ตูม!
จู่ๆ เมื่อจบเรื่องราวมันก็เกิดแผ่นดินไหวสั่นสะท้านขึ้นมาทั้งมิติ
ภายในมิติสงครามดึกดำบรรพ์นี้มันปรากฏหอคอยสูงล้ำโผล่พ้นขึ้นมาจากแผ่นดินพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟ้า
หอคอยทั้งสามนี้มันมีขนาดแตกต่างกันไป อันหนึ่งนั้นใหญ่สูงกว่าแสนเมตร
ส่วนอีกอันหนึ่งนั้นเล็กน้อยสูงแค่ราวพันเมตร
“ช่างเป็นคลื่นพลังแนวคิดที่เหนือล้ำนัก! นี่หรือว่าจะเป็นหอคอยสมบัติสืบทอด?”
“ต่างตื่นตะลึงจริงๆ อันเล็กที่สุดนั้นมันกลับมีคลื่นพลังที่น่ากลัวที่สุด! หรือว่านั่นจะเป็นหอคอยที่เก็บสมบัติสืบทอดเลิศล้ำ?”
“ข้าล่ะอิจฉาเสียจริง! นี่มันคือที่สุดของที่สุดสมบัติสืบทอดในเผ่ามนุษย์แล้ว!”
เหล่าเด็กชะตาไร้คาดเดานับล้านนั้นต่างแสดงสีหน้าอิจฉาริษยาออกมาตามๆ กัน
เพียงแค่ว่าคนที่จะได้เข้าไปถึงวิหารพระเจ้าที่เก็บสมบัติสืบทอดไว้นี้มันมีแค่คนทั้งพันนี้เท่านั้น
แน่นอนว่าสิ่งที่คนทั้งหลายอิจฉามากที่สุดก็คงเป็นวิหารพระเจ้าที่เย่หยวนจะได้เข้าไป
เพราะพวกเขานั้นอยากจะรู้เสียเหลือเกินว่าสมบัติใดที่มันถูกเก็บไว้ในวิหารพระเจ้าอันเล็กที่สุดนี้
“ศึกของยอดอัจฉริยะมันจบลงเท่านี้แล้ว คนที่ไม่ได้รับสมบัติสืบทอดใดๆ นั้นจงกลับไปได้! แต่อย่างไรก็อย่าได้ลืมไปว่าสงครามสิ้นโลกมันได้เริ่มขึ้นแล้ว ไม่มีใครจะไม่เข้าร่วมได้ หากเผ่ามนุษย์เราไม่รวมพลังกันเราจะต้องได้กลายเป็นทาสเผ่าเทวามันเข้าสักวัน! ทุกคน จงจำเรื่องนี้ไว้ให้ขึ้นใจเถอะ!”
บนท้องฟ้ากว้างนั้นเสียงของจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้ประกาศลงมาทำให้สีหน้าของทุกผู้คนหม่นหมอง
ไม่นานเงาร่างของเด็กชะตาไร้คาดเดาทั้งล้านคนนั้นก็จางหายไป พวกเขานั้นถูกตัวจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้ดึงกลับออกไปจากมิติสงครามดึกดำบรรพ์
คนที่เหลือในมิติสงครามดึกดำบรรพ์นั้นมีเพียงแค่ยอดอัจฉริยะทั้งหนึ่งพันเท่านั้น
“เอาล่ะ ตอนนี้พวกเจ้าก็เข้าหอคอยไปตามลำดับของตัวเองเถอะ เย่หยวนเจ้าได้อันดับหนึ่งจงเข้าไปยังหอคอยที่เล็กที่สุดนั้น ว่านเจิ้นและพวกคนที่ติดสิบอันดับจงไปยังหอคอยที่สอง คนที่เหลือจนเข้าไปยังหอคอยที่สาม เฒ่าผู้นี้จะให้เวลาพวกเจ้าสิบปี หรือก็คือเวลาพันปีภายในนี้ พวกเจ้าจะเก็บเกี่ยวได้สักเท่าไหร่มันก็ต้องพึ่งความสามารถของตนเองแล้ว!”
