“ฮ่าๆๆ… เจ้าเด็กคนนี้มันช่างทำเรื่องราวใหญ่โตได้ไม่สิ้นสุดจริงๆ ใครขวางหน้าก็จบสิ้น ไม่สนใจใครเสียจริงๆ!”
บนโถงใหญ่ ณ ยอดเขาขนนกมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นกำลังหัวเราะลั่นอย่างสะใจ
การลงมือของเย่หยวนครั้งนี้มันสร้างความแตกตื่นอย่างมาก ต่อให้มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลจะไม่ได้สนใจแต่เขาก็ยังต้องรู้ถึงมัน
“อาจารย์ รองมหาปราชญ์ไปสร้างเรื่องเช่นนี้หากเขาแพ้ขึ้นมานั้นเขาคงได้ทำเราเสียหน้าแน่!” ศิษย์พี่ใหญ่กล่าวขึ้น
“ใช่แล้วอาจารย์! ไปท้าเขาตั้งแต่งานยังไม่เริ่มเช่นนี้ท่านควรรีบไปหยุดเขาไว้จะดีกว่า! จักรพรรดิเทพสวรรค์เฟิงหลินนั้นโด่งดังมีชื่อเสียงมากล้นมาแสนนาน เขานั้นมิใช่ตัวตนที่รองมหาปราชญ์จะปราบลงได้ง่ายๆ!” ศิษย์ลำดับสามกล่าว
แต่มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลกลับหันมามองหน้าศิษย์ทั้งหลายด้วยรอยยิ้ม “ทำไมข้าต้องไปหยุดด้วย? เรื่องราวสนุกๆ เช่นนี้หยุดไปก็น่าเบื่อแย่สิ! ชื่อเสียงหน้าตา? มันมีค่ามากหรือ? พวกเจ้านั้นอยู่บนตำแหน่งสูงล้ำมาแสนนานจนลืมไปแล้วว่าตัวเองเป็นใครกันแน่! ชื่อเสียงมันมิใช่สิ่งที่คนอื่นมอบให้เจ้า แต่เป็นสิ่งที่เจ้าก่อขึ้นมาเอง! ที่พวกเจ้าทั้งหลายมีหน้าตาชื่อเสียงทุกวันนี้ก็เพราะอาจารย์เจ้าผู้นี้เก่งกาจ! แต่ที่อาจารย์เจ้าไม่มีหน้าตาชื่อเสียงนั้นก็เพราะอาจารย์เจ้ายังเก่งได้ไม่เท่าโอสถบรรพกาล มันก็เพียงเท่านั้น!”
เหล่าศิษย์ทั้งหลายนั้นสั่นสะท้านไปพร้อมๆ กันด้วยสีหน้าละอาย
จีโมนั้นยิ่งเงียบมากพักใหญ่จนในที่สุดเขาก็กล่าวขึ้น “อาจารย์ หากรองมหาปราชญ์แพ้พ่ายแล้วเราจะทำอย่างไร?”
มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลตอบกลับไปอย่างไม่สนใจ “แพ้ก็แพ้สิ สนใจทำไมเล่า? บางคนนั้นหมดสิ้นเรี่ยวแรงลงเมื่อแพ้ไม่อาจลุกกลับ แต่บางคนนั้นกลับเก่งกาจขึ้นเมื่อต้องเผชิญความพ่ายแพ้! เจ้าคิดว่าเจ้าหนุ่มนี่เป็นคนประเภทไหนเล่า?”
จีโมตอบกลับไปอย่างไม่ลังเล “ท่านรองมหาปราชญ์นั้นย่อมจะเป็นอย่างหลังแล้ว!”
มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลยิ้มรับ “เพราะฉะนั้นจะอย่างไรเขาก็จะไม่มีทางพ่ายแพ้ลงอย่างแท้จริง ไม่ว่าวันนี้จะแพ้ชนะอย่างไร เขาก็จะชนะเสมอ!”
คำพูดของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นมันอาจจะฟังดูวกวนแต่ความหมายของมันนั้นเด่นชัด
หากเย่หยวนชนะ เขาก็จะมีชื่อเสียงดังลั่นสนั่นทั้งมหาพิภพถงเทียนกลายเป็นยอดคนระดับบรรพกาลได้ทันที
แต่หากเขาแพ้ เย่หยวนก็จะได้บทเรียนล้ำค่ามาศึกษาต่อไป
เพราะฉะนั้นจะอย่างไรเย่หยวนก็ไม่มีอะไรให้ต้องเสีย!
จีโมนั้นผงะไปไม่น้อย เป็นเวลานี้เองที่เขาได้เข้าใจว่าเย่หยวนทำไปอย่างไตร่ตรองมาก่อนแล้ว
มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลยิ้มออกมา “แต่จะอย่างไรเจ้าหนุ่มมันก็ทำการอย่างมีเหตุผลเสมอ! มันมิใช่คนที่จะหาเรื่องชาวบ้านไปทั่ว เจ้าลองออกไปสืบดูหน่อยว่ามันเป็นเพราะเหตุใดเขาจึงต้องไปท้าทายเขาเมฆาคิมหันต์เช่นนี้”
“ขอรับท่านอาจารย์!” จีโมรับคำและรีบลงไปยังเมืองทันที
…
เย่หยวนนั้นเดินขึ้นมาด้วยมือไพล่หลังค่อยๆ ก้าวเดินขึ้นเขามาอย่างไม่รีบร้อน
เขานั้นประกาศตัวอย่างเด่นชัดแน่นอนว่าทางจักรพรรดิเทพสวรรค์เฟิงหลินเองก็ต้องรับคำท้านี้แล้ว
เพราะจะอย่างไรเหล่าบรรพกาลก็มีศักดิ์ศรีของเหล่าบรรพกาล
เวลานี้มันมีคนมากมายเดินติดตามเย่หยวนมาพร้อมตั้งใจดูเรื่องราวเต็มที่
เรื่องราวในครั้งนี้มันยิ่งใหญ่จนเกินไปต่อให้จะไม่อยากเป็นเป้าสายตาแต่มันก็คงไม่มีทางเลี่ยงได้
“หึ เจ้าคิดว่ารองมหาปราชญ์จะขึ้นไปได้ถึงระดับใด?”
“เขานั้นมีฝีมือมากจริงแต่ศิษย์ทั้งหลายของจักรพรรดิเทพสวรรค์เฟิงหลินเองก็เก่งกาจ! ข้าว่าเขาคงไปแพ้ให้ศิษย์คนโตท่านจางจื้อหลิง!”
“หึ จางจื้อหลิงนั้นเป็นถึงยอดฝีมือเต๋าโอสถอาณาจักรบรรพกาลขั้นสุด เจ้าจะไม่ประเมินรองมหาปราชญ์สูงไปหรือ? ข้าว่าเขาคงไปหยุดที่ศิษย์ที่สาม ตงฉีเหว่ย”
…
การประลองกับพวกจ้าวซีซวนที่ผ่านมานั้นมันย่อมทำให้คนทั้งหลายเข้าใจว่าเย่หยวนเก่งกาจ เวลานี้มันไม่ใครที่คิดว่านามรองมหาปราชญ์นี้ไม่สมควรกับเย่หยวนอีกต่อไปแล้ว
แต่จะอย่างไรเสียการท้าทายตัวตนระดับบรรพกาลนั้นมันก็ยังเกินมือของเขาไปไม่น้อย
เพราะจะอย่างไรเสียเหล่ายอดฝีมือบรรพกาลทั้งหลายนั้นต่างมีศิษย์ที่เก่งกาจเป็นสุดยอดตัวตนในวงการโอสถแห่งมหาพิภพถงเทียน!
มีเพียงแค่ต่อหน้าเหล่าบรรพกาลทั้งหลายเท่านั้นที่พวกเขาจะแพ้
ต่อหน้าคนทั่วๆ ไปแล้วพวกเขาย่อมจะเป็นยอดคนเหนือฟ้าดิน
ยอดฝีมือระดับนี้มันย่อมมิใช่ตัวตนที่ใครจะไปท้าทายได้
ไม่นานจากนั้นชายหนุ่มในชุดเขียวอ่อนก็เดินลงมาจากบนเขาพร้อมมองดูเย่หยวนอย่างดูถูก
“เจ้าคือผู้ท้าทายเขาเรา?”
