“หรือว่านายท่านนั้นจะคิดกลัวตาย?”
ซ่างเหิงที่เพิ่งกล่าวยอมรับผิดไปนั้นแสดงสีหน้าดำมืดออกมาอีกครั้ง
การที่เย่หยวนกลัวจะตายไม่กล้าเสี่ยงชีวิตนี้มันย่อมจะทำให้เขานั้นไม่ชอบใจอย่างมาก
เย่หยวนนั้นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา “วันหน้าเจ้าจะได้เข้าใจมันเอง”
ซ่างเหิงนั้นแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาอีกครั้ง “หึ! มีแต่ข้ออ้าง! ใครจะไปรู้เรื่องราววันหน้าได้แน่? ต่อให้จะเป็นท่านเฉียนจี้เองก็ยังไม่อาจจะคาดเดาอนาคตได้แน่นอน ท่านจะไปรู้ได้อย่างไร? แท้จริงแล้วแม้แต่ร่างจริงของท่านก็ยังไม่กล้าจะแสดงมันออกมาต่อหน้าผู้คน!”
เย่หยวนเดินเข้ามาตบบ่าของเขาด้วยรอยยิ้ม “ข้าบอกแล้วว่าวันหน้าเจ้าจะได้เข้าใจมันเอง ชะตาของเราทั้งสองนั้นมันไม่ได้จบลงแค่ตรงนี้หรอก”
พูดจบเย่หยวนก็เดินหันหน้าจากไปทิ้งคนทั้งหลายให้ต้องอ้าปากค้าง
…
ด้วยมหาค่ายกลสืบทอดนี้วังถามสวรรค์จึงได้กลายเป็นดินแดนบ่มเพาะฝึกฝนไป
ทุกวันนั้นจะมียอดอัจฉริยะมากมายเข้าออกภายในมหาค่ายกลสืบทอด
นี่แห่งนี้มันได้กลายเป็นโรงงานผลิตยอดฝีมือไปทันที
เมื่อเฉียนจี้และหวู่หยุนได้ยินเรื่องราวนั้นพวกเขาทั้งสองต่างก็ต้องอ้าปากค้างไปตามๆ กัน
ในเวลานี้มันไม่มีใครคิดสงสัยการตัดสินใจของเฉียนจี้อีกต่อไป มันจะมีแต่คำสรรเสริญชื่นชมถึงความหลักแหลมของเขาแทน
ส่วนตัวเย่หยวนนั้นช่วงหลังๆ มานี้เขาเอาแต่เก็บตัวไม่โผล่หน้าให้ใครได้เห็น กลายเป็นตัวตนลึกลับของมิติลับสวรรค์ไป
แต่ไม่นานนักมันก็ได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาในส่วนเบื้องบนของสังหารเทพ
“อ่อก!”
เจียนหรูเฟิงนั้นกระอักเลือดออกมาด้วยสภาพร่างแสนอ่อนแรง
นี่เป็นครั้งที่เจ็ดแล้วที่เขากระอักเลือดในรอบวัน
หลังๆ มานี้การกระอักเลือดของเขามันบ่อยขึ้นอย่างมากจนทำให้เกิดความหม่นหมองไปทั่วทั้งสังหารเทพ
“ไหนเจ้าบอกว่ามันยังเหลือเวลาอีกราวพันปีไงเล่า? ทำไม… มันมาถึงเร็วเช่นนี้?” หวู่หยุนนั้นกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
เจียนหรูเฟิงนั้นมีใบหน้าขาวซีดแต่กลับเปี่ยมไปด้วยความยินดี “หึๆ สหายข้า มันเป็นเรื่องดีต่างหาก! ด้วยสมองของเจ้ามีหรือที่เจ้าจะไม่เข้าใจถึงต้นเหตุมันจริง?”