พูดจบแล้วเสียงของจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้มันก็จางหายไปทันที
เด็กชะตาไร้คาดเดาทั้งพันคนนั้นได้แต่หันมามองหน้ากันแต่มันกลับมีคนผู้หนึ่งพุ่งตัวออกไปยังหอคอยวิหารพระเจ้าก่อนแล้ว
เย่หยวนนั้นรับหน้าที่ของตนและพุ่งตัวไปยังหอคอยที่เล็กที่สุดตามที่ได้รับฟัง
เมื่อพวกว่านเจิ้นทั้งสิบได้เห็นเรื่องราวนั้นพวกเขาก็แสดงสีหน้าท่าทางอิจฉาริษยาออกมาตามๆ กัน
เดิมทีแล้วคนที่จะได้ไปยังที่แห่งนั้นมันควรจะเป็นหนึ่งในพวกเขานั้น แต่สุดท้ายแล้วมันกลับมีใครที่ไหนไม่รู้โผล่หน้าออกมาจัดการและแย่งชิงมันไป
ในหมู่ยอดอัจฉริยะด้วยกันนั้น พวกเขาทั้งหลายไม่มีใครจะเคยได้ยินนามของเย่หยวนมาก่อน
แล้วเจ้าหมอนี่มันโผล่ออกมาจากหลุมไหน?
เรื่องของโลกการโอสถนั้นเหล่ายอดคนทั้งหลายนี้ย่อมจะไม่ได้สนใจ
เพราะว่าโลกการโอสถมันไร้ค่าใดๆ ในสายตาของพวกเขา
ในสงครามสิ้นโลกที่จะถึงนี้การโอสถใดๆ มันย่อมจะไม่อาจช่วยเหลือเผ่าพันธุ์ได้มากนัก พวกเขาทั้งหลายจึงไม่ได้คิดให้ความสนใจ
“เลิกเอาแต่มองสักที! มองไปมากกว่านี้ตาเจ้าจะได้หลุดออกจากเบ้าเอา! เวลามันไม่รอใคร รีบๆ ไปบ่มเพาะเต๋าเสียเถอะ!”
เวลานั้นเองที่ว่านเจิ้นก็กล่าวขึ้นก่อนจะพุ่งตัวไปยังหอคอยที่สอง
เวลาพันปีนั้นมันอาจจะฟังดูนานแต่สำหรับการบ่มเพาะเต๋าแล้วมันเป็นเวลาเพียงแค่ชั่วพริบตา
ไม่เช่นนั้นแล้วมีหรือที่เหล่าเฒ่าทั้งหลายที่มีชีวิตมานับล้านๆ ปีจะไม่เก่งกาจเท่าเย่หยวน?
ต่อให้จะเป็นเหล่ายอดอัจฉริยะใดๆ ก็ตามแต่เวลาแค่พันปีนั้นมันไม่ได้นับว่ายาวนานเลย
เมื่อก้าวเข้ามาถึงภายในหอคอยนี้เย่หยวนก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังต้นกำเนิดปะทะเข้ากับร่างจนแทบล้มทั้งยืน
นี่มันคือมิติที่ซ่อนอยู่ภายในมิติอีกชั้น!
