“ช-ใช้? นี่หูข้ามีปัญหาหรือไม่?”
“มหานักบวชเคลื่อนดาราผู้นั้นเป็นตัวตนที่สูงล้ำฟ้าดิน ใช้ให้เขามา…”
“ทุกผู้คนต่างบอกว่าเย่หยวนนั้นเป็นรองมหาปราชญ์แห่งวิหารนักบวช ข้าก็คิดไปว่ามันคงเป็นแค่คำเปรียบ ไม่นึกว่า…ตำแหน่งของเขาจะสูงล้ำเช่นนั้นจริง!”
…
เหล่าจอมเทพโอสถเจ็ดดาวแห่งพันธมิตรแดนใต้นั้นต่างต้องอ้าปากค้างมองดูเย่หยวนด้วยความตกตะลึง
เพราะสิ่งนี้มันเหนือล้ำความเข้าใจพวกเขาไปมาก
มหานักบวชเคลื่อนดารานั้นคือจอมเทพโอสถแปดดาวระดับสูง เขานั้นมีตำแหน่งและตัวตนที่ควบคุมชะตากรรมของวงการโอสถไว้ได้
ยอดคนเช่นนี้ แค่ได้พบเจอก็ถือว่าเป็นบุญหัวแล้ว
แต่คนระดับนั้นกลับถูกใช้?
แต่ภาพจากนั้นมันยิ่งทำให้พวกเขาทั้งหลายมั่นใจในเรื่องราวมากขึ้น
มหานักบวชเคลื่อนดารานั้นค่อยๆ เคลื่อนตัวลงมายืนในระดับเย่หยวนก่อนจะก้มหัวลงคารวะ “จีโมขอคารวะรองมหาปราชญ์!”
เย่หยวนพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ได้เจอจีโมอีกครั้งนี้ เขากลับยิ่งรู้สึกได้ชัดเจนว่าคลื่นพลังจากตัวของเขาผู้นี้มันลึกล้ำกว่าคราก่อน
“ข้าคงทำให้ท่านลำบากแล้ว!” เย่หยวนตอบ
จีโมจึงยิ้มตอบมา “ไม่เป็นปัญหา แค่เรื่องเพียงเท่านี้”
เย่หยวนยิ้มรับไป “ยินดีกับพี่จีโมด้วยที่พัฒนาฝีมือขึ้นได้อีกขั้น!”
จีโมเองก็ยิ้มรับด้วยรอยยิ้มก่อนจะก้มหัวลงอีกครั้ง “ที่มาครั้งนี้ข้าก็คิดหวังจะมาขอบคุณรองมหาปราชญ์ด้วย!”
เย่หยวนจึงยกมือขึ้นมาโบกปัด “จะขอบคุณใดเล่า? การเข้าใจ เรียนรู้สิ่งใดได้มันก็ล้วนเพราะตัวท่านเองสิ้น”
คำพูดของคนทั้งสองนี้มันทำให้คนทั้งหลายต้องสั่นสะท้านขึ้นอีกครั้ง
เรื่องการพัฒนาของมหานักบวชเคลื่อนดารานี้ ทำไมเขาจึงต้องมาขอบคุณเย่หยวนเล่า?
หรือว่าเย่หยวนจะเก่งกาจพอที่จะชี้แนะคนระดับมหานักบวชเคลื่อนดาราได้แล้ว?
เรื่องนั้น… มันจะเป็นไปได้หรือ?
แต่ทว่าเหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายนั้นก็มีเส้นสายกว้างไกล มีบ้างบางคนที่เมื่อได้ยินก็ต้องผงะถอยไปทันที
ปรมาจารย์คนหนึ่งกล่าวขึ้นมา “ข้าได้ยินมาว่าเย่หยวนนั้นแก้ปริศนาแห่งกระดานหมากล้อมนิรันดร์ ‘อย่าถาม’ ลงได้ที่อาณาจักรวิญญาณประจิม และคนที่นำกระดานหมากนั้นมาให้มันก็คือตัวมหานักบวชเคลื่อนดาราท่านนี้! ด้วยการที่เย่หยวนคลายปริศนานั้นลงมันคงทำให้มหานักบวชเคลื่อนดาราที่ดูอยู่ไม่ไกลได้รับความรู้ความเข้าใจไปไม่น้อย!”
