พวกจ้าวซีซวนทั้งห้าเองก็สมชื่อว่าเป็นศิษย์ของเหล่ายอดฝีมือระดับบรรพกาลทั้งหลาย เมื่อพวกเขาลงมือแล้วมันก็ช่างดูเหนือล้ำอย่างมาก
คนทั้งห้านั้นมีคลื่นพลังล้นฟ้าดินทำให้คนทั้งหลายที่ผ่านมาเริ่มจะมุงดูมากขึ้นทุกทีพร้อมด้วยเสียงร้องอย่างตื่นตะลึงที่มีมาไม่ขาดสาย
คนทั้งห้านั้นเก่งกาจด้วยฝีมือทักษะการหลอมที่แตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง
สิ่งที่พวกเขานั้นมันคือตัวแทนหลอมธาตุทั้งห้าอย่างถึงที่สุด
เว้นเสียแต่ว่าคนผู้นั้นจะมีวิชาการโอสถที่สมดุลอย่างมากไม่เช่นนั้นแล้วหากคิดอยากชนะคนทั้งห้าพร้อมๆ กันมันคงยากสิ่งยิ่งกว่าการก้าวขึ้นสวรรค์
วิชาโอสถนั้นมันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดแต่เหล่าคนที่ก้าวขึ้นมาถึงระดับบรรพกาลได้ย่อมล้วนแล้วแต่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างมากล้ำ
ภายใต้การสั่งสอนของพวกเขาทั้งหลายนั้นมันย่อมจะเกิดเป็นทักษะเฉพาะขึ้นมา
ต่อให้พวกจ้าวซีซวนทั้งหลายจะเรียนรู้มาได้แค่หนึ่งในพันหนึ่งในหมื่นมันก็คงมากพอจะเอาชนะคนทั่วๆ ไปได้สิ้น
ยิ่งไปกว่านั้นคือคนทั้งห้านี้ต่างล้วนมีกำลังเป็นของตัวเองและคิดหลอมโอสถที่สามารถใช้ฝีมือของตนออกมาได้จนถึงที่สุด ที่สำคัญไปกว่านั้นมันยังเป็นโอสถลับ
คนทั้งห้านี้ต่างได้พูดคุยกันไว้ก่อนแล้วว่าที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อจะฉีกหน้าเย่หยวน!
หากวัดกันแค่ที่รุ่นอาวุโสนั้น พวกเขาย่อมจะอยู่ต่ำกว่าเย่หยวน
แม้จะทำเช่นนี้มันก็คงไม่มีใครมาว่ากล่าวหาพวกเขา!1
ยอดฝีมือในระดับจ้าวซีซวนนี้ย่อมจะไม่ค่อยได้แสดงฝีมือ
เมื่อเขาลงมือในครั้งนี้แล้วมันย่อมจะทำให้เกิดเสียงโห่ร้องขึ้นอย่างตกตะลึง
คนทั้งหลายนั้นต่างมองดูเย่หยวนด้วยสายตาสงสาร คิดว่าเขาต้องเสียท่าแล้ววันนี้
“เดิมทีข้านั้นก็คิดไปเสียว่ารองมหาปราชญ์ที่ได้รับการยอมรับจากมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นคงต้องมีเรื่องที่เหนือล้ำผู้คนแน่ ไม่นึกเลยว่าแท้จริงจะหลงตัวเองปานนี้!”
“การได้รับเลือกให้เป็นศิษย์ของยอดคนระดับบรรพกาลนั้นมันย่อมจะต้องมิใช่คนธรรมดา? รองมหาปราชญ์จะประเมินพวกเขาต่ำจนเกินไปแล้ว!”
“หึ หากรองมหาปราชญ์แพ้ลงจริงแล้วมันคงมิใช่แค่เขาที่เสียหน้า แต่จะเป็นชื่อเสียงของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลไปด้วย!”
