“ซี๊ด…”
เสียงสูดหายใจเย็นเยือกดังขึ้นรอบทิศ
ภาพตรงหน้านี้มันได้ก้าวข้ามเหนือล้ำกว่าความเข้าใจของพวกเขาไปมาก
เย่หยวนนั้นตั้งมหาค่ายกลทั้งห้าขึ้นมาในพริบตาและใช้งานพวกมันขึ้นมาพร้อมๆ กันหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับแปดทั้งห้าขึ้น!
เรื่องราวเช่นนี้อย่าว่าแต่จะเคยได้เห็น แค่ได้ยินคนทั้งหลายนั้นยังไม่เคยได้ยินมาก่อน
มันคือศิลปะ!
แข็งแกร่งเหนือล้ำ!
“นี่… นี่มันคือกำลังของรองมหาปราชญ์? แข็งแกร่งเสียจริงๆ!”
“แค่การลงมือนี้มันก็แสดงให้เห็นแล้วว่ารองมหาปราชญ์นั้นก้าวผ่านความลึกล้ำขึ้นไปเป็นยอดฝีมือระดับบรรพกาลทั้งหลาย!”
“เราถูกอายุของเขานี้หลอกแล้ว! จะอย่างไรมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลก็เป็นถึงมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล ดวงตาของเขานั้นมันเฉียบคมกว่าเรามาก! ตำแหน่งรองมหาปราชญ์นี้มันสมชื่อจริงๆ!”
…
เสียงแห่งความสงสัยทั้งหลายนั้นมันได้เปลี่ยนกลายเป็นความตกตะลึง
ฝีมือของเย่หยวนนี้มันเหนือล้ำความเข้าใจของพวกเขาไปมากนัก
ตัวมู่เถี่ยเฉิงที่เพิ่งเดินออกไปได้ไม่ไกลต้องหันหน้ากลับมาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“โอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะวิญญาณไพศาล!” มู่เถี่ยเฉิงหายใจเข้าออกอย่างรุนแรงจนทำให้น้ำเสียงของเขานั้นมันดูสั่นอย่างบอกไม่ถูก
โอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะวิญญาณไพศาลนั้นมันมีค่าล้ำโอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะโมฆะไปมาก!
ที่สำคัญคือมันไม่มีใครขาย
เพราะจะอย่างไรเสียพวกจ้าวซีซวนทั้งหลายนี้มันก็คือสุดยอดที่สุดของเหล่าจอมเทพโอสถแปดดาวไปแล้ว
ต่อให้จะเป็นเหล่าจอมเทพโอสถแปดดาวที่อาวุโสกว่าพวกเขานั้นมันก็ยังไม่อาจเทียบเคียงฝีมือได้
แต่เมื่อพวกเขาทั้งหลายนี้ลงมือ มันกลับหลอมออกมาได้แต่ขั้นเทวะโมฆะ
แค่นี้มันก็ชัดเจนแล้วว่าโอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะโมฆะในตลาดนั้นมันมีน้อยเพียงใด
ส่วนโอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะวิญญาณไพศาลนั้นมันคงเรียกได้ว่าไม่มีอยู่จริง!
“โอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะวิญญาณไพศาล! ฮ่าๆๆ ขั้นเทวะวิญญาณไพศาล! รวยแล้ว! ข้ารวยแล้วแน่นอน! ฟางเทียนเหริน เจ้าปากดีมากมิใช่หรือ? บอกว่ารองมหาปราชญ์นั้นไร้ค่าไร้สาระ? เบิกตาหมาๆ ของเจ้าดูเสียสิว่ารองมหาปราชญ์นั้นเป็นตัวตนเช่นใด!”
