ข่าวใหญ่หนึ่งได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหทัยเมฆา
ข่าวนั้นคือเรื่องที่ว่าห้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าได้ลงโทษศิษย์ของตนและให้ศิษย์คนโตของแต่ละดินแดนออกมาก้มหัวขอโทษแก่คนติดตามทั้งสองของรองมหาปราชญ์
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้านั้นได้ออกมายอมรับว่าพวกจ้าวซีซวนทั้งห้านั้นได้วางแผนร้ายให้คนติดตามทั้งสองของรองมหาปราชญ์มาติดกับ
เรื่องราวเช่นนั้นมันเป็นการหมิ่นเกียรติผู้อาวุโสและควรถูกลงโทษอย่างร้ายแรง!
และปิดท้ายมาด้วยเรื่องที่ว่าห้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นได้เปลี่ยนท่าทีและยอมรับว่าเย่หยวนนั้นคือยอดฝีมือระดับบรรพกาลอย่างแท้จริง!
ข่าวนี้มันได้ทำให้วงการโอสถของทั้งมหาพิภพต้องตกสู่ความโกลาหล!
บ้างก็ว่ากันว่าเย่หยวนนั้นได้กดหัวห้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ลงด้วยตัวคนเดียว ทำให้เหล่ายอดฝีมือบรรพกาลทั้งหลายต้องก้มหัวลงอย่างไม่มีทางเลือก
บ้างก็ว่าเพราะเย่หยวนนั้นเอาชนะจางจื้อหลิงได้ด้วยกำลังที่อยู่ในจุดสุดยอดนี้เหล่าบรรพกาลทั้งหลายจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องก้มหัวลงให้เพราะเห็นแก่หน้ามหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล
เพียงแค่ว่าเรื่องใดเป็นความจริงนั้น มันไม่มีฝ่ายไหนออกมาอธิบายให้กระจ่าง
ไม่มีใครทราบได้ว่าในโถงใหญ่ที่ยอดเขานั้นมันเกิดเรื่องราวใดขึ้นกันแน่
แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่เป็นที่ประจักษ์คือเรื่องครั้งนี้เย่หยวนเป็นฝ่ายชนะอย่างเด็ดขาด
พวกจ้าวซีซวนทั้งห้านั้นไม่ยอมขอโทษจบเรื่องแต่แรก สุดท้ายกลับทำให้ทั้งสำนักของตนต้องก้มหัวลงขอโทษตาม
เรื่องราวนี้มันได้ทำให้คนทั้งหลายต้องตกตะลึงไปตามๆ กัน
เมื่อพวกจักรพรรดิเทพสวรรค์เจิ้งหมิงได้เห็นพวกจ้าวซีซวนมาก้มหัวขอโทษ พวกเขาก็ต้องยืนตะลึง
พวกจ้าวซีซวนนั้นย่อมมีฝีมือพลังบ่มเพาะต่ำกว่าจักรพรรดิเทพสวรรค์เจิ้งหมิงแต่ตำแหน่งสถานะของพวกจ้าวซีซวนนั้นเหนือล้ำกว่าเขาไปอย่างคนละโลก
ส่วนตัวเฒ่าขี้เมานั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงไปกันใหญ่
เมื่อพวกจักรพรรดิเทพสวรรค์จื่อจินทั้งสามได้ยินเรื่องเข้า พวกเขาต่างก็ยื่นนิ่งด้วยความมึนงง
ก่อนหน้านี้พวกเขาทั้งหลายนั้นยังคิดว่าเย่หยวนหาเรื่องใส่ตัวคิดไปท้าทายขุนเขาเช่นนั้น
แต่ใครจะไปคิดว่าเรื่องราวกลับออกมาอย่างร้ายแรง กลายเป็นว่าฝ่ายห้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก้มหัวลงขอโทษตามๆ กันแทน!
“บ้าน่า! หรือว่าเจ้าเด็กคนนั้นมันจะขึ้นไปถึงระดับของโอสถเต๋าแล้วจริง?” จื่อจินนั้นร้องกล่าวขึ้นอย่างไม่คิดอยากเชื่อ
เย่หยวนนั้นมีฝีมือเอาชนะได้แม้แต่จางจื้อหลิง มีหรือที่ตัวเขาจะเอาชนะได้?
