ระหว่างที่พวกฉินหูทั้งสองกลัวกันจนหัวหดไม่กล้าออกไปไหนนั้นตัวเย่หยวนก็ได้เดินทางออกจากเมืองเมฆหนุนมาเป็นที่เรียบร้อย
เขานั้นย่อมจะไม่คิดอยู่เล่นกับคนทั้งสองให้มากมายนัก ที่สำคัญไปกว่านั้นเขาก็รู้ดีว่าหลายครั้งที่ตายไปนั้นแต้มเทพสงครามที่คนทั้งสองเหลืออยู่มันคงไม่มากมายนักแล้ว
เขานั้นได้แต้มเทพสงครามมามากพอแล้วและไม่ต้องไปสนใจคนทั้งสองใดๆ อีก
แต่ทว่าคนทั้งสองนั้นก็ยังกลัวที่จะถูกดักสังหารจนไม่กล้าออกไปไหนอีกนานแสนนาน
พวกเขานั้นยอมที่จะถูกเต๋าสวรรค์ทำลายสังหารดีกว่าถูกเย่หยวนแย่งแต้มเทพสงครามไป
หุบเขาสุริยันจันทรานั้นมันเป็นสถานที่ที่นับได้ว่าอันตรายมากในเขตของเมืองเมฆหนุน
ในหุบเขานี้มันมีสัตว์ร้ายระดับจักรพรรดิเทพสวรรค์ขั้นกลางอยู่มากมาย
ด้วยสภาพของเย่หยวนนั้นที่แห่งนี้จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะสมแก่การฝึกฝนบ่มเพาะที่สุด
แต่ก่อนจะจากมาเย่หยวนก็ไปที่โถงสมบัติวิญญาณอีกครั้งเพื่อใช้แต้มเทพสงครามที่ได้มาจากพวกฉินหูเพื่อแลกกับดาบสมบัติวิญญาณจักรพรรดิเทพสวรรค์ขั้นต่ำสามสิบหกเล่ม
เขานั้นปรับเปลี่ยนค่ายกลดาบนั้นเล็กน้อยโดยใช้สิบสองสมบัติวิญญาณจักรพรรดิเทพสวรรค์ขั้นสุดนั้นเป็นแกนและใช้สมบัติวิญญาณจักรพรรดิเทพสวรรค์ขั้นต่ำทั้งสี่สิบแปดเล่มเป็นศูนย์รองควบคุมดาบสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์นับพันๆ เล่มนั้น
เท่านี้ด้วยการนำของสมบัติวิญญาณจักรพรรดิเทพสวรรค์ขั้นสุดทั้งหลายค่ายกลดาบมันก็จะยิ่งทรงพลังมากขึ้น
ในมิติสงครามดึกดำบรรพ์นี้ตราบเท่าที่ออกจากเมืองคนทั้งหลายก็จะพบเจออันตรายได้มากมายหลายรูปแบบ
แน่นอนว่าในพื้นที่ใกล้ๆ เมืองนั้นมันย่อมจะมีสัตว์ร้ายที่อ่อนแออาศัยอยู่แต่ยิ่งออกไปไกลจากตัวเมืองสักเท่าไหร่มันก็จะยิ่งเจอสัตว์ร้ายที่เก่งกาจเท่านั้น
ระหว่างเดินทางมานี้เย่หยวนได้ฆ่าสังหารสัตว์ร้ายไปมากมายแต่แต้มเทพสงครามของเขานั้นกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นมากมายใดๆ
เป็นตอนนี้เองที่เขาได้รู้ว่าการหาแต้มเทพสงครามนั้นแท้จริงแล้วมันยากเย็นเพียงใด
การสังหารสัตว์ร้ายระดับต่ำนั้นมันไม่อาจจะหาแต้มเทพสงครามได้มากมายนัก
แต่แม้การสังหารเหล่าสัตว์ร้ายระดับสูงจะได้แต้มไม่น้อยแต่เมื่อระดับยิ่งขึ้นสูงได้แต้มเทพสงครามสะสมไว้มาก แต้มที่จะได้ใหม่มันก็ยิ่งน้อยลงๆ ตาม
เช่นนั้นแล้ววันหนึ่งคนทั้งหลายก็คงจะมาถึงทางตัน
เพราะฉะนั้นในที่แห่งนี้มันจึงมีแต่ต้องพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ก้าวข้ามตัวเองในทุกๆ วัน
“เอ๋ ที่รัก มันมีหนุ่มน้อยอยู่ตรงนั้นด้วย!”
