เมื่อได้ยินคำบอกเล่าของซินหลัว ฉีเฉินเองก็ตกตะลึงไปไม่น้อย
เจ้ากระดูกจักรพรรดินั้นมันเหนือล้ำอย่างที่เขาคาดคิดจริง ๆ!
ด้วยตำแหน่งของฉีเฉิน ตัวเขาย่อมจะได้พบเห็นกระดูกจักรพรรดิที่บรรพบุรุษละทิ้งไว้ให้มามากมาย
แต่ตัวเขานั้นไม่เคยจะคิดฝันว่ากระดูกจักรพรรดิชิ้นหนึ่งจะทำให้เผ่ากิเลนไม่อาจขัดขืนได้เช่นนี้
ทั้งยังเรื่องที่ฉีเจิ้นเป็นถึงเทพสวรรค์ด้วย
มันจะไม่เท่ากับว่าตราบเท่าที่เย่หยวนมีกระดูกจักรพรรดินี้ในมือแล้วเขาจะไม่ต้องเกรงกลัวใด ๆ เลยเมื่อเจอกับเทพสวรรค์เผ่ากิเลนหรือ?
เรื่องนี้มันย่อมจะปล่อยไว้ไม่ได้ ตัวเขาต้องนำพากระดูกนี้กลับไปยังเผ่า!
“ไม่นานแน่ซินหลัว เรื่องราวนี้เผ่ากิเลนข้าจำจดมันไว้ขึ้นใจแล้ว อาณาจักรวิญญาณประจิมเจ้าจะต้องพบเจอความพิโรธจากเผ่ากิเลนเรา! ฉีหยุน ไปกัน!”
พูดจบทางฉีเฉินก็ได้นำฉีหยุนเดินทางกลับไปทันที
ซินหลัวที่รู้อยู่แต่แรกว่าเรื่องเช่นนี้คงเลี่ยงไม่ได้ จึงได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
ดูท่ามันจะไม่อาจเลี่ยงการเสียเลือดเนื้อได้แล้ว
เมื่อคิดมาได้ถึงตรงนี้ซินหลัวก็อดไม่ได้ที่จะคิดแค้นเย่หยวนขึ้นมา
เขานั้นระบายความไม่พอใจของตนออกมา แต่มันกลับทำให้เผ่าอสูรต้องตกสู่สงคราม
หลังจากฉีเฉินจากไปร่างของกงหยางเลี่ยก็ปรากฏตัวขึ้น
“ท่านกงหยาง! เราจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี?” ซินหลัวถาม
กงหยางเลี่ยตอบกลับไปด้วยใบหน้าดำมืด “จะทำอย่างไรได้อีก? หากเผ่ากิเลนนั้นมาถามเราจริง ๆ เราก็คงมีแต่ต้องให้พวกมันเอาตัวเย่หยวนไป!”
ซินหลัวหน้าซีดขาวลงทันทีที่ได้ยิน “แต่…เขานั้นเป็นถึงรองมหาปราชญ์!”
กงหยางเลี่ยนั้นหัวเราะขึ้นเมื่อได้ยิน “จะเป็นรองมหาปราชญ์แล้วทำไม? กำลังของเผ่ากิเลนนั้นเจ้าเองก็ทราบดีแก่ใจ หากสงครามมันเริ่มขึ้นแล้วจะต้องมีการสูญเสียเท่าไหร่ ถึงเวลานั้นเจ้าคิดว่าเผ่าอื่น ๆ ทั้งหลายจะอยู่นิ่ง? หรือเพราะว่าเย่หยวนคนเดียวนี้เราจะต้องทำให้เผ่าอสูรตกสู่สภาวะวิกฤต? ที่สำคัญต่อให้จะเป็นตัวท่านมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลเองที่ออกมาท่านก็คงส่งมอบตัวเย่หยวนออกไปอย่างไม่ลังเลเช่นกัน ที่สำคัญจะบอกว่าเขาเป็นรองมหาปราชญ์ใด แต่สุดท้ายเขาก็ยังเป็นแค่เทพถ่องแท้ วันหน้าใครจะไปแน่ใจได้? ในมหาพิภพถงเทียนนี้สิ่งที่มีค่าที่สุดนั้นคืออัจฉริยะ แต่สิ่งที่ด้อยค่าที่สุดมันก็คืออัจฉริยะ!”