แล้วคนที่แสวงเต๋าโอสถ มีใครบ้างที่จะไม่อยากก้าวขึ้นถึงระดับโอสถเต๋า?
ด้วยความที่เป็นศิษย์คนเล็กของโอสถบรรพกาลตัวจื่อจินเองก็ย่อมจะเป็นถึงเจ้าฟ้าดินและมีวิชาเต๋าโอสถในอาณาจักรบรรพกาลขั้นปลาย
แม้ว่าเขาจะยังอยู่ห่างจากขั้นสุดไปนิดหน่อยแต่เป้าหมายของตัวเขามันก็ย่อมจะเป็นที่โอสถเต๋าเช่นกัน!
ภายใต้การสั่งสอนของโอสถบรรพกาลนั้นมีเพียงแค่ศิษย์พี่ใหญ่จักรพรรดิเทพสวรรค์ฉางเล่อและศิษย์พี่รองจักรพรรดิเทพสวรรค์เหยาชูของเขาเท่านั้นที่ก้าวขึ้นไปถึงระดับโอสถเต๋าได้
ศิษย์คนอื่นๆ นั้นไม่มีใครที่จะก้าวผ่านระดับนี้ไปได้
หนึ่งสำนักแต่กลับมีผู้บรรลุโอสถเต๋าถึงสามคน แน่นอนว่าอาณาจักรหทัยเมฆานี้ย่อมจะสมได้รับฉายานามเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งในมหาพิภพถงเทียน
“อาจารย์อาท่านเองก็คิดมากเกินไปแล้ว! เจ้าเด็กคนนั้นมันเอาชนะจางจื้อหลิงได้จริง แน่นอนว่ามันย่อมมีพรสวรรค์ล้ำฟ้าจนทำให้เหล่าเจ้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้านั้นเกรงว่าจะไปลบหลู่มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลเข้า พวกเขาทั้งหลายจึงเลือกที่จะยอมถอยให้ก็เท่านั้น” เล้งเทียนฉีกล่าว
“ใช่แล้ว ท่านจื่อจินอย่าได้คิดให้มันมากความนักเลย ความยากของย่างก้าวนั้นมันยากเกินกว่าที่ใครจะผ่านไปได้! ท่านทั้งหลายนั้นมีพรสวรรค์เหนือล้ำฟ้าดินกันปานใดแต่ก็ยังไม่อาจจะก้าวขึ้นไปได้ มีหรือที่เด็กน้อยอายุแค่ไม่กี่พันปีอย่างมันนี้จะผ่านขึ้นไปได้?” จักรพรรดิเทพสวรรค์ชิงหยูกล่าวขึ้นตาม
แต่ตัวจักรพรรดิเทพสวรรค์จื่อจินนั้นกลับไม่คิดเช่นนั้นเลย
เขานั้นหยุดคิดไปอีกพักใหญ่ก่อนจะบอกขึ้น “ข้าเกรงว่ามันคงบรรลุขึ้นอาณาจักรโอสถเต๋าได้แล้วจริง!”
เมื่อคนทั้งสองได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของพวกเขามันก็เปลี่ยนสีไป
จื่อจินกล่าวขึ้นต่อ “เรื่องราวที่อาจารย์ย้ำมานั้นมันเหนือล้ำกว่าที่พวกเจ้าคาดคิดไปมาก หากเขานี้ยังไม่ขึ้นถึงระดับโอสถเต๋าแล้วมันก็คงไม่มีทางใดที่อาจารย์จะให้ความสำคัญกับเขามากขนาดนี้! ที่สำคัญไปกว่านั้นคือห้าเจ้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้เองก็แสนฉลาดมากเล่ห์ หากเย่หยวนไม่มีกำลังมากพอมีหรือที่พวกเขาจะยอมก้มหัวลงง่ายๆ เช่นนี้? ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนใหญ่คนโตเช่นใดแต่การสั่งให้ศิษย์ของตนไปกราบขอโทษคนอื่นเช่นนี้มันก็เป็นการเสียหน้าอย่างมาก!”