“เจ้าอย่าได้ไปมอง! ขืนมองมันอีกข้าจะฆ่าสังหารมันแล้ว!”
“ฮี่ๆ ที่รัก ข้าล่ะชอบท่าทางหึงหวนของเจ้าจริงๆ! ทำไมเล่า ไปสังหารเขาด้วยกันเลยไหม?”
“ฮั่วๆ เมียข้า ข้านั้นชื่นชอบใบหน้าท่าทางของเจ้ามากที่สุด! แต่จะอย่างไรเจ้าหนุ่มคนนี้มันก็มีพลังบ่มเพาะต่ำต้อย ฆ่าสังหารไปก็คงไม่ได้ประโยชน์ใด ปล่อยมันไปเถอะ”
“ฮี่ๆ ที่รักของข้าช่างมีเมตตานัก! ข้ารักเจ้า!”
“ฮั่วๆ เมียข้า ข้าก็รักเจ้าไม่แพ้กัน!”
…
ไม่ไกลออกไปนั้นมีคู่ชายหญิงกำลังเดินเข้ามาใกล้
แต่คำพูดของคนทั้งสองนี้มันทำให้เย่หยวนต้องขนลุกทั้งกาย
คนทั้งสองนี้ดูอย่างไรก็คงเป็นนักยุทธแล้ว เพียงแค่ว่าคำพูดและน้ำเสียงของคนทั้งสองนั้นมันทำให้ใครก็ตามที่ได้ยินต้องขนลุกซ่าน
เย่หยวนหันไปมองดูและพบว่าฝ่ายชายนั้นมีหน้าตาอัปลักษณ์ดูไม่ได้ ส่วนฝ่ายหญิงเองก็สมกับฝ่ายชายอย่างมาก
แต่ฝ่ายชายนั้นกลับบอกว่าฝ่ายหญิงนั้นงดงามหมดจน ฝ่ายหญิงเองก็กล่าวบอกว่าฝ่ายชายนั้นสูงล้ำหล่อเหลา
เขานั้นไม่เข้าใจเลยเสียจริงๆ ว่าคนทั้งสองไปเอาความมั่นใจผิดๆ เช่นนี้มาจากที่ไหน
คนทั้งสองนี้ช่างเหมาะสมกันเป็นผีเน่าโลงผุอย่างที่ไม่อาจจะหาคู่ใดๆ ได้อีกแล้ว
แต่ชายหญิงหน้าตาอัปลักษณ์เช่นนี้ก็กลับเป็นถึงเด็กชะตาไร้คาดเดาเช่นกัน เย่หยวนอดไม่ได้ที่จะตื่นตะลึงขึ้นในใจ
อย่างที่คนว่ากันไว้ว่าอย่าได้มองคนจากภายนอก มันคงเป็นเพราะเช่นนี้เอง
แต่เย่หยวนนั้นไม่คิดสนใจใดๆ และหันหน้าคิดเดินหนีไปทันที
หากอีกฝ่ายนั้นคิดลงมือจริงแล้ว เขาก็ไม่ได้เกรงกลัวใดๆ
แต่ไม่มีใครคิดใครฝันว่าฝ่ายหญิงนั้นกลับจะร้องเรียกเขาขึ้นมา “น้องชาย เจ้านั้นมีพลังฝีมือต่ำต้อย ทำไมไม่มากับเราเล่า? เราสามีภรรยาจะช่วยปกป้องเจ้าเอง!”
เมื่อฝ่ายชายได้ยินเขาก็ร้องลั่นขึ้นมาอย่างไม่พอใจทันที “อ่า อกข้าจะแตกตายแล้ว เจ้าคงไม่ได้คิดหลงใหลเจ้าหนุ่มคนนี้มันหรอกใช่หรือไม่?”