เพราะก่อนที่อัจฉริยะจะเติบโตขึ้นเป็นยอดฝีมือได้ พวกเขาก็จะเป็นได้แต่อัจฉริยะ
ในมหาพิภพถงเทียนนี้การเกิดและตายมันเกิดขึ้นในทุกวินาที อัจฉริยะนั้นมิใช่จะมีแค่เย่หยวนคนเดียว
เย่หยวนนั้นมีวิชาโอสถที่เหนือล้ำอย่างแท้จริง แต่มีหรือที่จักรพรรดิเทพสวรรค์อย่างเขาจะไปสนใจยอดอัจฉริยะวิชาโอสถระดับหกดาว?
ความเคารพที่เขาแสดงต่อเย่หยวนล้วนแต่เกิดขึ้นมาเพราะมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล
ที่สำคัญไปกว่านั้นกงหยางเลี่ยยังมีเรื่องค้างคาในใจ
เพราะการปรากฏตัวของเย่หยวนนี้มันทำให้ชื่อเสียงของมหานักบวชขนแดงต้องสั่นคลอน
การยืมมือเผ่ากิเลนสังหารเย่หยวนลงนี้เองมันก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวนัก
ที่ด้านข้างทางซินหลัวนั้นย่อมจะเข้าใจได้
เรื่องราวในเวลานี้มันมิใช่สิ่งที่ตัวเขาจะยุ่งใด ๆ ด้วยได้แล้ว
…
เมื่อการฆ่าสังหารฉีเจิ้นลงนั้นเย่หยวนไม่ได้คิดกังวลใด ๆ
หลังจากกลับมาถึงที่พักเขาก็เริ่มเข้าสู่การเก็บตัวเพื่อสลายพลังของเต๋าจากลายพระเจ้าที่ค้างอยู่ในร่าง เขานั้นใช้เวลาถึงสิบวันกว่าที่จะไล่ความเย็นเยือกนั้นออกไปได้หมด
ระหว่างที่ใช้พลังของลายพระเจ้าออกมานั้นเขาจะมีพลังสูงล้ำฟ้าก็จริง แต่มันก็จะตามมาด้วยผลเสียมหาศาล
ภายใต้สถานการณ์ปกติเย่หยวนย่อมจะไม่คิดใช้ลายพระเจ้าออกมา
แต่เวลานี้เย่หยวนเองก็ไม่ได้เกรงกลัวพลังของเผ่ากิเลนมากนัก
ด้วยกระดูกจักรพรรดิกิเลนในมือนี้ต่อให้จะเป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์ขั้นต้น ๆ ของเผ่าออกมา ตัวเขาก็คงพอจัดการลงได้
เย่หยวนนั้นยิ่งเข้าใจในคำพูดของมารกระดูกเทพสวรรค์นั้นมากขึ้นและมากขึ้นเมื่อได้เห็นพลังนี้ คำพูดที่เขากล่าวไว้ว่าคนในยุคโบราณนั้นเก่งกาจกว่าคนในยุคปัจจุบันมาก
กระดูกจักรพรรดิกิเลนนี้มันผ่านแดดผ่านฝนผ่านกาลเวลามาแสนนานแต่ก็ยังมีพลังได้ถึงขนาดนี้
การกดดันสายเลือดเช่นนี้หากมิใช่จักรพรรดิเทพสวรรค์ระดับสูง ๆ ออกมาเองแล้วมันก็คงจะไม่เป็นปัญหาใด
ตามที่เย่หยวนคาดการณ์แล้วคนอย่างฉีเจิ้นคงจะไม่ทำให้จักรพรรดิเทพสวรรค์ระดับสูงออกหน้ามาแน่
เพราะในสายตาจักรพรรดิเทพสวรรค์แล้วเทพสวรรค์มันก็เป็นได้แค่มดปลวก
“นายท่าน มีคนมาขอพบ” หนิงเทียนปิงเรียกขึ้นมาจากด้านนอกที่พัก