…
ภายในฝูงชนนั้นมีสองเงาร่างกำลังหันมามองหน้ากันด้วยรอยยิ้มเย้ย
คนทั้งสองย่อมจะเป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์ชิงหยูและพี่ชายของเล้งเทียนห่าว เล้งเทียนฉีผู้นั้น
จ้าวซีซวนและพวกนี้ย่อมจะถูกจัดฉากมาโดยตัวเล้งเทียนฉีผู้นี้เอง
แม้ว่าเล้งเทียนฉีจะเป็นหลานศิษย์โอสถบรรพกาลแต่ตัวเขานั้นก็ไม่ได้มีศักดิ์ต่ำไปกว่าเหล่าศิษย์ของเจ้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายมากมายนัก
เพราะฉะนั้นแม้หากนับกันตามจริงเล้งเทียนฉีนี้จะมีรุ่นต่ำกว่าพวกจ้าวซีซวนแต่ทั้งสองฝ่ายก็ยังสนิทกันไม่น้อย
เพราะจะอย่างไรเสียมีใครบ้างแล้วที่ไม่อยากสายสัมพันธ์กับคนของโอสถบรรพกาล?
เขานั้นไม่อาจจะลงมือจัดการเย่หยวนเองได้จึงต้องยืมมือเหล่าจ้าวซีซวนทั้งหลายแทน
เพียงแค่ว่าเขาก็ไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวนกลับจะตกหลุมกับดักง่ายๆ เช่นนี้ คิดรับคำท้าการดวลโอสถเช่นนี้มันก็เหมือนรนหาที่ขายหน้า
“หึๆ จักรพรรดิผู้นี้อยากจะเห็นจริงๆ ว่ารองมหาปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จะเอาตัวรอดไปได้อย่างไร!” จักรพรรดิเทพสวรรค์ชิงหยูหัวเราะ
“หึ! หากมิใช่เพราะอาจารย์ข้าห้ามไว้แล้วข้าจะลงมือจัดการมันด้วยตัวเองทีเดียว! แค่เด็กน้อยที่ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคิดว่ามันยิ่งใหญ่มากหรืออย่างไร?” เล้งเทียนฉีกล่าวด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
ลูกหลานศิษย์ของโอสถรบรรพกาลนั้นย่อมคิดว่าตนเองอยู่สูงล้ำผู้คน
จะรองมหาปราชญ์ใดๆ ตัวเล้งเทียนฉีก็ไม่คิดสนใจ
หากมันเป็นคนแก่คนเฒ่ามากประสบการณ์เขาก็ยังพอรับได้แต่นี่เย่หยวนที่อายุน้อยกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ มีหรือที่เขาจะสนใจเคารพใด?
ยอดอัจฉริยะมากมายของมหาพิภพถงเทียนต่างได้มาร่วมงานในครั้งนี้
ต่อให้รองมหาปราชญ์จะเก่งกาจปานใดมันก็คงไม่เหนือล้ำสวรรค์ไปได้
“แต่จะอย่างไรพวกจ้าวซีซวนนี้เองก็เก่งกาจไม่น้อย ดูท่าคงไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเจ้าเลย!” ชิงหยูกล่าว
เล้งเทียนฉีพยักหน้ารับ “คนทั้งห้านี้ต่างเป็นยอดอัจฉริยะที่ล้านๆ ปีจะเกิดขึ้นมาได้สักครั้ง พวกเขาย่อมไม่ได้อ่อนแอกว่าเหล่าศิษย์ของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลด้วยซ้ำ! แม้แต่ตัวข้าเองยังไม่กล้าพูดเลยว่าจะเอาชนะได้จริงแต่เจ้าเด็กคนนี้มันกลับยังกล้าประมาท! แต่เช่นนี้ก็ดี เท่านี้เราจะได้จัดการแค้นให้ห่าวเอ๋อได้ หลังเจ้าเด็กคนนี้มันเสียอำนาจชื่อเสียงที่มีไปสิ้นแล้วข้าจะค่อยๆ จัดการมันทีหลัง!”
ชิงหยูเบิกตากว้างอย่างโกรธแค้น “ความแค้นที่ต้องคุกเข่านั้น จักรพรรดิผู้นี้จะให้มันได้ชดใช้ร้อยเท่า!”