ฝ่ายหญิงนั้นได้แต่กลอกตากล่าวขึ้น “ที่รักก็! ข้านั้นแค่เห็นเจ้าหนุ่มคนนี้แล้วนึกถึงลูกเรา! หากเขายังอยู่นั้นเขาก็คงหล่อเหลาไม่แพ้เขาใช่หรือไม่?”
พูดไปน้ำตาของฝ่ายหญิงก็ค่อยๆ ไหลร่วงลงมา
เมื่อฝ่ายชายได้ยินเขาก็ต้องชะงักเงียบปากลงทันที
เย่หยวนนั้นย่อมจะไม่ได้คิดสนใจคนทั้งสองมาแต่แรกแต่เมื่อได้เห็นอีกฝ่ายทักขึ้นมาเช่นนี้แล้วการจะไปโดยไม่พูดไม่กล่าวใดๆ มันก็คงเสียมารยาทจนเกินไป
แต่จะอย่างไรก่อนที่เขาจะทันได้เปิดปากขึ้นมาปฏิเสธฝ่ายชายนั้นก็พูดขึ้น “เด็กน้อย เจ้าได้ยินแล้วนะ เมียข้านั้นสงสารเจ้า ภายในหุบเขาสุริยันจันทรานี้เจ้าเดินทางไปกับเราสองสามีภรรยาเถอะ!”
เย่หยวนได้แต่ยิ้มตอบกลับไปพร้อมยกมือคารวะ “ขอบคุณพวกท่านสองสามีภรรยามาก แต่ข้านั้นชอบที่จะเดินทางคนเดียวและไม่ขอเป็นภาระพวกท่านดีกว่า”
คำพูดของเขานี้มันอ่อนน้อมอย่างมาก
เพราะอย่างไรเสียอีกฝ่ายก็ไม่ได้หวังร้าย เย่หยวนย่อมจะถือมารยาทไว้บ้าง
เพียงแค่ว่าเมื่อฝ่ายชายได้ยินเขาก็แสดงท่าไม่พอใจออกมา
คิ้วของเขาขมวดแน่นกล่าวขึ้น “บอกให้เจ้าตามมาก็ตามมาสิ จะเรื่องมากอะไรนัก?”
เมื่อเย่หยวนได้ยินเขาก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวออกมา มันช่างเป็นคู่รักคนบ้าจริงๆ
เมื่อฝ่ายหญิงได้ยินนางก็รีบกล่าวขึ้นมาเสริม “พระเจ้าช่วยที่รัก หากเจ้าไปทำให้เจ้าหนุ่มกลัวแล้วมันจะทำอย่างไรกันเล่า? น้องชาย ที่แห่งนี้มันแฝงไปด้วยอันตรายล้ำ! ที่สำคัญไปกว่านั้นคือในหุบเขาสุริยันจันทรามันมีคนร้ายมากมาย เจ้าติดตามเรามาเถอะ แล้วเราจะแบ่งแต้มเทพสงครามให้เจ้าด้วย!”
ฝ่ายหญิงนั้นปกป้องเขาเหมือนเขาเป็นแกะน้อยตัวหนึ่ง
แต่จะอย่างไรเย่หยวนก็มาที่นี่เพื่อบ่มเพาะฝึกฝน ตามคนทั้งสองนี้ไปแล้วมันจะได้ประโยชน์ใด?
เพราะฉะนั้นเขาจึงได้แต่ต้องปฏิเสธ
เย่หยวนยกมือขึ้นคารวะอีกครั้ง “แม่หญิง เย่ผู้นี้ต้องขอขอบคุณในความเมตตาของท่านแต่เย่นี้มาเพื่อบ่มเพาะฝึกฝน ติดตามพวกท่านไปมันคงไม่ได้ประโยชน์ใดแล้ว ข้าขอตัวลาก่อน”
พูดไปเย่หยวนก็หันหน้าคิดเดินจากไป
แต่ในเวลานั้นเองมันกลับปรากฏร่างของคนผู้หนึ่งพุ่งมาขวางหน้าเขาไว้
ชายผู้นั้นมีสีหน้าขุ่นเคืองดูท่าไม่พอใจมาก “เจ้าเด็กคนนี้ ไม่รู้จักรับคุณคน! ในเมื่อเจ้าไม่คิดตามเราไป เราก็จะใช้กำลังลากเจ้าไปแล้ว!”