มู่เถี่ยเฉิงที่ถูกกล่าวว่าดูถูกใส่มานานต้องระเบิดอารมณ์ตอกกลับไปในเวลานี้อย่างไม่คิดกักเก็บไว้ใดๆ อีก
ตัวฟางเทียนเหรินนั้นรู้สึกหน้าชามองดูโอสถตรงหน้าทั้งห้าเม็ดนี้อย่างมึนงง เวลานี้เขาไม่อาจจะทำความเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้เลย
โอสถที่เขาซื้อมานี้มันมีค่าเม็ดละกว่าสามพันล้าน ราคาของมันนี้นับได้ว่าสูงอย่างมาก
ต่อให้เขาจะนำมันออกไปโก่งราคาขายมันก็คงไม่เกินสี่พันล้าน
แต่โอสถที่มู่เถี่ยเฉิงได้นั้นเล่า?
เขานั้นจ่ายไปแค่เม็ดละสามร้อยล้าน!
โอสถขั้นเทวะวิญญาณไพศาลนั้นมันมีแต่ความต้องการในตลาด ไม่มีใครนำมันออกมาขายได้ ต่อให้จะขายมันเม็ดละสองหมื่นล้านมันก็คงมีจักรพรรดิเทพสวรรค์มากมายที่ยอมจะจ่ายซื้อมัน!
โอสถห้าเม็ดนี้มันมีค่ากว่าแสนล้าน!
พันห้าร้อยล้านแลกของราคาแสนล้าน… ฟางเทียนเหรินนั้นรู้สึกว่าสมองของเขามันไม่อาจจะยอมรับเรื่องราวนี้ได้
มันเป็นไปได้อย่างไร?
เรื่องนี้มันจะเป็นไปได้อย่างไร?
รองมหาปราชญ์หนุ่มนี้เพิ่งจะก้าวขึ้นมาถึงอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ได้ไม่นาน เหตุใดเขาจึงสามารถจะหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับแปดได้มากคุณภาพเช่นนั้น?
ครั้งนี้เขาพลาดไปแล้วจริงๆ
เพราะให้พูดตามตรงโอสถทั้งหลายนี้เองเขาก็ไม่อาจจะหากำไรจากมันได้มากนัก
เพียงแค่ว่าเขานั้นต้องการเอาใจเหล่าบรรพกาลน้อยทั้งหลายนี้จึงได้แต่ต้องทนทุกข์ไป
ตัวจ้าวซีซวนเองก็มีสีหน้าซีดขาวเหมือนความเข้าใจที่เขาเคยมีมันพังทลายลงสิ้น
ภายใต้การหลอมด้วยเต๋าค่ายกลนี้ เย่หยวนกลับหลอมโอสถทั้งห้าธาตุขึ้นมาพร้อมๆ กันและยังหลอมได้คุณภาพสูงกว่าพวกเขาทั้งหลาย
จะดูอย่างไรนี่มันก็มิใช่ฝีมือที่แท้ของเย่หยวน
เพราะเขานั้นได้หลอมโอสถทั้งหลายในทีเดียวเพื่อจะได้ประหยัดเวลา
หากเขานั้นค่อยๆ หลอมมันทีละอย่างๆ แล้วโอสถทั้งหลายที่ออกมามันย่อมจะมีคุณภาพสูงล้ำกว่านี้
บางที… มันอาจจะขึ้นไปถึงขั้นเทวะวิญญาณมรณา!
“นี่มัน… เป็นไปไม่ได้! การหลอมโอสถด้วยเต๋าค่ายกลมันจะทำเช่นนี้ได้อย่างไร? เจ้า… เจ้าทำมันได้อย่างไร?” จ้าวซีซวนนั้นหลุดถามขึ้นมาอย่างมึนงง
เย่หยวนจึงตอบกลับไป “ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ เพียงแค่ว่าเจ้านั้นมันอ่อนแอจนไม่อาจเข้าใจก็เท่านั้น เจ้าคิดว่าข้านี้จะไม่เก่งกาจไปกว่าเจ้าได้เพราะอายุข้ายังน้อย แต่เรื่องนั้นมันก็เพราะว่าเจ้าขาดจินตนาการ ในเต๋าโอสถนี้ การเป็นผู้เยาว์ต่อหน้าเย่ผู้นี้มันไม่ได้ผิดใดๆ เลย!”