เมื่อพวกชิงหยูได้ยินพวกเขาก็ตื่นตะลึงอย่างไม่อาจจะตอบใดๆ กลับมาได้
เรื่องราวตรงหน้านี้มันยิ่งใหญ่เกินไป!
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือจื่อจินวิเคราะห์ได้อย่างมีหลักเหตุผลรองรับหนักแน่นจนไม่อาจหาข้อเถียงได้
เพราะหากอยู่ในตำแหน่งสูงล้ำอย่างเขานี้ การจะวิเคราะห์เรื่องราวมันก็คงมิใช่เรื่องยากใด
เพียงแค่ว่าต่อให้จะรู้ แต่มันก็ไม่มีใครคิดอยากเชื่อ
“เช่นนั้น… มันเป็นไปได้อย่างไร? มันยังเป็นแค่เด็กน้อยอยู่เลยนะ!” จักรพรรดิเทพสวรรค์ชิงหยูร้องขึ้น
เขานั้นทำงานรับใช้โอสถบรรพกาล ตัวเขาย่อมจะรู้ถึงอาณาจักรที่เรียกว่าอาณาจักรโอสถเต๋า
จื่อจินนั้นหรี่ตาลงพร้อมด้วยความกังวลขึ้นในหัวใจ ก่อนจะต้องถอนหายใจยาวกล่าวขึ้น “ในที่สุดข้าก็ได้รู้เสียทีว่าเหตุใดท่านอาจารย์จึงได้คิดจัดงานใหญ่โตอย่างงานประชุมโอสถสหภูมิภาคนี้ขึ้นมา!”
ชิงหยูและเล้งเทียนฉีต่างสั่นสะท้านขึ้นทันทีที่ได้ยินคำกล่าวนั้น “หรือว่า… มันจะเป็นเพราะเย่หยวนผู้นี้?”
จื่อจินนั้นพยักหน้ารับ “อาจารย์นั้นสนใจเพียงแค่เต๋าและไม่ได้สนใจเรื่องทางโลกมานานแสนนาน ท่านนั้นไม่ได้จัดงานยิ่งใหญ่อย่างงานประชุมโอสถสหภูมิภาคนี้มานานเท่าใดพวกเจ้าก็รู้ดี แต่ครั้งนี้ท่านกลับคิดจัดการงานประชุมโอสถสหภูมิภาคอย่างไม่ลังเล เจ้าไม่คิดว่ามันแปลกหรือ?”
ยิ่งจื่อจินวิเคราะห์มาก คนทั้งหลายก็ยิ่งตื่นตะลึงมาก
เล้งเทียนฉีนั้นบ่มขึ้นมาพึมพำ “นี่มัน… วิหารนักบวชนั้นเป็นศัตรูกับอาณาจักรทหัยเมฆาเป็นทุนเดิม ด้วยความที่มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นอยู่ต่ำกว่าโอสถบรรพกาลท่านไปเพียงน้อยนิด หาก… หากเย่หยวนนี้ขึ้นมาถึงอาณาจักรโอสถเต๋าได้จริงๆ แล้ว เช่นนั้น…”
คิดมาถึงตรงนี้เล้งเทียนฉีก็ต้องสั่นสะท้านอย่างเย็นเยือก!
อาณาจักรทหัยเมฆานั้นมียอดคนระดับโอสถเต๋าถึงสามคน มีตำแหน่งเป็นยอดค่ายสำนักที่เก่งกาจที่สุดในด้านการโอสถ
แต่เมื่อเย่หยวนเองก็ก้าวขึ้นมาถึงขั้นนี้ได้ มันก็จะหมายความว่าทางวิหารนักบวชนั้นได้มียอดฝีมือโอสถเต๋าถึงสองคนแล้ว
หากเป็นเช่นนั้นทางวิหารนักบวชก็คงเรืองอำนาจขึ้นอย่างมาก
มันอาจจะเป็นภัยต่ออาณาจักรทหัยเมฆาได้จริงๆ!
จื่อจินนั้นยิ้มออกมาด้วยความขื่นขม “ข้ากลัวว่ามันจะไม่ได้มีแค่นั้น!”
เล้งเทียนฉีที่ได้ยินก็ต้องเบิกตากว้างขึ้น “ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือ?”
