เย่หยวนนั้นพาตัวผีเทพสวรรค์ขวังต้าวออกมาหลบยังถ้ำที่ห่างไกลและวางค่ายกลปกป้องปิดทางเข้าออกของถ้ำทันที
จากนั้นเขาก็เรียกสิ่งของมีรูปร่างเป็นเม็ดสีเทาออกมา แน่นอนว่ามันย่อมจะเป็นไข่มุกสยบวิญญาณแล้ว
เพียงแค่ว่าเวลานี้ไข่มุกสยบวิญญาณนั้นมีรอยร้าวให้เห็นได้อย่างชัดเจน สภาพนั้นแทบไม่อาจรั้งตัวให้อยู่เป็นเม็ดได้อีก
เย่หยวนรีบนำเอาข่ายเงินแก่นโลหิตออกมาวางและวางตัวไข่มุกสยบวิญญาณทับลงไปก่อนจะค่อยๆ ผลักพลังของข่ายเงินแก่นโลหิตเข้าไปในไข่มุกสยบวิญญาณ
เจ้าข่ายเงินแก่นโลหิตชิ้นนี้มันได้รับสติปัญญามาจากเทียนเหอทำให้มันออกล่ายอดฝีมือมาอย่างมากมายมีพลังเหนือล้ำจนถึงขีดสุด
หากปล่อยมันไว้ต่อไปเจ้าข่ายเงินแก่นโลหิตนี้มันคงสามารถบรรลุขึ้นถึงระดับจักรพรรดิเทพสวรรค์ได้ไม่ยากเย็นนัก
เพราะฉะนั้นจะเรียกมันว่าเป็นราชันของเหล่าข่ายเงินแก่นโลหิตก็คงไม่ผิดนัก
เย่หยวนนั้นค่อยๆ ควบคุมข่ายเงินแก่นโลหิตอย่างพิถีพิถันเพื่อเสริมพลังรักษาแก่ไข่มุกสยบวิญญาณ พริบตาเดียวเวลาก็ได้ผ่านไปกว่าครึ่งเดือน
รอยแตกร้าวบนไข่มุกสยบวิญญาณนั้นมันค่อยๆ สมานเข้าหากันจนเริ่มจะเปล่งแสงคืนพลังชีวิตกลับมาได้อีกครั้ง
ในเวลานั้นเองที่ได้ปรากฏเงาร่างของคนผู้หนึ่งขึ้นมาตรงหน้าเย่หยวน แน่นอนว่ามันย่อมเป็นหวู่เฉินแล้ว!
เมื่อได้เห็นว่าหวู่เฉินคืนสติขึ้นเย่หยวนก็ได้แต่ถอนหายใจยาวอย่างโล่งใจ
“ผู้อาวุโส ท่านตื่นแล้ว! เย่ผู้นี้ทำการบ้าบิ่นจนทำให้ท่านต้องมารับเคราะห์ไปด้วย” เย่หยวนกล่าว
เขานั้นย่อมจะไม่คิดเสียใจกับสิ่งที่เขาตัดสินใจทำ
เพียงแค่ว่าที่หวู่เฉินกลายมาเป็นแบบนี้มันก็เพราะว่าตัวเขา ทำให้เย่หยวนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดต่อหวู่เฉิน
หวู่เฉินยิ้มตอบกลับมา “เด็กโง่ ระหว่างเจ้ากับข้ามันยังต้องมาเกรงใจใดๆ กัน? เฒ่าคนนี้เองก็เป็นวิญญาณของสมบัติมาแต่แรก เมื่อผู้ถือครองสมบัติกังวล ตัวผู้รับใช้ก็จะรู้สึกราวกับถูกว่ากล่าว เมื่อผู้ครองสมบัติถูกทำร้าย ตัวผู้รับใช้ก็ย่อมจะต้องตายก่อน! การช่วยเหลือเจ้านั้นมันคือหน้าที่ของเฒ่าผู้นี้! เพียงแค่ว่า… อาการของนางนั้นดูไม่ดีนัก!”