พวกจ้าวซีซวนทั้งห้านั้นเริ่มกลับมาตั้งสติได้แต่เวลานี้ความมั่นใจใดๆ ที่เคยมีต่างแตกสลายลงสิ้น
ตลอดเวลามานั้นพวกเขาทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นยอดอัจฉริยะแห่งการโอสถ
พวกเขาทั้งหลายนี้ย่อมจะไม่เคยยอมก้มหัวให้ใคร คิดว่าตัวเองนี้คืออันดับหนึ่งใต้สวรรค์นี้
แต่วันนี้เย่หยวนกลับได้ทำลายศักดิ์ศรีนั้นลงทิ้งอย่างไม่เหลือชิ้นดี
“ปล่อยพวกเขาแล้วขอโทษเสีย!” เย่หยวนกล่าวตวาดขึ้นมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ
เมื่อได้ชัยชนะแล้วคำพูดของเย่หยวนก็ย่อมจะมีอำนาจเหนือล้ำ
สีหน้าของพวกจ้าวซีซวนทั้งหลายนั้นเปลี่ยนสีไปตามๆ กันจนสุดท้ายก็ต้องยอมสั่งให้ลูกน้องไปปล่อยตัวคนทั้งสองออกมา
เมื่อพวกเจิ้งหมิงเห็นเช่นหน้าเย่หยวนพวกเขาต่างก็ได้แต่ยืนหน้าแดงอย่างอับอาย
พวกเขาอยู่มานานปีแต่กลับถูกเด็กน้อยทั้งหลายนี้วางกับดักสิ้น ต้องลำบากให้เย่หยวนมาช่วยตามล้างตามเช็ดให้แน่นอนว่าพวกเขาทั้งหลายย่อมจะรู้สึกอับอายอยู่ในใจ
เย่หยวนเองก็ไม่ได้กล่าวใดๆ เขานั้นยังคงมองดูที่จ้าวซีซวนและพวก “ขอโทษสิ!”
คำพูดนี้มันทำให้พวกจ้าวซีซวนหน้าเปลี่ยนสีไปอีกครั้งเพราะที่ตกลงกันไว้แต่เดิมนั้นมันเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่คิดว่าตนเองจะแพ้ ใครจะไปคิดว่าตัวเองจะพ่ายแพ้ยับเยินเช่นนี้
เพราะการประลองหลายวันมานี้มันได้ทำให้นักยุทธมากมายมามุงดูกับทั่วสารทิศ
เวลานี้หากต้องขอโทษต่อหน้าผู้คนมันก็เหมือนกับการทำลายชื่อเสียงอาจารย์ตนไปด้วย
คิดมาได้ถึงตรงนี้เขาก็ส่ายหัวออกมา “คนก็ปล่อยให้แล้ว! จะยังต้องขอโทษใดอีก? เรื่องราววันนี้เดิมทีมันล้วนแล้วแต่เป็นคนของเจ้าที่มาหาเรื่องเราก่อน ไม่ว่าจะอย่างไรข้าก็ย่อมไม่ใช่ฝ่ายผิด! ที่ข้าสั่งสอนพวกมันนั้นเองก็ถือว่าไม่ได้เกินเหตุผลใดๆ เลย!”
เย่หยวนขมวดคิ้วพร้อมหันไปมองหน้าคนที่เหนือทั้งสี่ “พวกเจ้าทั้งหลายก็คิดเช่นนั้น?”
พวกเขาทั้งหลายเองก็ย่อมจะมีหน้าตาชื่อเสียงของตระกูลต้องรักษา มีหรือที่จะมาขอโทษคนต่อหน้าสาธารณชนเช่นนี้?
“แน่นอน! เรื่องนี้เดิมทีมันล้วนเป็นความผิดของลูกน้องเจ้า หากจะพูดถึงการขอโทษ แค่ปล่อยตัวพวกมันไปนี้ก็เป็นการขอโทษแล้ว!”