“เรื่องนั้นมันเป็นไปได้อย่างนั้นหรือ?! หมากล้อมนิรันดร์ ‘อย่าถาม’ นั้นมันคือการประลองระหว่างโอสถบรรพกาลและมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลเชียวนะ คนอย่างเย่หยวนก็จะไปแก้ไขปริศนานั้นได้?”
ปรมาจารย์ผู้นั้นจึงตอบกลับมา “เดิมทีเทพสวรรค์ผู้นี้เองก็ไม่คิดเชื่อหรอก แต่…การที่มหานักบวชเคลื่อนดารามาเองเช่นนี้ มันย่อมเป็นหลักฐานที่ดีกว่าสิ่งใด”
เผ่าอสูรนั้นไม่ได้ติดต่อกับมนุษย์อย่างเป็นทางการใดๆ แน่นอนว่าข่าวสารใดๆ มันก็ย่อมจะไม่ได้มาจากแหล่งที่เชื่อถือได้เต็มร้อย
เพราะฉะนั้นแม้จะได้ยินข่าวนั้น เหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายก็ยังมีความสงสัยอยู่ไม่น้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกเขาที่เคยได้เห็นฝีมือของเย่หยวนมากับตา มีหรือที่คนระดับนั้นจะไปแก้หมากล้อมนิรันดร์ในตำนานที่เป็นการประลองระหว่างโอสถบรรพกาลและมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล?
แต่เมื่อได้เห็นเรื่องราวตรงหน้าในวันนี้ พวกเขาย่อมจะไม่อาจสงสัยมันได้อีกต่อไป!
“พี่จีโม ท่านได้นำของที่ข้าต้องการมาหรือไม่?” เย่หยวนถาม
จีโมจึงพยักหน้ารับ “เมื่อได้ยินข่าวจากรองมหาปราชญ์จีโมก็ไม่รอช้ารีบรวบรวมสมุนไพรตามที่ท่านต้องการและรุดหน้ามาทันที”
พูดไปทางจีโมก็ยกแหวนวงหนึ่งขึ้นมา “สิ่งที่รองมหาปราชญ์ต้องการนั้น ข้าสจะช่วยเหลือเอง”
เย่หยวนจึงพยักหน้ารับ “ข้าคงต้องรบกวนท่านแล้ว”
เย่หยวนนั้นไม่เหลือพลังปราณเทวะใดๆ และย่อมจะไม่อาจใช้งานแหวนเก็บของใดๆ ได้ เพราะฉะนั้นเวลานี้เขาจึงมีแต่ต้องให้จีโมช่วยเหลือในการดึงของออกมา
พูดจบเย่หยวนก็หันหน้าไปหาทางเทพสวรรค์ดันหยู่ “เมื่อกี้เจ้าบอกว่าข้านั้นเป็นแค่ขยะใช่หรือไม่?”
เทพสวรรค์ดันหยู่ผงะไปทันที เขานี้คือใคร? แน่นอนว่าด้วยสายตาของเขา เขาย่อมจะเข้าใจได้ดีถึงสภาพร่างกายของเย่หยวน
สภาพของเย่หยวนในเวลานี้มีโลกใบน้อยที่แตกสลาย ไม่เหลือพลังจะรวบรวมปราณใดๆ
คนเช่นนี้หากมิใช่ขยะแล้วจะเป็นสิ่งใด?
ไม่ว่าจะมีเต๋าค่ายกลที่แข็งแกร่งปานใด สุดท้ายหากไม่บ่มเพาะแล้วมันจะมีค่าใด?
เขานั้นจึงได้แต่ยิ้มเยาะขึ้น “เจ้าจะบอกว่าเทพสวรรค์ผู้นี้กล่าวผิด?”
เย่หยวนจึงยิ้มตอบกลับไป “ดันหยู่ วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้เห็นว่าใครที่เป็นแค่ขยะ! จากวันนี้ไป ข้าเย่หยวน คือผู้สั่งการวงการโอสถแห่งแดนใต้นี้!”