…
ห้าวันผ่านไปในพริบตาการประลองนี้มันมีแต่จะเป็นจุดสนใจของผู้คนมากขึ้นๆ
เวลานี้แม้แต่เหล่าเจ้าฟ้าดินทั้งหลายก็ยังต้องหันมาสนใจ
การหลอมโอสถของพวกจ้าวซีซวนทั้งหลายนั้นมันได้สิ้นสุดลงในที่สุด!
“หลอม!”
จ้าวซีซวนร้องขึ้นปล่อยแสงสีเขียวนวลออกมาพร้อมเผยให้เห็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับแปด!
เมื่อเช็ดเหงื่อยที่ท่วมกายเสร็จตัวจ้าวซีซวนก็หันไปมองเย่หยวนด้วยรอยยิ้มเย้ย “ว่าอย่างไรเล่ารองมหาปราชญ์? โอสถเจ็ดสมบัติเร้นโลหิตขั้นเทวะโมฆะนี้จะพอให้ท่านสนใจได้หรือไม่?”
เย่หยวนหันหน้ามามองพร้อมกล่าวบอก “อืม พอจะน่าสนใจอยู่บ้าง”
จ้าวซีซวนผู้นี้มันมีพลังฝีมือเหนือล้ำจริงๆ หากวัดกันแค่ในเหล่าอัจริยะทั้งหลาย
ในหมู่ยอดอัจฉริยะที่เย่หยวนเคยพบเจอมานั้น เขาคงนับได้ว่าเป็นอันดับต้นๆ เลยทีเดียว
น่าเสียดายที่ศัตรูของเขานี้มันเป็นเย่หยวน
คำพูดนี้ของเย่หยวนมันย่อมไม่ได้ทำให้ทุกผู้คนเชื่อใดๆ มันกลายเป็นเหมือนคำพูดวางตัวเหนือท่านอย่างไร้ฐานยืน
โอสถเจ็ดสมบัติเร้นโลหิตนั้นมันเป็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับแปดที่สำคัญมันยังนับว่าเป็นหนึ่งในโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับแปดที่หลอมได้ยากเย็นยิ่ง
การที่จ้าวซีซวนหลอมโอสถเจ็ดสมบัติเร้นโลหิตขึ้นมาได้ถึงขั้นเทวะโมฆะนี้มันก็เป็นเครื่องยืนยันความสามารถอย่างดีแล้ว!
เพราะจะอย่างไรเสียเหล่าจอมเทพโอสถแปดดาวทั่วๆ ไปนั้นแค่จะหลอมให้ถึงขั้นสูงหรือขั้นยอดเยี่ยมก็ยังนับได้ว่าเก่งกาจมากแล้ว
ตอนนี้จ้าวซีซวนกลับหลอมออกมาได้ถึงขั้นเทวะโมฆะ มิใช่แค่ขั้นเทวะทั่วๆ ไปเสียด้วยซ้ำ
ความต่างชั้นนี้มันห่างจนไม่อาจจะเอาจอมเทพโอสถแปดดาวทั้งหลายมาเทียบเคียง
การหลอมของเขานี้มันเหนือล้ำจินตนาการของทุกผู้คนไปแล้ว
เมื่อคำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวมันก็ย่อมจะเกิดความแตกตื่นเสียงโห่ร้องขึ้นตามๆ กัน
ในกลุ่มคนที่มุงดูนั้นมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมา “อาจารย์ซีซวน ท่านคิดจะขายโอสถเจ็ดสมบัติเร้นโลหิตนี้หรือไม่? ข้ามู่เถี่ยเฉิงแห่งห้างเจ็ดดาราอยากจะขอซื้อมันด้วยผลึกปราณเทวะขั้นเยี่ยมหนึ่งพันล้านผลึก!”
แต่ก่อนจะทันได้มีเสียงใดตอบกลับมันก็มีอีกคนหนึ่งพูดแทรกขึ้นมา “หึ โอสถเจ็ดสมบัติเร้นโลหิตขั้นเทวะโมฆะนี้เจ้าคิดจะซื้อมันด้วยผลึกปราณเทวะแค่หนึ่งพันล้าน? อาจารย์ซีซวน ข้าฟางเทียนเหรินจากศาลากระจกจ้าขอเสนอราคาสองพันล้าน!”