เย่หยวนพยักหน้าอย่างกังวลใจ
ด้วยพลังของเขาในเวลานี้เขาย่อมจะเข้าใจถึงสภาพของมู่หลินเสวียได้
จิตของมู่หลินเสวียในเวลานี้มันราวกับเทียนน้อยกลางสายฝนที่ดูเหมือนจะดับลงไปได้ทุกเมื่อ
“ข้าคิดจะไปยังวิหารใหญ่ของวิหารนักบวชเพื่อขอให้มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลช่วยเหลือ กำลังของเขานั้นเหนือล้ำบางทีอาจจะพอช่วยหลินเสวียได้ แต่หากมันยังไม่ได้ผลอีก… ข้าก็คงมีแต่ต้องขึ้นเขาแห่งถงเทียนแล้ว!” เย่หยวนกล่าว
การขึ้นเขาแห่งถงเทียนนั้นมันย่อมจะเป็นความหวังสุดท้าย
โอสถศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้นมันย่อมจะอยู่เหนือล้ำสูงบนยอดเขา
เย่หยวนนั้นไม่ได้หลงตัวเอง ด้วยกำลังของเขาในเวลานี้การจะปีนขึ้นไปให้ถึงระดับของเต๋าบรรพกาลนั้นมันย่อมจะไม่มีทางเป็นไปได้
นี่จึงเป็นทางเลือกที่เขาจะทำก็ต่อเมื่อหมดหนทางแล้วจริงๆ
โชคยังดีที่ความเร็วการบ่มเพาะของเย่หยวนนั้นมันรวดเร็วจนทำให้กำลังของหวู่เฉินและไข่มุกสยบวิญญาณเพิ่มขึ้นตามอย่างไม่มีหยุดพักทำให้รักษาประคองอาการของมู่หลินเสวียมาได้จนถึงทุกวันนี้
ไม่เช่นนั้นแล้วจิตวิญญาณของมู่หลินเสวียมันคงดับสิ้นไปนานแสนนาน
หวู่เฉินพยักหน้ารับ “มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นเป็นยอดฝีมือ ตัวตนที่เป็นรองเพียงแค่โอสถบรรพกาล หากเขาคิดลงมือช่วยเหลือแล้วมันก็ย่อมจะพอมีความหวังบ้าง”
เขาและเย่หยวนนั้นเดินทางไปทั่วพิภพมาด้วยกัน แน่นอนว่าความรู้ของเขามันก็จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากมาย
ก่อนๆ มานั้นตอนที่เขายังติดตามจอมเทพนิรันดร์ ต่อให้ตัวจอมเทพนิรันดร์นั้นจะมากพรสวรรค์ปานใด ตัวเขาก็ย่อมไม่อาจจะมาข้องเกี่ยวใดๆ กับยอดคนระดับมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลได้เช่นนี้
แต่เย่หยวนกลับใช้เวลาแค่สองพันปีทำในสิ่งที่จอมเทพนิรันดร์ไม่อาจทำได้ทั้งชีวิต
แม้ว่าหวู่เฉินจะไม่ได้รับรู้ถึงตัวตนของอาณาจักรเจ้าฟ้าดินใดๆ แต่เขาก็รู้ดีว่ามหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นเหนือล้ำกว่าเหล่าจักรพรรดิเทพสวรรค์ทั้งหลายไปมากมาย
แน่นอนว่าคนเช่นนั้นย่อมจะมีความรู้ประสบการณ์มากกว่าวิญญาณของสมบัติอย่างเขานี้
หลังจากที่หวู่เฉินได้สติขึ้นมาเขาก็เริ่มทำการดูดกลืนพลังของข่ายเงินแก่นโลหิตด้วยตัวเองทำให้ความเร็วในการกลืนพลังนั้นมันเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
เจ้าข่ายเงินแก่นโลหิตนี้มันมีคุณภาพที่สูงส่ง มันเป็นประโยชน์ต่อทั้งตัวหวู่เฉินและไข่มุกสยบวิญญาณอย่างมหาศาล
ในเวลาสามวัน นอกจากไข่มุกสยบวิญญาณจะกลับมามีสภาพเหมือนใหม่แล้วมันยังพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นจนกลายเป็นสมบัติวิญญาณจักรพรรดิเทพสวรรค์ขั้นกลางไป ทำให้ทั้งตัวหวู่เฉินและเย่หยวนตื่นเต้นดีใจไปตามๆ กัน
เพราะยิ่งหวู่เฉินแข็งแกร่งขึ้นมากเท่าใด เขาก็ยิ่งจะสามารถคงสภาพจิตของมู่หลินเสวียได้เสถียรมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อจบเรื่องราวเย่หยวนก็แทบหมดแรงลงด้วยความโล่งใจค่อยๆ คลายค่ายกลออกและนำตัวขวังต้าวออกมายังโลกภายนอก
แต่เมื่อเขาออกมาถึงเย่หยวนก็ต้องอ้าปากค้างทันที
เพราะไกลไปสุดลูกหูลูกตาตรงหน้านี้ มันมีคลื่นพลังมหาศาลบินว่อนทั่วทิศ
เมื่อลองใช้พลังสายตาจ้องมองไกลออกไป มันจะยังมีเทือกเขาใดๆ เหลืออยู่อีก? มันจะยังมีเศษซากของบ่อโลหิตอสุราใด?