“หึ ต่อให้เจ้าจะเป็นรองมหาปราชญ์ เจ้าก็ไม่มีสิทธิทำตัวไร้เหตุผลเช่นนี้หรอกใช่หรือไม่?”
“ทำไมเล่า หรือรองมหาปราชญ์คิดจะใช้กำลังกัน? เพียงแค่ว่าคนของเจ้านั้นมันอ่อนแอจนเกินไปก็เท่านั้น!”
…
คนทั้งหลายนี้ต่างล้วนเป็นคนโอหังถือตัว ผู้ติดตามทั้งหลายนั้นเองก็ต่างล้วนเป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์เก้าดาวมีหรือที่จะมากลัวเกรงใดๆ พวกจักรพรรดิเทพสวรรค์เจิ้งหมิงนี้?
เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงไม่มีความกังวลใดๆ
แต่จู่ๆ เย่หยวนก็เดินหันหน้าจากไปเข้าฝูงชน
จ้าวซีซวนและพวกที่ได้เห็นเย่หยวนเดินจากไปเช่นนั้นก็หัวเราะขึ้น “หึๆ รองมหาปราชญ์แล้วทำไมเล่า? แค่เด็กน้อยที่เพิ่งขึ้นอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์มาได้! หากข้าไม่ขอโทษแล้วเจ้าจะทำอะไรข้าได้?”
เย่หยวนเดินออกไปทำให้ฝูงชนต้องแหวกเป็นทาง
แต่ในหมู่คนทั้งหลายนั้นมันมีสองผู้คนที่กำลังยืนตัวสั่นหน้าซีด
แน่นอนว่ามันย่อมเป็นเล้งเทียนฉีและจักรพรรดิเทพสวรรค์ชิงหยูแล้ว!
กับดักที่พวกเขาช่วยกันคิดขึ้นมานี้มันกลับกลายเป็นเวทีให้เย่หยวนได้สร้างชื่อแทน!
แต่จะอย่างไรพวกเขาก็ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชนอย่างไม่กลัวว่าเย่หยวนจะรู้ ใครจะไปคิดว่าเวลานี้เย่หยวนกลับกำลังเดินตรงเข้ามาหาพวกเขา
ไม่มีที่ให้หนีหรือหลบ!
แต่เย่หยวนกลับไม่ได้สนใจพวกเขาเดินผ่านไปราวไม่เห็นใดๆ
เย่หยวนนั้นเดินไปอีกสักพักจนไปถึงเบื้องหน้าของคนผู้หนึ่งก่อนจะถามขึ้น “พี่จื่อจิน พวกท่านนี้คือผู้จัดงาน… เมืองหทัยเมฆาของท่านนี้จะสนใจเรื่องนี้หรือไม่?”
คนผู้นี้คือจักรพรรดิเทพสวรรค์จื่อจินนั้นเอง!
เขานั้นหลบซ่อนอยู่ในฝูงชนมองดูทักษะฝีมือของเย่หยวน
หากให้พูดตรงๆ เขานั้นก็ตกตะลึงไม่น้อย
เพราะเขานั้นไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวนกลับจะเอาชนะอย่างเด็ดขาดเช่นนี้
น่าตกตะลึงเกินไป!
เพียงแค่ว่าเขานั้นก็ไม่นึกว่าเย่หยวนจะสัมผัสถึงตัวเขาได้และเดินเข้ามาถามไถ่เรื่องราวจากตัวเขา
จักรพรรดิเทพสวรรค์จื่อจินนั้นมีตำแหน่งมากมาย อีกตำแหน่งของเขานั้นมันก็คือเจ้าเมืองหทัยเมฆานี้
เรื่องนี้เขาย่อมจะเป็นผู้จัดการดูแล
เขานั้นมองดูเย่หยวนและกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าหนักใจ “รองมหาปราชญ์ เรื่องวันนี้… เดิมทีมันก็เป็นความผิดคนของท่าน! ข้าไม่เห็นว่าพวกจ้าวซีซวนนั้นจะผิดใดๆ เลย!”
……………….