“ข้าเสนอสองพันห้าร้อยล้าน!” มู่เถี่ยเฉิงก็ไม่ยอมง่ายๆ
“ข้าเสนอสามพันล้าน!” ฟางเทียนเหรินสวนกลับมา
“เจ้า!” มู่เถี่ยเฉิงนั้นสูดหายใจเข้าลึกอย่างไม่อาจจะกล้าต่อรองราคาอีก
ส่วนตัวฟางเทียนเหรินนั้นกลับแสดงสีหน้าภาคภูมิ
จักรพรรดิเทพสวรรค์ทั้งหลายนั้นต่างก็มีการค้าขายของตนเอง โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับแปดนี้มันย่อมจะมิใช่สิ่งที่ซื้อหาได้ในโลกหล้า
จักรพรรดิเทพสวรรค์วันเปานั้นเก่งกาจ แต่สุดท้ายเขาก็ยังแค่ทำการค้ากับโลกเบื้องล่าง
แต่ตัวมู่เถี่ยเฉิงและฟางเทียนเหรินต่างล้วนเป็นสุดยอดอำนาจอย่างแท้จริง พวกเขานั้นคือพ่อค้าที่ทำการค้ากับจักรพรรดิเทพสวรรค์
จ้าวซีซวนนั้นยังคงยืนนิ่งมองดูคนทั้งสองเถียงกันก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มในที่สุด “พวกเจ้าทั้งสองจะไม่รอกันหน่อยหรือ? รองมหาปราชญ์ท่านยังไม่ได้ลงมือเลย ผู้มีตำแหน่งเป็นถึงรองมหาปราชญ์นั้นข้าว่าเขาคงหลอมได้ดีกว่าข้าเสียด้วยซ้ำไป”
ฟางเทียนเหรินหันไปมองดูเย่หยวนด้วยสายตาเหยียดหยาม “แค่มันนี้? ปากยังไม่ทันสิ้นกลิ่นน้ำนม ต่อให้มันจะมากพรสวรรค์ปานใดมันก็ไม่มีทางจะหลอมโอสถได้ถึงขั้นนี้หรอก หึๆ รองมหาปราชญ์? อย่ามาทำให้ข้าต้องขำตายหน่อยเลย!”
เย่หยวนจึงได้หันหน้ามามองดู จดจำใบหน้าของเขาผู้นี้ไว้
เขานั้นไม่ได้คิดหาเรื่องใครๆ แต่คนโง่ๆ เช่นนี้เขาต้องจดจำไว้พร้อมขึ้นบัญชีดำ
“จะมองหาอะไร? ไม่ยอมรับ? หากเด็กน้อยอย่างเจ้ายังเป็นรองมหาปราชญ์ได้เช่นนั้นอาจารย์ซีซวนจะไม่กลายเป็นโคตรมหาปราชญ์หรือ?”
เพื่อที่จะได้โอสถนั้นมาตัวฟางเทียนเหรินก็ไม่คิดลังเลใดๆ รีบช่วยว่ากล่าวเย่หยวนเพื่อเอาใจจ้าวซีซวน
เมื่อได้เห็นฝีมือของพวกจ้าวซีซวนทั้งห้าแล้ว เวลานี้มันย่อมจะไม่มีใครคิดว่าเย่หยวนจะเอาชนะได้อีก
เพราะจะอย่างไรเสียพวกจ้าวซีซวนก็อยู่เหนือล้ำกว่าที่จินตนาการของพวกเขาจะตามทันแล้ว
แน่นอนว่าทางจ้าวซีซวนที่ได้ยินก็ยิ้มตอบกลับมา “ท่านเจ้าศาลาฟางช่างรู้วิธีค้าขาย หลังจบเรื่องแล้วข้าจะขายโอสถนี้ให้ท่านแน่นอน”
เมื่อตัวฟางเทียนเหรินได้ยินเขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างกล่าวขอบคุณออกมา
จากนั้นเขาก็หันมามองหน้ามู่เถี่ยเฉิงด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันภาคภูมิที่ตัวเองเอาชนะโอสถนี้มาได้
………………