“ใช่”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ใด?”
“ข้ารู้”
“เจ้ารู้แล้วยังกล้ามา?”
“ข้ามาตบหน้าคน!”
“เหอะ พูดจาอวดดีนัก! จักรพรรดิผู้นี้คือศิษย์ลำดับแปดของท่านอาจารย์เฟิงหลิน กู่ยู่หลง ข้าขอชมฝีมือของรองมหาปราชญ์หน่อยเถอะ!”
“เจ้าอ่อนแอเกินไป หากอยากดูก็ไปเรียกบรรพกาลเฟิงหลินออกมาเองเถอะ”
กู่ยู่หลงกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “หวังว่าเจ้าจะมีฝีมือพอที่จะหนุนรับคำพูดนั้น! ในเมื่อเจ้าคิดขึ้นเขาเราแล้วเจ้าก็ต้องผ่านข้าไปให้ได้ก่อน!”
เย่หยวนพยักหน้ารับ “ย่อมได้! มู่เถี่ยเฉิง!”
“โอ้ ข้าน้อยอยู่นี่แล้ว!”
ได้ยินคำเรียกนั้นตัวมู่เถี่ยเฉิงก็รีบเดินออกไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เขานั้นจะอย่างไรก็เป็นถึงจักรพรรดิเทพสวรรค์ขั้นปลายแต่เวลานี้เขากลับวางตัวราวกับเป็นแค่คนใช้ของเย่หยวน
ภายในฝูงชนที่ด้านหลังนั้นตัวฟางเทียนเหรินได้แต่ต้องกัดฟันแน่นอย่างอิจฉาริษยา
เขาเกลียดมัน!
ทำไมเขาต้องไปวางท่าโอหังต่อหน้าเย่หยวนคิดเหยียบย่ำเย่หยวนด้วย?
เดิมทีเขานั้นยังดีใจที่ได้กำไรมาไม่น้อย
แต่เวลานี้เมื่อได้เห็นใบหน้าของมู่เถี่ยเฉิงที่กำลังจะได้ของล้ำค่ามากขึ้นทุกวันๆ เขาก็รู้สึกว่าเงินแค่ไม่กี่ล้านที่ได้มาก่อนหน้านั้นมันช่างไร้ค่าเหลือเกิน
ที่สำคัญไปกว่านั้นเวลานี้เย่หยวนยังไปติดต่อมู่เถี่ยเฉิงมาอีกครั้ง!
หลายวันต่อมามู่เถี่ยเฉิงก็ได้โอสถขั้นเทวะวิญญาณไพศาลอีกเม็ดจนต้องยิ้มกว้างอย่างคนบ้า
ส่วนตัวกู่ยู่หลงนั้นต้องนั่งคอตกอย่างคนไร้สติ
เพราะเขาแพ้อย่างย่อยยับ!
โอสถที่ใช้เป็นหัวข้อนี้มันถูกเลือกโดยตัวเขา มันยากกว่าที่จู้เทียนเซียงเลือกมาก
กู่ยู่หลงนั้นแสดงฝีมืออกมาได้อย่างเก่งกาจแต่สุดท้ายก็ยังพ่ายแก่เย่หยวนสิ้นเชิง
เย่หยวนนั้นเดินขึ้นต่อไปไม่นานก็มีอีกคนก้าวออกมารับหน้า
คู่ต่อสู้ของเขาครั้งนี้เป็นศิษย์ลำดับหกของจักรพรรดิเทพสวรรค์เฟิงหลิน
แต่ผลลัพธ์มันก็ไม่แตกต่าง
ศิษย์ทั้งหลายจากนั้นเองต่างก็พ่ายแพ้แก่เย่หยวนสิ้น
ไม่ว่าอีกฝ่ายนั้นจะเลือกโอสถใด เย่หยวนก็จะเอาชนะมาได้อย่างหนักแน่น
สภาพของเย่หยวนในเวลานี้มันคือยอดฝีมือไร้พ่าย ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหนมันก็ไม่อาจจะขยับเคลื่อนหยุดยอดคนผู้นี้ได้
ฝีมือของเขานั้นแข็งแกร่งราวขุนเขาอย่างที่ไม่อาจจะมีใครมาขยับเคลื่อนได้
จนสุดท้ายเย่หยวนก็ได้มาเจอศิษย์ลำดับสาม ตงฉีเหว่ย
เหตุผลที่คนทั้งหลายคาดเดาไปว่าเย่หยวนจะแพ้ให้แก่ตงฉีเหว่ยนั้นก็เพราะว่าตั้งแต่ตัวเขาขึ้นไปนี้เหล่าศิษย์ทั้งหลายต่างเป็นยอดฝีมืออาณาจักรบรรพกาลขั้นปลายสิ้น
อาณาจักรบรรพกาลขั้นปลายนั้นมันคือตัวตนที่อยู่ในจุดสุดยอดของเต๋าโอสถ
ตราบเท่าที่ยอดคนระดับบรรพกาลไม่ลงมาเอง พวกเขาทั้งหลายนี้ก็จะเป็นตัวตนที่ไร้พ่ายในโลกหล้า!
