ด้วยชื่อเสียงของจักรพรรดิเทพสวรรค์ซิ่วหยุนนั้นมันทำให้เย่หยวนสามารถเดินออกจากเขาแปดโมฆะได้ง่ายๆ เช่นนั้น
แต่ต่อให้จะไม่มีจักรพรรดิเทพสวรรค์ซิ่วหยุน ตัวเขาก็คงไม่พบเจอปัญหามากมายเช่นกัน
สามเจ้าฟ้าดินนั้นติดตามเขามานับล้านๆ กิโลเมตรแต่สุดท้ายก็ไม่อาจจัดการเขาลงได้ มีหรือที่แค่จักรพรรดิเทพสวรรค์ทั้งหลายจะทำได้?
ทั้งยังในเวลานี้เขาพัฒนาการบ่มเพาะขึ้นไปมาก ต่อให้จะเป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์ระดับใดก็คงไม่เป็นภัยแก่เขามากมายนัก
จักรพรรดิเทพสวรรค์ซิ่วหยุนนั้นย่อมมองถึงจุดนี้ออกอย่างชัดเจนและจึงได้กล่าวคำพูดนั้นออกมา
เพราะอย่างน้อยๆ มันก็จะเป็นการจัดการปัญหาเล็กๆ เป็นการสร้างสายสัมพันธ์น้อยๆ แก่เย่หยวน
เมื่อคนทั้งสามออกมาจากเขาแปดโมฆะแล้วเย่หยวนก็ได้มาหยุดเท่าลงกล่าวต่อเจียงซือ “ผู้อาวุโส เย่ผู้นี้มีเรื่องด่วนต้องไปจัดการคงต้องขอตัวลา! หากท่านผู้อาวุโสมีเวลาว่างก็ขอให้มาเยี่ยมเยือนกันที่วังพำนักจักรพรรดิเทพสวรรค์อินทรีสวรรค์แห่งแดนใต้ได้”
เขาและเจียงซือนั้นเป็นแค่คนที่ได้บังเอิญรู้จัก ที่เย่หยวนช่วยเหลือเขาไว้มันก็เป็นความบังเอิญสิ้น
เวลานี้ผู้ตามล่าทั้งสามอย่างพวกซุ่ยหยวนนั้นมันตายไปถึงสองและอีกหนึ่งยังบาดเจ็บสาหัสทำให้คงไม่อาจจะออกมาหาเรื่องรบกวนผู้คนได้อีกพักใหญ่
เจียงซือนั้นเป็นถึงจักรพรรดิเทพสวรรค์เก้าดาวตัวตนอันสูงส่ง ต่อให้เวลานี้เขาจะพิการอย่างไรเขาเองก็คงหาวิธีปกป้องตัวเองได้ไม่ยากเย็นนัก เย่หยวนย่อมจะไม่คิดทำอะไรให้เกินเลยไป
เพราะหากยังคงยื้อเรื่องราวต่อให้เจียงซืออาจจะคิดไปถึงขั้นว่าเย่หยวนมีแผนการอะไรซ่อนไว้
เจียงซือที่ได้ยินก็แสดงสีหน้ากังวลออกมาก่อนจะตัดสินใจมั่นยื่นธนูสาบานสังหารเทพให้แก่เย่หยวน “สหายหนุ่มเย่ ธนูสาบานสังหารเทพนี้ข้ามอบให้เจ้า!”
เย่หยวนเองก็ผงะไปไม่น้อยเพราะตัวเจียงซือนั้นแทบต้องตายลงเพื่อไปแย่งเจ้าธนูสาบานสังหารเทพนี้มา
เวลานี้กลับจะมอบให้กันง่ายๆ เลยหรือ?