หากให้พูดแล้วมันคงเป็นกระแสน้ำวน น้ำวนที่เปี่ยมล้นไปด้วยแนวคิดแห่งห้วงมิติและแนวคิดแห่งกาลเวลา
“ซี๊ด… ช่างเป็นแนวคิดแห่งมิติเวลาที่รุนแรงนัก! ต่อให้มันจะไม่ถึงระดับของพลังต้นกำเนิดแต่มันก็คงไม่ไกลไปมากนักแล้ว”
เมื่อเย่หยวนได้เห็นภาพตรงหน้านั้นเขาก็ต้องสูดหายใจเข้าลึกอย่างตื่นตะลึง
พลังแห่งแนวคิดทั้งสองนี้มันรุนแรงอย่างมาก มากจนถึงขนาดที่ว่าตัวเย่หยวนนั้นได้แต่ต้องอ้าปากค้าง
ตัวเย่หยวนนั้นมีแนวคิดแห่งห้วงมิติที่เหนือล้ำไม่น้อยแล้ว
แต่เทียบกับกระแสวนมิติเวลาตรงหน้านี้ มันไม่อาจจะเอามาเทียบเคียงกันได้เสียด้วยซ้ำ
“จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้กล่าวว่าแนวคิดทั้งหลายในที่นี้ล้วนแล้วแต่ถูกบ่มเพาะขึ้นมาโดยเหล่ายอดฝีมือในยุคก่อน หมายความว่าสมัยก่อนนั้นมนุษย์เรากลับสามารถบ่มเพาะสุดยอดแนวคิดขึ้นมาจนใกล้เคียงกับระดับเต๋าบรรพกาลได้ปานนี้เลยหรือ? นี่มัน… จะน่ากลัวเกินไปแล้ว!”
เย่หยวนนั้นคิดขึ้นมาได้และยิ่งคิดเขาก็ยิ่งตื่นตะลึง
เพราะดูแล้วในยุคก่อนนั้นเผ่ามนุษย์มันจะเจริญรุ่งเรืองจนถึงที่สุดจริงๆ!
การที่จะสามารถบ่มเพาะสองสุดยอดแนวคิดจนมาถึงระดับนี้ได้นั้นมันย่อมหมายความว่าพวกเขาไม่ได้อ่อนแอกว่าเต๋าบรรพกาลเลยมิใช่หรือ?
แต่แม้จะเป็นยอดฝีมือเช่นนี้ก็ยังต้องตายลงในสงครามสิ้นโลก เย่หยวนนั้นไม่กล้าจะนึกถึงเลยว่าเหล่าบรรพบุรุษของเผ่าบรรพกาลนั้นมันจะเก่งกาจปานใด
ดูท่าแล้วสิ่งที่พวกเขาใช้มันคงมิใช่แค่พลังแนวคิดแต่เป็นพลังแห่งกฎทีเดียว!
ยิ่งเย่หยวนได้เข้าใจถึงความรุ่งเรืองในยุคก่อนของเผ่ามนุษย์ เขาก็ยิ่งได้เข้าใจถึงความน่ากลัวของเผ่าเทวา
แน่นอนว่าเขานั้นก็ยิ่งเข้าใจถึงความกังวลของจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้มากขึ้น
ด้วยกำลังของเผ่ามนุษย์ในเวลานี้แล้วมันไม่มีโอกาสใดจะชนะได้เลย!
ไม่ว่าจะเป็นบุตรเทวะ หยวนเจี่ยว เก้าผู้อาวุโสสายเลือดลึกหรือเทียนเหอใดๆ มันก็มิใช่ตัวตนที่อยู่บนจุดสูงสุดของเผ่าเทวา
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดอย่างไรก็ยังเป็นบรรพบุรุษของเผ่าเทวา!
พวกมันนั้นมีกำลังอย่างที่ไม่อาจจินตนาการได้
การที่สามารถทำลายเผ่าเทวาจนตำนานหลากหลายขาดหายไปเช่นนี้จนไม่อาจฟื้นตัวกลับมาได้หลังผ่านไปนับยุคสมัย แค่นี้มันก็เป็นหลักฐานที่ชัดเจนถึงความน่ากลัวของเผ่าเทวาแล้ว
“เฮ้อ เพียงแค่ว่าข้าไม่รู้ว่าลี่เอ๋อจะเป็นอย่างไรบ้าง” เย่หยวนกล่าวขึ้น
“เด็กน้อย บรรพกาลผู้นี้สัมผัสได้ถึงพลังของมิติเวลาจากตัวเจ้า น่าเสียดายที่มันช่างอ่อนแอนัก! เจ้านั้นคือยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งที่เจ้าหนุ่มเฉียนจี้มันเลือก? อ่อนแอเสียจริง!”