ดันหยู่นั้นสะท้านขึ้นทั้งกาย! หรือว่าเด็กคนนี้มันจะยังมีวิธีการรักษาฟื้นตัวใดๆ อีกหรือ?
แต่โลกใบน้อยของเขานั้นพังลงสิ้นแล้ว ต่อให้จะเป็นโอสถบรรพกาลก็คงไม่อาจจะรักษาอาการนี้ได้ง่ายๆ แน่
ทางเย่หยวนเองก็ไม่คิดรอคำตอบใดๆ เริ่มขยับวาดมือลงสร้างค่ายกลบนอากาศทันที
เมื่อได้เห็นเช่นนั้นมีหรือที่คนทั้งหลายจะไม่เข้าใจว่าเย่หยวนคิดใช้ค่ายกลในการหลอมโอสถ?
พวกเขานั้นย่อมรู้จักการใช้ค่ายกลหลอมโอสถแต่โอสถชนิดใดเล่าที่เย่หยวนจะเอามาใช้ในการรักษาสภาพของตนในเวลานี้ได้?
แต่ทว่าความลึกลับในวิชาของเย่หยวนนั้นผสานกับความซับซ้อนของค่ายกลมันได้ทำให้คนทั้งหลายต้องตื่นตะลึงขึ้นมาจับใจ
ค่ายกลที่เย่หยวนวาดขึ้นมานี้มันมิใช่สิ่งที่พวกเขาทั้งหลายรู้จัก!
“สิบมั่นวัดฟ้า!” จู่ๆ เย่หยวนก็กล่าวออกมา
จีโมขยับมือส่งสมุนไพรวิญญาณเข้าไปยังค่ายกลทันที
ฟุบ!
เจ้าสมุนไพรนั้นเข้าไปในค่ายกลและกลายสภาพเป็นผงในพริบตา
แต่ว่าฝ่ามือของเย่หยวนนั้นยังไม่หยุดลง เขาได้วาดค่ายกลใหม่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ผลวิญญาณฟ้าไร้เหตุ!”
“ทองตะวันดินกล้วยไม้บรรพกาล!”
…
ปากของเย่หยวนนั้นกล่าวชื่อสมุนไพรวิญญาณระดับเจ็ดออกมาติดๆ กัน
เหล่าสมุนไพรทั้งหลายนี้ต่างล้วนเป็นของล้ำค่าสิ้น
หากให้เย่หยวนออกตามหาพวกมันเองแล้วมันคงใช้เวลาและความพยายามอย่างมาก เพราะฉะนั้นเขาจึงได้หวังที่จะพึ่งพลังของวิหารนักบวชและให้จีโมช่วยนำมันมาส่ง
จีโมเองก็ส่งสมุนไพรวิญญาณเข้าไปในค่ายกลตามที่เย่หยวนบอก เวลานี้มันกำลังค่อยๆ ถูกหลอมลงไปในค่ายกลนั้นอย่างต่อเนื่อง
แต่ไม่มีใครรู้ว่าตัวเขากำลังทำอะไร
เวลานี้ดวงตาของจีโมเริ่มแสดงความมึนงงออกมาหนักขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยสายตาและความรู้ของเขานี้ เขากลับไม่อาจจะเข้าใจได้เลยว่าเย่หยวนทำสิ่งใดอยู่!
เมื่อโอสถขึ้นมาถึงระดับเจ็ดแล้วมันก็จะเป็นการยากมากหากผู้คนจะคิดใช้การหลอมด้วยเต๋าค่ายกล
ความยุ่งยากซับซ้อนที่จะเกิดขึ้นนั้นมันเหนือล้ำจนเกินกว่าที่สมองของคนจะทำความเข้าใจได้
ที่สำคัญไปกว่านั้นเย่หยวนยังใช้ค่ายกลที่แตกต่างกันไปในการหลอมกลั่นสมุนไพรวิญญาณแต่ละตัว
โดยปกติแล้วการหลอมโอสถด้วยค่ายกลนั้นมันย่อมจะเป็นการเขียนวางค่ายกลไว้ก่อนและโยนสมุนไพรวิญญาณลงไปให้ค่ายกลทำงานการหลอมโอสถขึ้นมาจนสำเร็จด้วยตัวเอง
แต่เย่หยวนนั้นกลับค่อยๆ เขียนค่ายกลไปในระหว่างการหลอม
เรื่องราวเช่นนี้มันย่อมจะไม่เคยปรากฏที่ไหนมาก่อน!