แค่เรื่องที่เขาคิดได้นี้มันก็มากพอจะทำให้คนกลายเป็นบ้าได้ หรือว่ามันจะยังมีเรื่องใดที่ร้ายแรงไปกว่านี้?
จื่อจินนั้นมีความคิดที่กว้างไกลกว่าคนทั้งสองนี้ไปมาก
แน่นอนว่าทั้งทักษะการวิเคราะห์และการมองภาพรวมมันย่อมจะเหนือล้ำกว่าคนทั้งสอง
“เย่หยวนนั้นมีชื่อเสียงกึกก้อง มันจะเป็นภัยแค่กับห้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นหรือ? แล้วตัวมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลเล่า? แล้วตัวอาจารย์ข้าเล่า? เย่หยวนนั้นก้าวขึ้นอาณาจักรโอสถเต๋าได้ด้วยอายุเพียงแค่นี้ ใครจะกล้าไปยืนยันว่า… วันหน้าเขาจะไม่อาจหลอมโอสถเต๋าแท้ได้?” จื่อจินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงติดขัด
โอสถเต๋าแท้!
คำพูดนี้มันได้ทำให้เกิดคลื่นปั่นป่วนหัวใจคนทั้งสาม!
ไม่ว่าจะเป็นตัวโอสถบรรพกาลหรือมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล มันก็ล้วนแล้วแต่มีเป้าหมายอยู่ที่โอสถเต๋าแท้นี้!
ส่วนเรื่องที่ว่าโอสถเต๋าแท้มันคืออะไร คนทั้งหลายล้วนไม่มีใครทราบ
นี่มันคือเป้าหมายชีวิต!
“เช่นนั้นแล้วมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลย่อมต้องรู้ เหตุใดเขาจึงได้ปล่อยให้เย่หยวนเติบโตอย่างไม่ควบคุม?” จื่อจินพึมพำ
อีกสองคนนั้นย่อมจะไม่อาจคิดหาคำตอบได้และต้องถามขึ้นมาแทบพร้อมๆ กัน “ทำไมหรือ?”
จื่อจินตอบกลับไป “เพราะว่าเขานั้นคิดใช้เย่หยวนนี้เพื่อช่วยให้ตัวเองเติบโต! หลายปีมานี้เขานั้นคิดอยากเอาชนะอาจารย์ข้ามาตลอด!”
พูดมาถึงตรงนี้คนทั้งหลายก็แทบล้มพับลง รวมไปถึงตัวจื่อจินด้วย
เรื่องราวครั้งนี้มันยิ่งใหญ่เกินไป!
หากมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นเอาชนะโอสถบรรพกาลได้จริงแล้ว เย่หยวนก็ยิ่งจะต้องได้รับแรงส่งที่หนักแน่นกว่าเดิมจนเปลี่ยนวงการโอสถทั้งหมดไปสิ้น!
อาณาจักรทหัยเมฆามันจะไม่ได้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งอีกต่อไป
มันจะกลายเป็นฝั่งวิหารนักบวชแทน!
ในอดีตมานี้มียอดคนมากมายแค่ไหนที่คิดเอาชนะล้มอาณาจักรทหัยเมฆาลง? แต่มันก็ไม่มีใครที่จะทำได้
แม้แต่ตัวมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลผู้เก่งกาจนั้นเองก็ยังถูกอาจารย์ของเขากดไว้จนโงหัวไม่ขึ้น
แต่เวลานี้มันกลับมีเด็กหนุ่มอายุแค่สองพันกว่าปีปรากฏขึ้นมาทำให้วงการโอสถที่หนักแน่นนั้นต้องสั่นคลอน
เมื่อจื่อจินคิดมาถึงความจริงข้อนี้แล้วเขาก็เริ่มกลัวถึงวิกฤตที่อาณาจักรทหัยเมฆาต้องเผชิญในครั้งนี้!
มันก็เป็นเพราะเช่นนี้เองที่ทำให้เกิดงานประชุมโอสถสหภูมิภาคขึ้นมาเพื่อหยุดยั้งเรื่องราวนั้น
เป้าหมายของงานนี้มันคือเย่หยวน!
…………………