บนกระดานหมากเวลานี้หมากฝ่ายดำนั้นมันไม่อาจจะหาทางออกใดๆ ได้อีกต่อไป
หมากฝ่ายขาวนั้นมันกลืนกินพื้นที่ทุกส่วนไป ทำงานหมากดำลงจนสิ้น!
เรื่องนี้เหล่าบรรพกาลทั้งหลายต่างเข้าใจได้ว่าผู้ปกครองหมากกระดานนี้มันคือโอสถบรรพกาล เย่หยวนนั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับหมากนี้อีก
นี่มันคือทางตันที่เย่หยวนไม่อาจจะต่อสู้กลับคืนมาได้แม้แต่น้อย
แต่เวลานี้หมากดำตัวสุดท้ายที่เย่หยวนวางลงมันกลับเป็นเหมือนหมุดปักสวรรค์ แย่งดึงเอาเขตแดนของหมากขาวมาได้
ในโลกที่เปี่ยมไปด้วยหมากขาวนั้น เจ้าหมากดำตัวนี้มันช่างดูโดดเดี่ยวอ่อนแอ ราวกับเปลวเทียนที่อยู่กลางสายฝนอาจดับสิ้นลงได้ทุกเมื่อ
แต่เมื่อมองดูใกล้ๆ แล้วจะเห็นได้ว่าที่ที่เจ้าหมากดำนั้นมันอยู่นั้นมันช่างเหมาะสม
เวลานี้มันจึงได้ปรากฏตราหยินหยางขึ้นอีกครั้ง!
ตราหยินหยางครั้งนี้มันกลับยิ่งหนักแน่นและเหนือล้ำกว่าครั้งใด!
เย่หยวนนั้นได้ฝืนเปิดจุดเขตแดนของตนขึ้นมากลางดงหมากขาว
“ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยมจนเกินไปแล้ว! หมากตานี้มันช่างเหนือล้ำเสียจริง! ฮ่าๆๆ… เจ้าเฒ่า ผลการประลองมันยังไม่แน่หรอก!”
เวลานี้ดวงตาที่หนักจนแทบปิดของมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลมันได้กลับมาเบิกกว้างอย่างเจิดจ้าอีกครั้ง จนยิ่งได้เห็นหมากนั้นได้คิดตามเขาก็ถึงขั้นลุกขึ้นมาปรบมือลั่นหันไปกล่าวต่อโอสถบรรพกาล
เหล่านักหลอมโอสถทั้งหลายบนเขาทหัยเมฆานั้นต่างดูถูกความดื้อด้านของเย่หยวนนี้อย่างถึงที่สุด
เพราะพวกเขานั้นไร้ความสามารถเกินกว่าจะเข้าใจความเหนือล้ำของหมากตานี้ได้
แต่เหล่าบรรพกาลทั้งหลายในเวลานี้ต่างต้องผงะถอยไปตามๆ กัน
เพราะหมากตานี้มันสุดยอดจนเกินจริง มันกลับหาทางรอดมาจากจุดปิดตายนั้นได้คงเรียกได้ว่าหลบรอดจากความตายได้อย่างฉิวเฉียด
หากลองมองดูทั้งกระดานแล้ว มันคงมีแต่จุดนี้ที่จะเป็นทางออกได้
เย่หยวนนั้นวางหมากนี้ลงอย่างที่มันควรถูกวาง
แต่จะอย่างไรการจะหาจุดวางนี้ให้เจอมันก็ยากเสียยิ่งกว่ายาก
เพราะจะอย่างไรเสียแม้แต่ตัวโอสถบรรพกาลที่ควบคุมทุกสิ่งอย่างเองก็ยังไม่อาจจะเห็นถึงจุดที่ว่านี้ได้
เพราะฉะนั้นหลังจากเขาวางหมากตัวสุดท้ายลงเขาจึงได้เดินลงจากกระด้านด้วยมือไพล่พลัง คิดว่าตัวเองคงชนะไปแน่นอนแล้ว
เพราะหากคิดจะหาจุดแห่งความหวังนี้คนผู้นั้นจะต้องมีสายตาที่เฉียบคมต่อเต๋าอย่างมาก มันต้องใช้ความเข้าใจต่อเต๋าโอสถอย่างลึกล้ำและการวิเคราะห์ที่น่ากลัว
ไม่มีสิ่งใดจะขาดไปได้!
