจักรวิญญาณประจิมนี้
เพราะฉะนั้นเมื่อเหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายเห็นฉือเซียว พวกเขาจึงได้แต่ต้องก้มหัวให้อย่างเคารพ
แต่ตอนนี้ตัวเขาผู้นั้นกลับถูกคนอื่นสั่งให้คุกเข่าลงต่อหน้า!
เย่หยวนมองดูที่ร่างนั้นพร้อมถามกร้าว “ฉือเซียว เจ้าเข้าใจความผิดของตนหรือไม่?”
ฉือเซียวนั้นเป็นคนยึดถือในเกียรติมากมายปานใด? เขานั้นแทบจะระเบิดความไม่พอใจออกมาก่อนที่จะหันไปเห็นทางกงหยางเลี่ยขยิบตาให้ไม่พัก จนตัวเขานั้นอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านไปทั้งใจ
“ฉือเซียวเข้าใจความผิดของตน!” ฉือเซียวกัดฟันร้องตอบ
กงหยางเลี่ยนั้นผ่านโลกมามากมายปานใด? เขานั้นแตกต่างจากยอดคุณหนูอย่างฉือเซียวมาก
ในเวลานี้หากฉือเซียวคิดพูดเถียงใด ๆ มันย่อมจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่หนักหน่วงขึ้นตาม
และหากมันถึงขั้นเลวร้ายที่สุด เย่หยวนอาจจะสั่งให้ฆ่าสังหารฉือเซียวลง ถึงเวลานั้นมันก็คงไม่มีใครกล้าจะว่าเถียงใด ๆ
เพราะการลบหลู่รองมหาปราชญ์นั้นมันคือการลบหลู่มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล ฆ่าสังหารลงนี้มันถือว่าเป็นเรื่องเบาแล้วด้วยซ้ำ!
โชคยังดีที่ฉือเซียวนั้นแม้ได้โง่เง่ามากมายจึงเข้าใจความหมายของกงหยางเลี่ยได้ทันที เขาจึงได้แต่ต้องกลืนความโอหังศักดิ์ศรีใด ๆ ของตนลงคอไป
“ดีที่เจ้ารู้! ตอนนี้มหาปราชญ์ผู้นี้จะสั่งให้เจ้าไปคุกเข่าต่อหน้ารูปปั้นของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลเป็นเวลาครึ่งเดือน เจ้าจะยอมรับมันหรือไม่?” เย่หยวนกล่าว
นั่นทำให้ฉือเซียวอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองอย่างโกรธแค้น
ตอนนี้การประชุมยอดโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์มันกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า อสูรที่มาถึงเมืองแห่งนี้มันจะต้องมีมากมายปานใดและผู้คนที่เดินผ่านลานศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นมันจะมีจำนวนเท่าไหร่?
แต่ตัวเขากลับต้องไปนั่งอยู่หน้ารูปปั้นกลางลานศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นถึงครึ่งเดือน มันจะไม่กลายเป็นที่หัวเราะของผู้คนหรือ?
เจ้าหมอนี่มันจงใจทำแน่ ๆ!
“หืม? เจ้ายังไม่สำนึกผิดอีกหรือ?” เย่หยวนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ค่อย ๆ เย็นเยือกลง
ฉือเซียวจ้องมองหน้าเย่หยวนพร้อมด้วยดวงตาที่แดงก่ำ เขาได้แต่กัดฟันขึ้นอย่างโกรธแค้น “ฉือเซียว… ยอมรับโทษนี้!”
เย่หยวนจึงได้สะบัดแขนไปยังทางออกพร้อมสั่ง “เชิญ!”
ฉือเซียวนั้นแทบจะอกแตกตาย เขาได้แต่เดินออกไปนั่งลงยังลานศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลด้วยความคับแค้นจุกอก
เหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายในที่นั้นต่างได้แต่ยืนนิ่ง ฉือเซียวนั้นออกมาด้วยท่าทางเหนือฟ้าล้ำหัวผู้คน คิดท้าทายเย่หยวนประลองอย่างไม่ผิดแน่นอน แต่สุดท้ายตัวเขากลับพูดจาไม่ทันคิดถูกอีกฝ่ายใช้มันส่งไปนั่งหน้ารูปปั้นมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล เรื่องนี้ผู้ที่ได้เห็นย่อมไม่อาจจะทำใจเชื่อลงได้
แต่คนทั้งหลายนั้นก็ต่างคิดไปว่าท่าทางเหนือฟ้าไม่ยอมใครของเย่หยวนนี้มันถูกแสดงออกมาเพราะความกลัวต่อฉือเซียว
เพราะฉือเซียวนั้นแตกต่างจากพวกเขาทั้งหลาย แม้เขาจะยังเป็นแค่เทพสวรรค์หนึ่งดาวแต่ตัวเขานั้นก็เป็นยอดคนอาณาจักรบรรพกาลอย่างแท้จริง
ระหว่างคนทั้งสองนี้ใครจะเก่งกาจกว่ากันมันคงพูดยาก
เย่หยวนนั้นกลัวว่าจะเสียหน้ารองมหาปราชญ์จึงได้ทำท่าทางเช่นนั้นออกมาไล่อีกฝ่ายไป
แต่ทางฉือเซียวเองก็ผิดที่โง่เง่า เดินเข้ามาถึงห้องและคำพูดที่กล่าวคำแรกมันก็กลับกลายเป็นอาวุธให้อีกฝ่ายเอามาสังหารตนเองไปเสีย
เย่หยวนย่อมจะไม่คิดสนใจใด ๆ เขาได้แต่เดินออกไปภายนอกพร้อมมือไขว้หลัง
“จะดูอะไร? เจ้าไม่เคยเห็นคนภาวนาต่อท่านมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล? ไสหัวไป!”