แต่สมุนไพรวิญญาณแต่ละอย่างที่ถูกส่งเข้าไปในค่ายกลนั้นมันต่างล้วนทำให้เหล่าจอมเทพโอสถเจ็ดดาวทั้งหลายต้องเบิกตาค้าง
หรือว่านี่มันจะเป็นสุดยอดโอสถจริงๆ?
เพียงแค่ว่าพวกเขาทั้งหลายนั้นไม่อาจจะเข้าใจได้ เหตุใดเย่หยวนจึงกล้าทำการหลอมต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวว่าจะถูกลักจำไปหรือ?
แต่ทางเทพสวรรค์ดันหยู่นั้นกลับหัวเราะเย้ยขึ้น “ไม่มีทฤษฎีใดๆ รองรับวิธีการของมัน ค่ายกลของมันเองก็เขียนเสียใหญ่โตเกินจริง วุ่นวายไปหมด! ทำเช่นนี้ก็เรียกว่าเป็นการใช้ค่ายกลหลอมโอสถได้หรือ?”
ที่ด้านข้างทางเทพสวรรค์เฉิงเฟิงก็พยักหน้ารับ “มันนั้นเสียโลกใบน้อยไปคงเกินเยียวยาแล้ว! ข้าว่าที่มันทำเช่นนี้ก็คงเพื่อให้คนคิดว่ามันมีความรู้เหนือล้ำกว่าที่ผู้คนจะเข้าใจได้”
ค่ายกลนั้นมันถูกวาดลงเรื่อยๆ จนซับซ้อนอย่างไม่อาจเข้าใจได้
ค่ายกลที่ถูกเขียนซ้อนกันนี้มันเริ่มสูงขึ้นไปบนฟ้าราวกับว่าเย่หยวนกำลังคิดจะวาดหอคอยระฟ้าขึ้นมากลางอากาศ
การสร้างนี้มันกินเวลาไปถึงสิบวันสิบคืน!
เวลานี้ท้องฟ้ามันยังคงมืดดำโดยมีดวงดาวส่องแสงและเย่หยวนที่ยังคงวาดค่ายกลไปอย่างไม่หยุดมือเป็นภาพที่สวยงามอย่างบอกไม่ถูก
จากนั้นเย่หยวนก็ดีดนิ้วขึ้นพร้อมตวัดมือลงครั้งสุดท้ายที่ปลายค่ายกล
“ค่ายกลทำงาน หลอมโอสถ!”
ครืม!
ด้วยเสียงนั้นเป็นสัญญาณจู่ๆ ค่ายกลที่ถูกเขียนมาทั้งหมดทั้งสิ้นมันก็ค่อยๆ ขยับเคลื่อนไหวขึ้นมาพร้อมๆ กัน
ตูม!
มิติสั่นสะเทือนแสดงแสงสว่างเปลี่ยนท้องฟ้าไปทันตา
เวลานี้ค่ายกลนั้นมันเหมือนได้ลุกขึ้นมามีชีวิตปล่อยคลื่นพลังออกมาสู่พื้นที่โดยรอบ
จีโมได้แต่อ้าปากค้างมองดูภาพตรงหน้า “นี่มัน…นี่มันคือคลื่นพลังจากโลกที่สำเร็จสมบูรณ์! รองมหาปราชญ์ใช้ค่ายกลนั้นเขียนสร้างโลกที่สมบูรณ์ขึ้นมา!”
“โอสถจุติฟื้นโกลาหล หลอม!”
วุบ!
ทันใดนั้นแสงสว่างใดๆ ก็ถูกควบหลอมจนเกิดกลายเป็นเม็ดโอสถสีทองอร่ามขึ้นกลางท้องฟ้าอันเงียบงันนั้น
…………………………
Related