เย่หยวนที่ได้ยินนั้นก็แทบหลุดหัวเราะออกมา ก็เคยได้ยินเรื่องการบังคับขายของมาก่อน แต่นี่คือการบังคับให้ไปบ่มเพาะฝึกฝนด้วยกัน
“พี่ชายท่านนี้ หากท่านทำให้เย่ผู้นี้อยู่ได้ เย่ผู้นี้จะติดตามพวกท่านไปมันก็คงไม่เสียหาย!” เย่หยวนตอบกลับไป
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาจึงตอบกลับมา “ฮั่วๆ เจ้าเด็กคนนี้ พูดจาใหญ่โตนัก! เจ้าคงยังไม่ได้รู้ถึงนามของเราสองสามีภรรยาใช่หรือไม่? เรานั้นคือเทียนหยวนตี้หยาง นามนี้ของพวกเรานั้นดังลั่นทั้งมหาพิภพถงเทียน!”
เย่หยวนตอบกลับไปด้วยท่าทางเฉยเมย “ผู้อาวุโสเทียนหยวนเชิญลงมือ!”
เทียนหยวนที่ได้ยินก็ต่อยออกมาด้วยใบหน้าดำมืด
แต่การต่อยนี้มันเป็นหมัดที่ออมมืออย่างมาก ในสายตาของเขานั้นโลกใบน้อยของเย่หยวนย่อมจะไม่อาจต้านทานพลังนี้ได้
ส่วนทางตัวตี้หยางนั้นไม่คิดจะกล่าวพูดใดๆ ค่อยมองดูเรื่องราว
เมื่อเห็นหมัดนี้เย่หยวนก็ไม่ได้คิดหลบและต่อยหมัดกลับไป
เขานั้นเข้าใจชัดเจนว่าเทียนหยวนผู้นี้ต้องพูดด้วยภาษาหมัดเท่านั้น!
ตูม!
เสียงระเบิดดังลั่นขึ้นมาตัวเย่หยวนไม่ขยับไปไหนแม้แต่น้อยแต่ตัวเทียนหยวนนั้นกลับต้องถอยไปหลายก้าว
คลื่นพลังหนักหน่วงที่ค้างอยู่ในช่องท้องนั้นทำให้เขาต้องใช้ปราณเทวะรีบปัดเป่ามันออก
หมัดนี้เย่หยวนเองก็ออมมือไว้ไม่น้อย
แต่ทั้งสองผัวเมียนั้นแสดงสีหน้าตื่นตะลึงขึ้นมาพร้อมๆ กันดูท่าแล้วคงไม่นึกฝันว่าเย่หยวนจะเก่งกาจได้ปานนี้
“กายทองคำสัมบูรณ์ระดับแปด! เด็กน้อย ไม่นึกเลยว่าเจ้าเองก็จะมีฝีมืออยู่บ้าง!” เทียนหยวนกล่าวขึ้นอย่างตื่นตะลึง
เย่หยวนยิ้มรับ “ผู้อาวุโสเทียนหยวน เย่ผู้นี้ไปได้หรือยัง?”
แต่เทียนหยวนนั้นกลับส่ายหัวออกมา “เราสองสามีภรรยานั้นพูดคำไหนคำนั้น บอกให้เจ้าตามมาก็ต้องตามมา! หากยังดื้อด้านไม่เชื่อฟังข้าจะเอาจริงแล้ว!”
เย่หยวนเองก็เริ่มรู้สึกถึงความไม่พอใจขึ้นมาลึกเมื่อถูกคนทั้งสองกวนประสาทมานานสองนาน
คนทั้งสองนี้มันรบกวนผู้คนด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง
“เช่นนั้นหรือ? เช่นนั้นเย่ผู้นี้คงต้องขอดูฝีมือที่แท้จริงของผู้อาวุโสเทียนหยวนหน่อยแล้ว! เชิญ!” เย่หยวนกล่าว
…………………………