พื้นที่ไกลออกไปนั้นมันเรียบราบจนไม่เหลือแม้แต่ต้นไม้สักต้น!
แต่ด้วยความเสถียรของมิติในมหาพิภพถงเทียนมันจึงทำให้เวลานี้พื้นดินก็ยังค่อยๆ สมานตัวขึ้นได้เรื่อยๆ ไม่มีทีท่าจะแตกสลายใดๆ
เย่หยวนนั้นอดไม่ได้ที่จะนึกถึงคลื่นพลังรุนแรงทั้งหลายที่บินเข้าไปตอนที่เขาออกมา เวลานี้เขาได้เข้าใจพลังของยอดฝีมือเจ้าฟ้าดินทั้งหลายอีกครั้ง
สายฟ้าสะเทือนสวรรค์ที่เขาใช้ออกมาในแดนเหนือนั้นอย่างน้อยๆ มันก็คงมีพลังถึงระดับจักรพรรดิเทพสวรรค์ขั้นปลาย
ต่อให้จะเป็นเหล่าจักรพรรดิเทพสวรรค์ขั้นกลางทั้งหลายก็คงไม่อาจมีพลังได้มากถึงขั้นนั้น
ส่วนเรื่องของอาณาจักรเจ้าฟ้าดิน พวกเขานั้นทำลายทุกสิ่งอย่างลงจนถึงมิติ ขุนเขาทะเลใดๆ ก็แตกสลายลงได้สิ้น
“ไม่แปลกใจเลยที่เขาเรียกมันว่าสงครามสิ้นโลก หากเหล่าเจ้าฟ้าดินทั้งหลายลงมือแล้วโลกนี้มันก็คงเหมือนจะสิ้นสลายลงจริงๆ! ทั้งมหาพิภพถงเทียนคงแทบแตกสลายเพราะการต่อสู้นั้น ข้าล่ะสงสัยจริงๆ ว่าทำอย่างไรพิภพนี้ถึงยังตั้งอยู่ได้!” เย่หยวนร้องกล่าว
หวู่เฉินพยักหน้ารับ “สนามรบเทพโบราณนั้นมันคงเป็นมิติที่แตกออกมาจากสนามรบเป็นแน่! ในที่แห่งนั้นยอดฝีมือมากมายทั้งจักรพรรดิเทพสวรรค์ทั้งเทพสวรรค์ต่างตายลงสิ้น มันน่ากลัวเสียจริงๆ! พลังของอาณาจักรเจ้าฟ้าดินมันไม่อาจประเมินได้เลย!”
เขานั้นได้ยินเรื่องราวของอาณาจักรเจ้าฟ้าดินมาจากเย่หยวนและได้รู้ว่าเหนือฟ้ามันก็ยังมีฟ้า
เวลานี้เมื่อเผ่าเทวาเริ่มเคลื่อนไหว มหาพิภพนี้มันคงไม่อาจจะอยู่สงบได้อีกนานมากนัก
เย่หยวนได้แต่ต้องสูดหายใจเข้าด้วยความสยดสยองในใจ “โชคยังดีที่เราออกมาไกลพอ ไม่เช่นนั้นแล้วหากถูกพลังลูกหลงของคนทั้งหลายนี้เราคงตายสิ้นแน่!”
ค่ายกลของเย่หยวนนั้นมันไม่อาจจะต้านทานพลังของเหล่าคนทั้งหลายนี้ได้แม้แต่เศษเสี้ยวใดๆ
ถึงตอนนั้นระหว่างที่กำลังทำการรักษาใดๆ อยู่ ลูกหลงการต่อสู้คงได้ทำให้เขาตายอย่างไม่ทันได้รู้ตัว
แต่เสียงของเขายังพูดไม่ทันขาดมันก็มีลำแสงหนึ่งพุ่งมาจากขอบฟ้าตกลงยังเขาใกล้ๆ จนทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน
เย่หยวนหันหน้าไปมองตามด้วยจิตใจที่สั่นไหวได้แต่คิดในหัวว่านี่มันจะไม่บังเอิญเกินไปหรือ?