หวู่หยุนนั้นขมวดคิ้วแน่นก่อนจะเบิกตากว้างร้องขึ้นในที่สุด “เจ้าจะบอกว่ามหาค่ายกลสืบทอดที่สหายหนุ่มจี้สร้างขึ้นมานั้นมันทำให้คลื่นพลังในมิติลับสวรรค์หนักหน่วงขึ้นหรือ? เพราะฉะนั้นเจ้าจึงต้องรับภาระหนักและทำให้วันนี้มาถึงเร็วเช่นนี้?”
เจียนหรูเฟิงพยักหน้ารับ “เจ้าหนุ่มคนนี้มันเป็นยอดอัจฉริยะที่สุดในยุคสมัยนี้ หากมีเขาอยู่ด้วยแล้วมีหรือที่เราจะยังต้องกลัวล้มเหลวใดๆ?”
หวู่หยุนขมวดคิ้วแน่น “แต่เจ้าไม่คิดว่ามันแปลกๆ หรือ? หลังๆ มาข้าได้ยินคนเบื้องล่างคุยกันว่าเขานั้นไม่คิดร่วมศึกกับเผ่าเทวา! หรือว่าแท้จริงแล้วเขานั้นจะเป็นคนที่รักตัวกลัวตาย?”
เจียนหรูเฟิงได้แต่ส่ายหัวขึ้น “คนรักตัวกลัวตายที่ไหนจะกล้าไปท้าทายวังสวรรค์เฝ้าด้วยตัวคนเดียวเช่นนั้น? สหายข้า เจ้าจัดการให้หน่อย สามวันจากนี้ คนตระกูลเจียนของข้าร้อยคนจะยอมตายเพื่อหน้าที่ปิดบังความลับสวรรค์ของมิติลับสวรรค์เอาไว้”
หวู่หยุนหน้ากระตุกทันที่ได้ยิน ดวงตาของเขานั้นเริ่มมีมวลน้ำเอ่อขึ้นมา “มันต้องลงมือกันเร็วปานนั้น?”
เจียนหรูเฟิงยิ้มตอบกลับไป “ทำให้มันเร็วขึ้นหน่อยจะเป็นไรไป? ทำให้มันช้าลงหน่อยจะต่างอะไร? สิ่งที่มันจะมา สุดท้ายมันก็ต้องมาถึง อ่า จริงด้วย ไปเรียกจี้ฉิงหยุนมาด้วย ข้ามีเรื่องจะพูดกับเขา”
…
สามวันต่อมานั้นเหล่าคนนับแสนๆ ก็ได้มารวมตัวกัน
ยอดฝีมือตระกูลเจียนร้อยคนนั้นกำลังยืนอยู่ด้านหลังเจียนหรูเฟิงด้วยความเงียบงัน
ยอดอัจฉริยะมากมายนั้นกำลังจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยดวงตาที่แดงก่ำเอ่อน้ำตา
ความเงียบงันที่ปกคลุมนี้มันเหมือนเป็นบทเพลงบรรเลงแห่งความสูญเสีย
ทุกผู้คนเข้าใจดีว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
เมื่อเย่หยวนได้เห็นภาพนี้เขาก็รู้สึกปวดร้าวไปทั้งใจเช่นกัน
เขานั้นก็ไม่นึกฝันว่าเพราะมหาค่ายกลสืบทอดของเขานั้นมันกลับจะทำให้เจียนหรูเฟิงตายไว้ขึ้น
จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้นั้นเป็นยอดคนของยุคสมัยนี้ แต่พลังของเขาเพียงแค่คนเดียวย่อมจะไม่อาจปกปิดความลับสวรรค์ได้สิ้น
เพราะฉะนั้นยอดคนทั้งหนึ่งร้อยของตระกูลเจียนจึงต้องเสียสละชีวิตช่วยเหลืองานนี้ให้เขาด้วย
ตระกูลเจียนนั้นมันช่างเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่!