ทุกผู้คนนั้นต่างไม่มีใครเห็นถึงจุดความหวังนี้ แต่เย่หยวนกลับเห็นถึงมัน
แค่นี้มันก็มากพอจะบอกแล้วว่าเย่หยวนนั้นมีจุดหนึ่งที่แข็งแกร่งกว่าคนทั้งหลายนี้ไปสิ้น
สีหน้าของโอสถบรรพกาลนั้นมันเป็นเครื่องอธิบายได้ทุกสิ่ง
“เขาทำได้! เจ้าเด็กคนนี้มันสุดยอดเกินไปจริงๆ!”
“ลงหมากตานี้แล้วศึกครั้งนี้มันคงยุ่งยากซับซ้อนขึ้นไปมาก! ใครจะชนะใครจะแพ้นั้นคงมองออกยากแล้ว!”
“การประลองนี้ไม่ว่าใครจะชนะหรือแพ้อย่างไร มันก็คงเป็นเย่หยวนที่แสดงถึงชัยชนะได้อย่างแจ่มชัด! เต๋าของเขาจะต้องพัฒนาไปอีกสุดล้ำแน่!”
…
เหล่าบรรพกาลทั้งหลายนั้นต่างถอนหายใจยาวขึ้นอย่างตื่นตะลึง ไม่มีใครคิดกล่าวชมเย่หยวนใดๆ
จะบอกว่าหมากตานี้มันทำให้ฟ้าดินต้องสั่นสะท้านจนเหล่าทวยเทพผีสางร้องไห้ตกตะลึงก็คงไม่ผิด
หมากตานี้มันยิ่งทำให้เต๋าของเย่หยวนนั้นใกล้เคียงความสมบูรณ์มากขึ้น
“เชิญ”
ด้านบนท้องฟ้าบนกระดานหมากนั้นเย่หยวนกล่าวเชิญโอสถบรรพกาลขึ้นมาด้วยเสียงแหบพร่า
พร้อมๆ กันนั้นคลื่นพลังของยอดเต๋ามันก็กลับมาเร่าร้อนรุนแรงขึ้นอีกครั้ง
และร่างกายแห้งเหี่ยวของเขานั้นมันก็เริ่มฟื้นฟูกลับมาด้วยพลังของยอดเต๋านั้น
โอสถบรรพกาลต้องหรี่ตาทั้งสองลงและก้าวขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง
เงาร่างยักษ์ของโอสถบรรพกาลปรากฏแก่สายตาทุกผู้คนอีกครา!
เวลานี้บนเขาทหัยเมฆานั้นมันเกิดความแตกตื่นขึ้นตามๆ กัน
โอสถบรรพกาลที่ลุกจากที่นั่งไปแล้วมันย่อมจะหมายถึงว่าเกมนี้มันจบลงแล้ว
แต่การที่เขาต้องกลับมานั่งมันย่อมหมายความว่าหมากตัวนั้นบังคับให้เกมดำเนินต่อ!
โอสถบรรพกาลนั้นถูกหมากตานี้ตบหน้าเข้าอย่างแรง!
ความตื่นตะลึงนี้มันเหนือล้ำกว่าที่คนทั้งหลายจะเข้าใจไปมาก
เพียงแค่ว่าพวกเขานั้นไม่ได้เข้าใจเลยว่าหมากตัวนี้มันจะทำให้เกิดเรื่องแบบใดขึ้นตามมา
ฟู่!
โอสถบรรพกาลวางหมากลงด้วยคลื่นพลังต่อสู้สะท้านฟ้าดิน!
เมื่อต้องรับพลังนั้นไปตราหยินหยางมันก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรงจนแทบจางหายไป
แต่ครั้งนี้มันกลับไม่ดับหายไป!