เมื่อตงฉีเหว่ยเห็นเย่หยวนเขาก็กล่าวขึ้นมา “เดินขึ้นมาถึงตรงนี้ย่อมเก่งกาจไม่น้อย! สมชื่อรองมหาปราชญ์จริงๆ เพียงแค่ว่ามันจะได้จบลงตรงนี้แล้ว”
เย่หยวนตอบกลับไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย “เจ้าเป็นผู้น้อย เจ้าเลือกโอสถมา”
ตงฉีเหว่ยหน้ากระตุกกล่าวขึ้น “โอหังอวดดี! ในเมื่อเจ้ารนหาที่เองแล้วจักรพรรดิผู้นี้ก็จะสนองให้เจ้า! ข้าเลือกโอสถยอดเทพกลั่น!”
เย่หยวนพยักหน้ารับ “เริ่มเถอะ”
ตงฉีเหว่ยที่ได้ยินจึงต้องขมวดคิ้วแน่น “มันเป็นการประลองโอสถ มันย่อมต้องเริ่มพร้อมๆ กันสิ”
เย่หยวนตอบกลับไป “ข้านั้นหลอมโอสถด้วยเต๋าค่ายกล หากข้าเริ่มเจ้าก็ไม่ต้องหลอมใดๆ แล้ว เช่นนั้นเจ้าจะยิ่งเสียหน้าไปกันใหญ่”
ตงฉีเหว่ยกล่าวขึ้นด้วยความไม่พอใจ “เต๋าค่ายกลหลอมโอสถ! เจ้าจะหลอมโอสถยอดเทพกลั่นด้วยเต๋าค่ายกล?”
แต่ในเวลานั้นตัวกู่ยู่หลงกลับก้าวออกมาด้วยรอยยิ้มแห้งๆ “ศิษย์พี่สาม เขานั้นใช้เต๋าค่ายกลหลอมโอสถมาตลอดทางจริง!”
ตงฉีเหว่ยที่ได้ยินก็สั่นสะท้านไปทั้งกายก่อนจะหันไปมองเย่หยวนอย่างประหลาดใจอีกครั้ง
สุดท้ายเขาก็พยักหน้าออกมา “ได้ เช่นนั้นข้าจะเริ่มก่อนแล้ว! วันนี้ข้าจะขอดูฝีมือการหลอมโอสถด้วยเต๋าค่ายกลของเจ้าหน่อย!”
เจ็ดวันจากนั้นตงฉีเหว่ยก็ต้องมองดูที่โอสถขั้นเทวะวิญญาณมรณาที่ตรงหน้าอย่างไม่อาจเชื่อสายตา เขานั้นไม่ทันรู้ด้วยซ้ำว่าเย่หยวนเดินผ่านเขาไปตั้งแต่เมื่อใด
ส่วนทางมู่เถี่ยเฉิงนั้นยิ่งยิ้มกว้างจนหัวใจแทบหยุดเต้นพร้อมเก็บโอสถยอดเทพกลั่นนั้นลงไป
………………..