เย่หยวนจึงได้แต่ต้องส่ายหัวออกมา “ผู้อาวุโส ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย ข้าไม่ได้ช่วยท่านเพราะหวังอยากได้มัน”
แต่เจียงซือนั้นกลับไม่ยอมถอย “สหายหนุ่มเย่นั้นอย่างได้กังวลให้มากมาย หากเจ้าอยากได้มันจริงๆ เจ้ายิ่งไม่จำเป็นต้องช่วยข้าเสียด้วยซ้ำ เรื่องนั้นข้ารู้ หากเจ้าสังหารข้าลงเสียตั้งแต่เวลานั้นมันคงสบายกว่านี้มาก! ที่ข้ามอบมันให้แก่เจ้านี้ หนึ่งก็เพื่อขอบคุณที่ได้ช่วยเหลือชีวิตเฒ่าๆ นี้ไว้ สองก็คือเวลานี้ข้าพิการไร้พลังบ่มเพาะจากโลกใบน้อยใดๆ คิดอยากใช้มันก็ไร้ประโยชน์ จึงคิดว่าให้เจ้าไปเสียจะยังดีกว่า”
เย่หยวนที่ได้ยินก็หยุดคิดไปพักหนึ่งก่อนจะตอบ “เอาล่ะ เช่นนั้นเย่ผู้นี้เองก็จะไม่เกรงใจรับมันไว้ก่อน ในวันหน้าหากท่านผู้อาวุโสคืนกำลังมาได้แล้วข้าจะมอบมันคืนให้แก่ท่าน”
เจียงซือที่ได้ยินจึงต้องยิ้มอย่างขื่นขมออกมา “ข้านั้นใช้พลังของโลกใบน้อยที่เหลือทั้งหมดในการหลบหนีออกมาจนรากฐานใดๆ พังทลายสิ้น เวลานี้โลกใบน้อยของข้ามันเหลือแค่เศษซาก กลายเป็นโลกที่ตายลง มีหรือที่จะยังรักษากำลังให้คืนกลับมาได้?”
แต่เย่หยวนกลับยิ้มตอบไป “ผู้อาวุโสวางใจเถอะ สวรรค์นั้นไม่ทอดทิ้งผู้คน! อาการบาดเจ็บของท่านนี้ให้ข้าดูแลเอง”
เจียงซือจึงสั่นสะท้านไปทั้งกายก่อนจะถามขึ้น “เจ้ามีวิธี?”
เย่หยวนพยักหน้ารับ “ราวร้อยปีก่อนข้าได้ต่อสู้อย่างหนักหน่วงจนโลกใบน้อยแทบแตกสลายลงเช่นกัน จากนั้นเย่ผู้นี้ก็ได้บรรลุเต๋าคิดค้นโอสถนามโอสถจุติฟื้นโกลาหลจึงกลับมาฟื้นคืนสภาพได้ อาการบาดเจ็บนี้ของผู้อาวุโสเองมันก็คล้ายกับที่เย่ผู้นี้ประสบมา แม้จะมีส่วนที่แตกต่างไปบ้างไม่น้อยแต่หากเย่ผู้นี้บรรลุขึ้นอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ได้แล้วตราบเท่าที่ข้าหาสมุนไพรวิญญาณระดับแปดมาได้พร้อม ท่านก็ย่อมจะหายได้!”
เจียงซือต้องเบิกตากว้างเมื่อได้ยินคำของเย่หยวน
“นี่… นี่มัน… สวรรค์ไม่ทอดทิ้งผู้คนจริงๆ! การได้มาเจอสหายหนุ่มเย่วันนี้มันช่างเป็นหลักฐานได้อย่างดี! สวรรค์ยังไม่คิดทอดทิ้งข้า!” เจียงซือร้องบอก
เย่หยวนยิ้มรับ “หากท่านผู้อาวุโสไม่มีที่ไปท่านจะมาที่วังพำนักจักรพรรดิเทพสวรรค์อินทรีสวรรค์กับข้าหรือไม่?”
เจียงซือพยักหน้ารับทันที “ข้านั้นเป็นคนผู้ไม่มีความยึดติดกับโลก ข้าย่อมจะไปกับเจ้าได้!”
พูดจบคนทั้งสองก็ได้ออกเดินทางลงใต้อีกครั้ง
…
กว่าที่จะกลับมาถึงเมืองอินทรีสวรรค์เวลามันก็ผ่านไปได้กว่าหลายเดือน
เวลานี้เย่หยวนได้สั่งให้คนจัดการที่พักให้แก่เจียงซือและขวังต้าวก่อนจะมุ่งหน้าไปหาไป๋ตงต่อทันที
เหตุผลที่เขากลับมานั้นมันก็เป็นเพราะว่าไป๋ตงเรียกหานั่นเอง
“พี่ไป๋ มีเรื่องใดหรือ?” เย่หยวนถาม
ไป๋ตงนั้นตอบกลับด้วยการยื่นแผ่นหยกให้เย่หยวนด้วยสีหน้าเหยเก “เจ้าดูเองเถอะ”
เย่หยวนใจสั่นขึ้นทันทีเพราะสัมผัสได้ว่ามันมิใช่เรื่องดีแน่ๆ
แน่นอนว่าหลังจากดูข้อความที่ถูกเขียนมาในแผ่นหยกนั้นสีหน้าของเขาก็ต้องเปลี่ยนสีไป
หนิงเทียนปิงโดนจับ!