เมื่อวิ่งเข้าไปถึงเขาก็ได้พบว่ามีหลุมใหญ่เกิดขึ้นในจุดที่สิ่งนั้นตกลงมา
ส่วนที่กลางหลุมใหญ่นั้นมันได้มีร่างหนึ่งนอนนิ่งด้วยท่าทางอ่อนแรงอย่างมาก
แต่มือของเขากลับถือธนูไว้หนึ่งคัน!
ธนูสีทองทร่าม!
เย่หยวนหรี่ตาลงทันที อดไม่ได้ที่จะต้องสูดหายใจเข้าลึก
ธนูสีทองนี้มันจะเป็นอะไรไปได้นอกจากธนูสาบานสังหารเทพ?
ภาพที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ การที่ทำให้บ่อโลหิตอสุราแบนราบไปได้เช่นนี้มันย่อมจะเป็นการต่อสู้ที่รุนแรงเกินเขาจะจินตนาการได้
ดูท่าแล้วเหล่าจักรพรรดิเทพสวรรค์ที่ตายลงไปเองมันก็คงมีมากมาย
บางทีแล้วมันอาจจะถึงขั้นมีเหล่าเจ้าฟ้าดินลงมือเองเลยก็ได้!
เพราะฉะนั้นความขัดแย้งใดๆ มันย่อมไม่มีทางจบลงในเวลาแค่ไม่กี่วัน
คนผู้นี้เองก็คงหนีออกมาจากสนามรบนั้นใช่หรือไม่?
หากมองดูสภาพนี้มันก็คงไม่มีทางเป็นอื่นไปได้
เพียงแค่ว่าเย่หยวนเองก็ไม่นึกไม่ฝันว่าคนผู้นี้กลับจะสามารถแย่งชิงเอาธนูสาบานสังหารเทพออกมาจากการแย่งชิงของยอดคนทั้งหลายนั้น!
ดูท่าเขาคงกำลังถูกตามล่าเป็นแน่!
เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้เย่หยวนก็รู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งใจ
เขานั้นรีบพุ่งตัวเข้าไปหยิบร่างของคนผู้นั้นและพุ่งตัวหนีเข้ามิติไป
จากนั้นเย่หยวนก็ชี้นิ้วออกมาวาดอย่างไม่หยุดมือ วางค่ายกลอันซับซ้อนตลอดทาง
“มหาค่ายกลร้อยสำนักผนึกเก้าสวรรค์ ซ่อน!”
เย่หยวนร้องกล่าวส่งให้ค่ายกลทำงาน!
ในป่าลึกนั้นเย่หยวนได้ผสานกลมกลืนเข้ากับพื้นที่รอบๆ อย่างไม่ปล่อยร่องรอยใดๆ ออกมา
หากมองดูจากภายนอกแล้ว คนทั้งหลายคงไม่อาจจะสัมผัสได้ว่าเขาอยู่ภายในนี้
เย่หยวนนั้นวางค่ายกลแล้วเสร็จพร้อมๆ กับที่มีชายชุดเทาผู้นั้นพุ่งมาถึงพอดี ก่อนจะมาหยุดเท้าลงที่ขอบของหลุมนั้น
เขามองดูที่หลุมยักษ์ด้วยสีหน้ากังวลอย่างถึงที่สุด!
“หลุมนี้มันเพิ่งเกิดขึ้นมาฝุ่นยังไม่ทันหาย แต่คนมันกลับหายไปเสียแล้ว! หึ มันกลับยังมีคงที่คิดจะแย่งเหยื่อของจักรพรรดิผู้นี้อยู่อีกหรือ จักรพรรดิผู้นี้อยากรู้ว่าเจ้าจะหลบรอดได้อย่างไร!”
พูดจบชายชุดเทานั้นก็ลอยตัวขึ้นไปบนฟ้าและปล่อยคลื่นพลังโจมตีลงมาใส่ป่าทึบทันที
ในพริบตาเดียวป่าทั้งแถบก็หายราบไป!
…………..