“ใครกัน?” เย่หยวนเดินออกมาถาม
“เป็นสาวน้อยที่มีเขางอกบนหัว นางบอกว่าจะมาขอบคุณท่าน” หนิงเทียนปิงบอก
“ขอบคุณข้า?” เย่หยวนได้แต่ถามขึ้นด้วยความงุนงง
นอกจากตัวหยางเฟยเอ๋อและลู่เอ๋อแล้วในที่นี้เขาก็ไม่ได้รู้จักหญิงสาวที่ไหนอีก ไหนจะเรื่องมีเขางอกบนหัว
เมื่อเดินออกมาถึงโถงรับแขกเย่หยวนก็ได้เจอเข้ากับเด็กสาวตัวน้อยผู้มีเขางอกอยู่บนหัวจริง ๆ รูปร่างท่าทางของนางนั้นดูน่ารักน่าเอ็นดูพร้อมปล่อยคลื่นพลังประหลาดที่ทำให้ผู้พบเห็นอดอมยิ้มไม่ได้
เมื่อเย่หยวนได้เห็นสาวน้อยนางนี้เขาก็รู้สึกร้อนขึ้นมาในอก
“หรือว่า…”
ระหว่างที่เย่หยวนกำลังตกตะลึงอยู่นั้นสาวน้อยผู้นั้นก็ได้เดินเข้ามาหาเย่หยวนและใช้ดวงตากลมโตนั้นจ้องมองดูเขา “เจ้าคือรองมหาปราชญ์เย่หยวน? ผู้สังหารฉีเจิ้นลง?”
เย่หยวนนั้นยังไม่ทันจะได้ตอบรับใด ๆ กลับไปแต่ทางสาวน้อยผู้นั้นก็ได้กล่าวขึ้นมาต่อ “หึ ๆ สมควรตาย! คุณหนูผู้นี้ไม่ชอบใจเจ้าฉีเจิ้นมันมานานแล้ว ที่ข้ามาวันนี้ก็เพื่อจะบอกขอบคุณเจ้า อ่า จริงด้วย! หากพวกเผ่ากิเลนมันมาหาเรื่องเจ้า เจ้าจงประกาศนามของข้าออกไปเสียแล้วพวกมันย่อมจะไม่กล้าตอแยเจ้าอีกแน่! อ่า ข้ามีนามว่าหลงเสี่ยวฉุน”
เย่หยวนอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้เมื่อได้เห็นเด็กน้อยพูดจาไม่หยุดผู้นี้ “เจ้ามาจากเผ่ามังกร?”
หลงเสี่ยวฉุนเบิกตาขึ้นกว้างก่อนจะมองดูเย่หยวนอย่างตื่นตะลึง “เอ๋ เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน?”
เมื่ออสูรแปลงกายเป็นคนนั้นมันย่อมจะมีร่างกายทรงเดียวกัน หากไม่ปลดปล่อยคลื่นพลังออกมาผู้คนย่อมไม่อาจแยกออกได้ว่ามาจากเผ่าใด
แต่เมื่อเย่หยวนเห็นหน้าหลงเสี่ยวฉุนผู้นี้รู้สึกได้ถึงความรุ่มร้อนของสายเลือดมังกรในร่าง มีหรือที่เย่หยวนจะเดามันไม่ออก?
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ข้าว่าแล้ว เจ้ามีความแค้นกับฉีเจิ้นนั้น?”
หลงเสี่ยวฉุนพยักหน้ารับติด ๆ กันจนหัวแทบหลุดออกมา “เจ้าหมอนั่นมันเคยเอาชนะพี่ข้าได้ในการประลองโอสถและเอาแต่อวดอ้างความเก่งกาจของตน บอกว่าพี่ข้านั้นไม่อาจตามมันทันได้ชั่วชีวิต! ชิ พวกเผ่ากิเลนเองมันก็แค่ได้เปรียบที่เป็นอสูรธาตุไฟมิใช่หรืออย่างไร?”