เย่หยวนนั้นเคยได้ยินมาจากหนิงเทียนปิงว่าศัตรูร้ายของโม่ลี่เฟย อาจารย์เขานั้นมีนามว่าหลี่จ้าวชิงแห่งยอดเมืองหลวงจักรพรรดิฉายาฟ้าในแดนตะวันออก
แต่จะอย่างไรตัวหลี่จ้าวชิงนี้ก็เป็นแค่เทพถ่องแท้ขั้นสุด
ต่อให้จะบรรลุขึ้นถึงอาณาจักรเทพสวรรค์ได้มันก็คงไม่มีทางจะเอาชนะฝีมือของหนิงเทียนปิงในเวลานี้ได้
ก่อนจะไปเย่หยวนยังมอบสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ให้แก่หนิงเทียนปิงไปไม่น้อย
ต่อให้จะไม่ชนะการหลบหนีมันก็มิใช่เรื่องยากใด
แต่สุดท้ายหนิงเทียนปิงนั้นก็ยังถูกจับไป
แผ่นหยกนี้มันบอกไว้ว่าเสี้ยววิญญาณของโม่ลี่เฟยนั้นดับสิ้นไปแล้ว ส่วนตัวหนิงเทียนปิงก็กำลังถูกคุมขังไว้
เรื่องนี้มันยังไม่เท่าไหร่ แต่สิ่งที่แปลกก็คือการที่อีกฝ่ายกลับบอกว่าให้เย่หยวนนำเอาโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดห้าสิบเม็ดไปมอบให้เป็นค่าไถ่ตัว!
ที่สำคัญมันยังระบุมาชัดเจนว่าเย่หยวนต้องไปด้วยตัวคนเดียว!
อีกฝ่ายนั้นเป็นใครมาจากไหน เย่หยวนไม่อาจรับรู้ได้เลย
แต่เย่หยวนนั้นย่อมเข้าใจได้ทันทีว่ามันมิใช่หลี่จ้าวชิงแน่
เพราะคนระดับเขานั้นไม่อาจทำเรื่องเช่นนี้ได้
เย่หยวนได้แต่คิดถึงความเป็นไปได้นับล้านๆ ที่จะเกิดขึ้น นึกถึงศัตรูเก่าทั้งหลายแต่ก็ยังไม่อาจระบุได้แน่ว่าอีกฝ่ายคือใคร
“พี่คิดว่าอย่างไร?” เย่หยวนถาม
ไป๋ตงนั้นย่อมคิดถึงเรื่องนี้มาตลอดช่วงหลายเดือนและตอบกลับมาอย่างทันที “กับดักแน่นอน! ที่สำคัญไปกว่านั้นข้าว่าคนที่วางกับดักนี้ยังต้องรู้จักเจ้าไม่น้อย! โอสถใดๆ นี้มันย่อมจะเป็นแค่ข้ออ้างและเป้าหมายที่แท้จริงของมันก็คือตัวเจ้า!”
เย่หยวนพยักหน้ารับ “เทียนปิงนั้นคิดตามข้ามานับพันปี ข้าย่อมจะเข้าใจนิสัยของตัวเขา ต่อให้ต้องตายเขาก็คงไม่คิดเปิดปากพูดเรื่องของข้าออกไปแน่ ที่ข้ากลัวก็คือเทียนปิงนั้นอาจจะถูกหมายหัวไว้ตั้งแต่วินาทีที่ออกจากเมืองไปแล้วมากกว่า”
ไป๋ตงต้องกัดฟันกล่าวขึ้น “ไม่มีทางมั้ง? เจ้าจะบอกว่า… ในเมืองเรามีสายลับจากที่อื่น?”