ในลานกว้างนั้นมันเกิดเสียงร้องของฉือเซียวดังขึ้นเป็นระยะ ๆ
…
เย่หยวนนั้นย่อมไม่คิดสนใจพวกฉือเซียวใด ๆ อีก เวลานี้เหตุผลที่เขามายังอาณาจักรวิญญาณประจิมนี้มันย่อมจะเป็นเพราะว่าเขากำลังมองหาสมุนไพรวิญญาณเพื่อช่วยในการบรรลุคอขวดช่วงปลายของอาณาจักรเม็ดต้นกำเนิด
เมื่อก้าวขึ้นมาถึงอาณาจักรเม็ดต้นกำเนิดแล้วเย่หยวนก็ได้รู้ว่าวรยุทธบ่มเพาะที่เขาใช้มันน่าหวาดกลัวปานใด
ตอนนี้แม้แต่แค่หนึ่งดาวเองมันก็ยังต้องใช้พลังงานวิญญาณมหาศาลกว่าคนระดับเดียวกันไปหลายเท่า
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียการบ่มเพาะอาณาจักรเทพถ่องแท้นั้นมันก็ต้องใช้เวลาเก็บเพาะพลังวิญญาณนับหมื่น ๆ ปีและหากบอกว่าอาณาจักรเม็ดต้นกำเนิดนั้นต้องใช้มากกว่านั้นหลายเท่ามันก็จะเท่ากับว่าต้องใช้เวลานับแสน ๆ ปี
คลื่นพลังวิญญาณอันหนักหนาเช่นนั้น ต่อให้เย่หยวนจะใช้โอสถช่วยมันก็ยังอดไม่ได้ที่จะมองว่ามันช้า
ก่อนหน้านี้เขานั้นสามารถจะบรรลุดาวหนึ่งได้ด้วยเวลาสิบยี่สิบปี ตอนนี้เขากลับต้องใช้เวลาหลายสิบปีหรือถึงร้อยปีกว่าที่จะก้าวขึ้นมาได้ แม้จะได้รับความช่วยเหลือจากยอดโอสถนับไม่ถ้วนที่เขากินไปแล้วก็ตาม
ไม่เช่นนั้นแล้วด้วยพลังวิญญาณที่อาณาจักรเม็ดต้นกำเนิดต้องการนั้น นักยุทธทั่ว ๆ ไปคงต้องใช้เวลานับแสน ๆ ปีกว่าจะก้าวขึ้นมาได้สักดาว
เย่หยวนนั้นก้าวขึ้นมาถึงอาณาจักรเม็ดต้นกำเนิดหกดาวเมื่อไม่กี่ปีก่อนระหว่างทางไปยังทุ่งราบสุดอุดรและได้ใช้สมุนไพรวิญญาณไปมากมายระหว่างการเดินทาง แต่สุดท้ายมันก็ยังมาหยุดอยู่ที่หน้าคอขวดขั้นปลาย
การประชุมยอดโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์ครั้งนี้มันย่อมจะมีสมุนไพรมากมายเข้ามาขายไม่แตกต่างจากทางฝั่งแดนมนุษย์ เย่หยวนย่อมจะไม่ปล่อยให้การเดินทางนี้ต้องเสียเปล่า
“นายน้อยเก่งกาจจริง ๆ ถึงขั้นได้รับนามรองมหาปราชญ์แห่งเผ่าอสูรมา! ท่านไม่รู้อะไรตอนที่อยู่ในทุ่งราบสุดอุดรนั้นพวกอสูรมันดุร้ายปานใด แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าท่านนี้มันกลับได้แต่ต้องก้มหัวให้” ลู่เอ๋อร้องบอกขึ้นมาด้วยแววตาสุดชื่นชม
กู้หงและหยางเฟยเอ๋อนั้นได้ติดตามคนทั้งสองมาด้วยสีหน้าอันตื่นตะลึงเช่นกัน
หยางเฟยเอ๋อนั้นติดตามเย่หยวนมาราวครึ่งปีนี้ ด้วยความช่วยเหลือจากโอสถของเย่หยวนเวลานี้นางจึงได้ก้าวขึ้นเป็นถึงเทพถ่องแท้เก้าดาวแล้ว
ความเร็วในการบ่มเพาะเช่นนี้นางย่อมจะไม่เคยคิดฝันถึง
ส่วนทางลู่เอ๋อเมื่อได้รับการช่วยเหลือของเย่หยวน ความเร็วการบ่มเพาะของนางมันก็ยิ่งน่าหวาดกลัวกว่าเก่า
หยางเฟยเอ๋อนั้นได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของลู่เอ๋อต่อหน้าต่อตาทุกวี่วันและเข้าใจได้ทันทีว่านี่คือยอดคนที่แท้
เย่หยวนที่ได้ยินก็ยิ้มแห้ง ๆ ออกมา “นังเด็กโง่ เจ้าคิดว่านามรองมหาปราชญ์มันได้มาครองง่าย ๆ หรือ? ตอนนี้มันมีผู้คนมากมายไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ในอาณาจักรเทพอสูรที่จ้องจะหาเรื่องข้าไม่ขาด!”
ลู่เอ๋อยิ้มตอบกลับมา “ข้าไม่สนหรอก ไม่ว่าอย่างไรเสียนายน้อยข้าก็เก่งที่สุด!”
ระหว่างที่คนทั้งหลายกำลังเดินทางไปคุยไปนั้นพวกเขาก็ได้เดินสวนทางกับกลุ่มชายหญิงกลุ่มหนึ่ง
จู่ ๆ ชายผมแดงและสาวน้อยในกลุ่มนั้นก็ได้ขมวดคิ้วแน่นก่อนจะหันตามหลังกลับมามองทางพวกเย่หยวน
…………………………