พริบตาต่อมามันก็ปรากฏเงาร่างหนึ่งลอยออกมาจากกระแสวนมิติเวลาหันมองดูเย่หยวนอย่างผิดหวัง
เมื่อเย่หยวนได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
เขานั้นเอาชนะสิบเจ็ดสุดยอดอัจฉริยะของมหาพิภพถงเทียนมาได้พร้อมๆ กัน ใช้กำลังของเขาเพียงคนเดียวก้าวมาอยู่ตรงนี้
แต่เมื่อชายแก่คนนี้เห็นเขากลับบอกว่าอ่อนแอเกินไป
แต่จะอย่างไรเสียเขาก็พอเข้าใจชายแก่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา เพราะว่าพลังแห่งแนวคิดใดๆ นั้นมันอ่อนแอเสียเหลือเกินเมื่อเทียบกับกระแสวนมิติเวลาตรงหน้าเขานี้
เย่หยวนก้มหัวลงคารวะอีกฝ่าย “ผู้เยาว์เย่หยวนขอคารวะท่านผู้อาวุโส!”
ชายแก่ผู้นี้ยอมตายเพื่อเผ่ามนุษย์ มันควรค่าแก่การคารวะ
เขานั้นบอกได้ทันทีว่าชายแก่ตรงหน้านี้มิใช่ทั้งวิญญาณเร่ร่อน มิใช่ทั้งเสี้ยวจิตใดๆ เขานั้นเป็นเพียงแค่สำนึกที่ฝังอยู่ในพลังของแนวคิดก็เท่านั้น
แต่แค่เสี้ยวสำนึกนี้มันก็มากพอจะทำให้เย่หยวนแทบไม่กล้าขยับตัว ไม่รู้เลยว่าก่อนตายนั้นตัวเขาจะแข็งแกร่งได้ถึงขั้นไหน
ชายแก่นั้นยกมือขึ้นมาโบกไล่เย่หยวน “เจ้าอ่อนแอเกินกว่าที่จะรับสืบทอดพลังจากบรรพกาลผู้นี้! ไปเสียเถอะ!”
เย่หยวนนั้นผงะไปทันทีเมื่อได้ยิน ชายแก่ผู้นี้จะไม่ให้โอกาสใดๆ เขาเลยหรือ?
เย่หยวนนั้นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา “ผู้อาวุโสท่านยังไม่ได้ลอง ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้เยาว์นี้ไม่อาจรับสมบัติสืบทอดของท่านได้?”
ชายแก่ตอบกลับมา “แนวคิดแห่งมิติเวลานั้นมันลึกล้ำ เป็นพลังแนวคิดที่ลึกลับที่สุดในโลกหล้า! ยิ่งการก้าวขึ้นมาถึงระดับของต้นกำเนิดแล้วด้วย มันย่อมจะเป็นสิ่งที่เจ้าไม่อาจเข้าใจได้! เจ้านั้นมีแนวคิดแห่งห้วงเวลาที่ดีเพียงแค่ว่ามันเป็นของประกอบเต๋าดาบ! หากคิดอยากจะก้าวขึ้นให้ถึงระดับของต้นกำเนิดด้วยวิธีเช่นนี้มันย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ ส่วนยิ่งเรื่องแนวคิดแห่งกาลเวลานั้นมันยิ่งไม่ต้องพูดถึง ข้าว่าเจ้านั้นก็น่าจะเข้าใจดีมิใช่หรือ? เพราะฉะนั้นเจ้าไม่ต้องมาบอกหรอกว่าตัวเองเก่งกาจเช่นใด อย่างไรเจ้าก็ทำไม่ได้!”
……….