ตราหยินหยางของเย่หยวนนั้นมันกลับสามารถต้านทานพลังการโจมตีของโอสถบรรพกาลไว้ได้!
ด้านนอกเขาทหัยเมฆานั้นมันเกิดความตกตะลึงขึ้นในฝูงชนอีกครั้ง
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมรองมหาปราชญ์ถึงแข็งแกร่งขึ้นมาเช่นนี้?”
“มาจนถึงป่านนี้แล้ว หรือว่าเขาจะยังคิดประลองอีก?”
“พระเจ้าช่วย หรือว่าตำนานของรองมหาปราชญ์นั้นจะยังไม่จบลงจริงๆ? นี่วงการโอสถเราจะได้เปลี่ยนฟ้าหรือ?”
…
ฟู่!
ครั้งนี้เย่หยวนวางหมากลงตามในทันที
ฟู่!
ทางโอสถบรรพกาลก็ยังคงกดดันไว้อย่างหนักแน่น!
คนทั้งสองหนึ่งมาหนึ่งไป หมากต่อหมาก ตาต่อตา สังหารกันไปจนกลายสภาพสู่ความโกลาหล
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของผู้คนนั้นดินแดนของหมากดำปกครองมันก็ค่อยๆ ขยายตัวขึ้นพร้อมตราหยินหยางที่นับวันยิ่งหนักแน่นแข็งแกร่ง
เจ้าหมากดำตัวนั้นมันเหมือนดังต้นไฟที่เผาผลาญฟ้าดินบนกระดานหมากนี้
คนทั้งสองนั้นยังคงต่อสู้แย่งชิงดินแดนกันไปเรื่อยๆ จนเข้ามาถึงช่วงเข้าตาจนทั้งสองฝ่าย
แน่นอนว่าจะอย่างไรโอสถบรรพกาลนั้นก็เป็นโอสถบรรพกาล
เขานั้นมีพลังที่ไร้ต้าน
แต่เย่หยวนในเวลานี้เองก็ไม่ได้มีสภาพไร้ทางสู้เหมือนก่อนหน้าแล้ว
เหล่าบรรพกาลทั้งหลายต่างแทบลืมหายใจมองดูคลื่นพลังยอดเต๋าที่ปะทะกับอยู่บนท้องฟ้ากว้าง แต่ละครั้งที่หมากถูกวางลงนั้นมันจะเกิดแรงสั่นสะท้านจนขนลุก
ไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องราวมันจะพัฒนามาจนถึงจุดนี้
“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมเสียจริงๆ! เย่หยวนนั้นกลับเริ่มยืนหยัดและแย่งชิงดินแดนกลับคืนมาจากโอสถบรรพกาลได้แล้ว!”
“เย่หยวนนั้นไม่ได้มีกำลังเด็ดขาดอย่างโอสถบรรพกาลแต่เต๋าของเขานั้นกลับเหมือนมีพลังวิเศษ ดูอย่างไรมันก็ไม่ได้แข็งแกร่งแต่กลับสามารถเอาชนะผู้แข็งแกร่งมาได้ด้วยพลังของผู้อ่อนแอ”
“ข้าสัมผัสได้ว่าเต๋าที่ตราหยินหยางนั้นแสดงออกมามันลึกลับสุดหยั่ง เทียบเคียงได้กับเต๋าสวรรค์เลยทีเดียว”
…
หลังจากเย่หยวนประสบเหตุเสี่ยงตายนั้นเขาจะพัฒนาไปอย่างกับเป็นคนละคนเสมอ
ดูท่าแล้ว ประโยชน์ที่ศึกนี้ให้แก่เย่หยวนมันคงมากล้น
หมากนั้นยังคงถูกวางลงไปเรื่อยๆ จนคนทั้งสองต้องเข้าสู่ความยากลำบาก
จนในที่สุดเย่หยวนก็เป็นฝ่ายวางหมากตัวสุดท้ายลง
จบเกม!
อึก!