เย่หยวนนั้นมองดูไปยังเด็กคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ ตัวเจียนหรูเฟิงและเขาคนนี้เองที่มีหน้าตาดูละม้ายคล้ายกับจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้คนที่เขารู้จัก
เย่หยวนนั้นตกตะลึงในใจ ไม่คิดฝันว่าวันหนึ่งจะได้มาเจอจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้คนปัจจุบันในวัยเด็กเช่นนี้
เจียนหรูเฟิงลุกขึ้นมาด้วยสีหน้าภาคภูมิก่อนจะหันไปมองเหล่ายอดอัจฉริยะทั้งหลายอย่างโล่งใจ
ได้เห็นยอดอัจฉริยะทั้งหลายนี้เติบโตขึ้นมากมาย มันก็ทำให้ตัวเขานั้นยอมพร้อมที่จะสละชีวิต!
เหล่าคนทั้งหลายนี้ต่างหากคืออนาคตที่แท้จริง
“ได้เห็นพวกเจ้าเติบโตรวดเร็วเช่นนี้บรรพกาลผู้นี้ก็โล่งใจ! บรรพกาลผู้นี้ตายไปมันไม่ได้ถือเป็นเรื่องใหญ่โตใดๆ แต่ที่ข้าเรียกพวกเจ้าทั้งหลายมาวันนี้มันก็เพื่อจะปลุกเลือดของพวกเจ้าให้ตื่นขึ้นด้วยความตายนี้ การต่อต้านของเรานั้นมันย่อมจะต้องจบลงด้วยความตาย! วันนี้บรรพกาลผู้นี้จะขอไปก่อน วันหน้านั้นพวกเจ้าทั้งหลายก็คงสละชีวิตเพื่ออนาคตของคนรุ่นหลังเถอะ!”
“พวกเจ้าจำไว้ให้ดี ตายนั้นมันง่าย คนที่อยู่ต่างหากที่ต้องแบกรับภาระและก้าวเดินต่อไป! ภาระบนบ่าของพวกเจ้านั้นมันหนักหนากว่าที่บรรพกาลผู้นี้แบกรับไว้มาก! ข้าหวังว่าจากวันนี้ไปพวกเจ้าจะตั้งใจฝึกฝนบ่มเพาะให้ได้มากกว่าเก่านับร้อยเท่าพันเท่า เพื่ออนาคตอันสดใสของหลากเผ่าพันธุ์เรา! พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?”
คำพูดของเจียนหรูเฟิงนั้นมันหนักหน่วงกระแทกจิตใจของคนทั้งหลาย
เหล่ายอดอัจฉริยะนั้นต่างแทบไม่อาจหายใจได้
เจียนหรูเฟิงนั้นใช้คำพูดง่ายๆ นี้ปลุกใจของทุกผู้คน รวมไปถึงตัวเย่หยวน
ในเวลานี้เลือดของเขานั้นมันเดือดพล่านขึ้นมาอย่างไม่อาจห้าม
เขานั้นคิดอยากอยู่กับคนทั้งหลายนี้แค่ไหน อยากช่วยพวกเขาต่อสู้สักเท่าใด!
เย่หยวนได้แต่คิด
เพียงแค่ว่าเขานั้นรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะว่าความรู้สึกถูกดึงกลับของเขามันรุนแรงมากขึ้นในทุกวี่วัน
เขานั้นเหมือนจะได้ยินเสียงเรียกอยู่ที่อีกฝั่งอย่างไม่อาจขัดขืน
“ขอรับ!”
เสียงร่ำร้องรับดังกลับมาอย่างหนักแน่น
เจียนหรูเฟิงหันไปมองที่เด็กน้อยข้างกายด้วยดวงตาที่เอ็นดู
“เขานี่มีนามว่าเจียนห่าวหรัน เป็นลูกคนเล็กของบรรพกาลผู้นี้ เขานั้นมีสายเลือกของบรรพกาลผู้นี้และหลังจากข้าตายไป เขานี้จะขึ้นมารับนามของข้าต่อเป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้!” เจียนหรูเฟิงกล่าว
“เราขอสาบานจะปกป้องนายน้อยห่าวหรัน!” เหล่ายอดอัจฉริยะทั้งหลายกล่าวขึ้นแทบพร้อมกัน
แต่เจียนหรูเฟิงนั้นกลับส่ายหัวออกมา “คนตระกูลเจียนนี้ไม่มีคนขี้ขลาด! ห่าวหรัน แม้เจ้าจะยังเด็กแต่พ่อเจ้านี้ก็มีเรื่องราวต้องการให้เจ้าสานต่อ เจ้าจะทำได้หรือไม่?”