เย่หยวนส่ายหัวออกมา “เมืองอินทรีสวรรค์นี้มันพัฒนาอย่างมากเกินควบคุมในช่วงหลายปีมานี้ แม้ว่ามันจะทำให้เรามีกำลังเพิ่มขึ้นมหาศาลแต่หากคิดอยากเฝ้าดูในทุกซอกมุมมันก็คงเป็นเรื่องยากเกินรับไหว เรื่องที่เทียนปิงและข้าออกจากเมืองไปนั้นมันก็มิใช่ความลับใดด้วย คนที่ผ่านไปมาจะรู้เห็นก็คงไม่แปลก เพียงแค่ว่าพวกมันนั้นไม่กล้าลงมือต่อข้าและหันเป้าหมายไปหาตัวเทียนปิงแทน อีกฝ่ายนั้นต้องเข้าใจข้าไม่น้อยและคงวางกับดักหนาแน่นรอข้าไว้เป็นแน่”
ไป๋ตงต้องก้มหน้าลงอย่างหนักใจ “เช่นนั้น… เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี? เจ้าอย่าได้ไป!”
เย่หยวนนั้นหันกลับมามองไป๋ตงด้วยสายตาผิดหวังจนทำให้ตัวไป๋ตงหน้าแดงขึ้นด้วยความอับอาย
เขานั้นย่อมรู้จักเย่หยวนดีพอที่จะรู้ว่าเย่หยวนไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไป
เย่หยวนนั้นแม้จะเป็นแค่เจ้านายและลูกน้องแต่ความสนิทของทั้งสองนั้นมันเข้าใกล้คำว่าพี่น้องมากเสียกว่าสหายคนอื่นๆ ด้วยซ้ำ
ตอนนั้นแค่ที่เจียงหมิงถูกฆ่าลงเย่หยวนยังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
เวลานี้เมื่อพี่น้องของเขาถูกจับไป มันย่อมไม่มีทางใดเลยที่เย่หยวนจะยืนมองดูเรื่องผ่านไปได้
“วางใจเถอะ เหตุผลที่มันไม่กล้าจัดการข้าตรงๆ นั้นย่อมเป็นเพราะว่าพวกมันขาดความมั่นใจพอ ที่สำคัญไปกว่านั้นการเดินทางออกไปครั้งนี้ข้ายังได้ประโยชน์มามากมาย พวกคนนอกทั้งหลายนั้นมันย่อมจะไม่อาจคาดคิดถึงได้ แต่ก่อนจะถึงเวลานั้นข้ายังต้องเตรียมการอีกนิดหน่อย” เย่หยวนบอก
ไป๋ตงแสดงสีหน้ากังวลอย่างหนักออกมาและเย่หยวนย่อมไม่คิดโทษไป๋ตงใดๆ
“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย!” ไป๋ตงบอก
เย่หยวนส่ายหัวออกมา “ท่านมาด้วยไม่ได้! พวกมันทั้งหลายนี้ย่อมจะมีแหล่งข่าวภายในเมืองเราอยู่ หากพวกมันรู้ว่าท่านหายตัวไปจากเมืองแล้วพวกมันย่อมจะไม่ปล่อยตัวประกันไว้แน่”
ไป๋งตงได้แต่ต้องขมวดคิ้วแน่น ดูท่าแล้วการปล่อยให้เย่หยวนไปด้วยตัวคนเดียวนี้มันคงทำให้เขากังวลไม่น้อย
สิ่งที่เขากังวลก็คือเรื่องที่ว่าอีกฝ่ายอาจจะเป็นถึงจักรพรรดิเทพสวรรค์ได้
ด้วยกำลังของเย่หยวนในเวลานี้หากเป็นเช่นนั้นจริงนอกจากจะช่วยเหลือไม่ได้แล้วอาจจะยังถูกจับไปเองด้วย
เพราะเรื่องของแนวคิดแห่งห้วงมิตินั้นคนทั้งแดนใต้ต่างรู้ดีว่ามันคือไม้เด็ดของเย่หยวน อีกฝ่ายย่อมจะวางกับดักปิดกั้นพลังของมิติไว้อย่างหนาแน่นไม่เปิดโอกาสให้เย่หยวนได้หลบหนีใดๆ
กับดักนี้มันถูกวางมาอย่างหนาแน่นไร้ทางรอด!
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องไปไม่ว่าจะอยากหรือไม่!
ที่สำคัญไปกว่านั้นศัตรูยังหลบอยู่ในที่มืดส่วนเย่หยวนนั้นกำลังอยู่ท่ามกลางแสงสว่าง จะดูอย่างไรมันก็คือแผนการร้ายหมายชีวิต
……………