ทุกผู้คนต่างกลืนน้ำลายลงพร้อมๆ กันพร้อมความเงียบงันที่ปกคลุม
เย่หยวนนั้นกลับไล่บี้โอสถบรรพกาลมาจนถึงจุดนี้ได้!
“นี่มัน… ข้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่? การพลิกกลับนี้มันจะเหนือล้ำเกินไปแล้ว!”
“มันเป็นการพลิกกลับอย่างเด็ดเดี่ยว! ดูอย่างไรก็พ่ายแพ้ไปแล้วแต่กลับพลิกสถานการณ์มาได้จนถึงขั้นนี้”
“น่าเสียดาย! มันน่าเสียดายจริง! แค่อีกนิดเดียวแท้ๆ!”
…
บนเขาทหัยเมฆานั้นมันเกิดเสียงโห่ร้องฮือฮาขึ้นตามๆ กัน
ร้อยปีแรกนั้นเย่หยวนถูกโอสถบรรพกาลกดดันจนโงหัวไม่ขึ้น
สุดท้ายนั้นเขากลับใช้เวลาหนึ่งเดือนนี้ โจมตีสวนกลับไปอย่างหนักหน่วงดุดันเปลี่ยนสภาพของกระดานไปจนถึงจุดนี้
บนกระดานหมากฟ้าดินนั้นดินแดนที่ฝ่ายขาวและฝ่ายดำยึดครองไว้มันแทบจะเท่าเทียมกัน
จะอย่างไรการโต้กลับของเย่หยวนนี้มันก็รุนแรงหนักหน่วงจนทำให้คนทั้งหลายรู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูก
คนทั้งหลายที่ในตอนแรกยังว่ากล่าวดูถูกเย่หยวนไว้กลับกลายเป็นส่งเสียงโห่ร้องสนับสนุนเย่หยวนลั่นในตอนหลังๆ
“ห่างกันไปแค่ครึ่งจุด! ห่างกันไปเพียงแค่ครึ่งจุด! ฮ่าๆๆ… เจ้าหนุ่ม จริงๆ เลย… ฮ่าๆๆ… สุดยอดจนเกินไป! น่าตะลึงจนเกินไป!”
มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นได้แต่หัวเราะลั่นปรบไม้ปรบมืออย่างกับคนเสียสติ
เย่หยวนนั้นแพ้ไปแค่ครึ่งจุด!
แต่ไม่มีใครคิดว่าเขานั้นพ่ายแพ้เลย!
ตั้งแต่สถานการณ์พ่ายแพ้ราบคาบจนพลิกกลับมา ฆ่าล้างสังหารแย่งชิงจนมาแพ้แค่ครึ่งจุด เย่หยวนนั้นคงเรียกได้ว่าเป็นผู้ชนะในจิตใจของคนทั้งหลายแล้ว
เย่หยวนและโอสถบรรพกาลค่อยๆ เดินลงมาจากกระดานพร้อมๆ กันจนมาหยุดบนลานเมฆ
สภาพของเย่หยวนในเวลานี้มันฟื้นฟูกลับมาจนถึงขั้นสูงสุดและดูลึกล้ำไปกว่าเก่า ทำให้แม้แต่เหล่าบรรพกาลทั้งหลายก็ยังไม่อาจจะมองเขาได้ออกแล้ว
“ศึกนี้ สหายหนุ่มเย่ได้เบิกหูเบิกตาคนทั้งโลกจริงๆ!”
โอสถบรรพกาลเบิกตาทั้งสองของเขามองดูเย่หยวนพร้อมกล่าวขึ้น
เย่หยวนที่ได้ยินก็ยิ้มตอบกลับไป “ขอบพระคุณโอสถบรรพกาลที่ชี้แนะให้ข้าได้เข้าถึงเป้าหมาย ให้เย่ผู้นี้ได้เดินอ้อมไปไม่น้อย ท่านเคยให้ ‘อย่าถาม’ ชี้แนะไปสองคำกับผู้อาวุโสศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล วันนี้ท่านไม่คิดจะชี้แนะให้เย่ผู้นี้สักสองคำบ้างหรือ?”
………………