เย่หยวนเองก็รู้สึกเห็นด้วยในทันที ดูท่านิสัยของฉีเจิ้นนี้มันจะไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นมาต่อหน้าตัวเขา
หลงเสี่ยวฉุนมองดูเย่หยวนตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้งก่อนจะถามขึ้น “ข้าได้ยินมาว่าฉีเฉินนั้นมันวางเดิมพันกับเจ้าไว้แต่สุดท้ายฉีเจิ้นกลับกลัวหัวหดไม่กล้ารับคำท้าทายและไปบอกเลิกการเดิมพัน พร้อมยังพูดจาข่มขู่เจ้าด้วยชื่อเสียงเผ่าตนจึงถูกเจ้าฆ่าสังหารลงใช่หรือไม่?”
เย่หยวนพยักหน้ารับ “มันเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นจริง”
หลงเสี่ยวฉุนหัวเราะลั่นขึ้นมาเมื่อได้ยิน “ฉีเจิ้นเจ้าโง่นั่นมันอวดดีไม่คลายจริง! แต่ตอนนี้มันคงไม่อาจจะไปอวดอะไรใครได้แล้ว ฮ่า ๆ ๆ …”
พูดไปนางก็หัวเราะลั่นขึ้นด้วยท่าทางสุดแสนจะสุขใจ
เมื่อหัวเราะแล้วเสร็จนางก็เดินเข้ามาตบบ่าเย่หยวนด้วยท่าทางเหมือนคนรุ่นใหญ่กว่า “จำไว้เถอะ หากพวกเฒ่าเผ่ากิเลนมันมาหาเรื่องเจ้า เจ้าแค่ประกาศนามข้าออกไป หลงเสี่ยวฉุน เข้าใจนะ?”
เย่หยวนรู้สึกขำขันขึ้นมาในใจ ยอดฝีมือเผ่ากิเลนนั้นเป็นตัวตนระดับใด? เหตุใดต้องมากลัวเด็กน้อยอย่างเจ้าด้วย?
แต่ท่าทางเหมือนเด็กตัวน้อยไม่รู้จักโลกของนางนี้มันกลับทำให้เย่หยวนไม่อาจหุบยิ้มลงได้ จึงได้พยักหน้ารับออกไป “หลงเสี่ยวฉุน อืม ข้าจำได้แล้ว”
“เสี่ยวฉุน!”
“เสี่ยวฉุน! เจ้าอยู่ไหน?”
ที่ด้านนอกมันเกิดเสียงสั่น ๆ ร่ำร้องเรียกขึ้นมาอย่างกังวล
เมื่อหลงเสี่ยวฉุนได้ยินนางก็สะท้านไปทั้งกายก่อนจะรีบวิ่งไปหลบที่โถงหลัง
แต่ก่อนนางจะจากไปนางก็ได้หันหน้ามาหาเย่หยวนพร้อมบอก “อย่าได้บอกว่าข้าอยู่ที่นี่ เข้าใจหรือไม่? ไม่เช่นนั้นข้าจะตีเจ้า!”
หลงเสี่ยวฉุนยกกำปั้นขึ้นมาพร้อมทำท่าข่มขู่ก่อนจะวิ่งหนีหายไปด้านหลัง
จนในที่สุดมันก็ได้มีชายหนุ่มเดินเข้ามาด้วยท่าทางรีบร้อน
เมื่อได้เห็นเย่หยวนชายหนุ่มผู้นั้นจึงรีบยกมือขึ้นคารวะพร้อมถาม “พี่ชายท่านนี้ ท่านเห็นเด็กสาวผู้มีเขางอกบนหัวบ้างหรือไม่?”
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “เห็น นางวิ่งไปหลบที่โถงหลังแล้ว”
…………………………