แม้ว่าเจียนห่าวหรันนั้นจะยังเด็กแต่ภายใต้การสั่งสอนของเจียนหรูเฟิง เขาจึงได้มีท่าทางเหมือนแม่ทัพใหญ่พร้อมแบกรับภาระ
ด้วยความที่เสียงของเขายังไม่แตกหนุ่มเขาจึงต้องกล่าวรับกลับมาด้วยเสียงของเด็กน้อย “ตระกูลเจียนเรานั้นนำพาชะตาของเผ่าทั้งหลายและย่อมจะต้องเป็นคนที่แบกรับความเจ็บปวดเป็นคนแรกและรับความสุขเป็นคนสุดท้าย! ชีวิตของข้านี้จะขอให้มันเพื่อหน้าที่จนกว่าจะหาไม่!”
เจียนหรูเฟิงหัวเราะขึ้นมา “ฮ่าๆๆ สมเป็นลูกข้าจริงๆ!”
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้แต่ตระกูลเจียนกลับยังเป็นผู้นำของเผ่าพันธุ์ได้ แน่นอนว่าพวกเขานี้คือผู้กุมชะตาอย่างแท้จริง
แต่เจียนหรูเฟิงนั้นกลับไม่ได้คิดใช้งานมนุษย์อย่างไม่สนใจ พวกเขานั้นกลับกลายเป็นคนที่ช่วยเลี้ยงดูและปกป้องเผ่ามนุษย์แทน แน่นอนว่าเรื่องเช่นนี้มันย่อมจะทำให้คนมากมายซึ้งจนน้ำตาไหล
เย่หยวนเองก็รู้สึกซาบซึ้งอยู่ในใจ เจียนห่าวหรันนั้นทำเช่นนี้และคนในตระกูลทั้งหมดเองก็ทำเช่นกัน
แม้จะผ่านไปสิบนับล้านๆ ปีเป้าหมายนี้มันก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
คนตระกูลเจียนนั้นช่างยิ่งใหญ่!
แต่จากนั้นสายตาของเจียนหรูเฟิงก็หันมามองเย่หยวนด้วยสายตาที่สั่นสะเทือน
เขานั้นไม่ได้เจอเย่หยวนมาพักใหญ่ๆ แต่เมื่อได้เห็นเขาอีกคราในครั้งนี้ เขากลับรู้สึกว่าร่างกายของเย่หยวนมันเปลี่ยนไปอย่างมาก
มันเหมือนกับว่าเย่หยวนที่ยืนอยู่ตรงนี้ให้ความรู้สึกเหมือนไม่มีตัวตนอยู่จริง
ราวกับว่าเขานั้นไม่ได้เป็นคนของโลกนี้!
หรือว่าข่าวลือที่ได้ยินมานั้น… จะเป็นจริง?
แต่มันเกิดเรื่องบ้าบอใดๆ ขึ้นกันแน่?
“จี้ฉิงหยุนเจ้า… เจ้าจะช่วยอยู่ช่วยเหลือพาหลากเผ่าพันธุ์ให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ได้หรือไม่?” เจียนหรูเฟิงถามขึ้นมาอย่างไม่มั่นใจ
เดิมทีแล้วเขาย่อมจะเชื่อมั่นในเย่หยวนมาก
หากมีเขาอยู่ด้วยแล้วเขาย่อมจะตายได้อย่างสงบ
แต่หากเย่หยวนไม่อยู่จริงแล้ว ความพยายามของพวกเขานี้จะสำเร็จหรือไม่?
ทุกผู้คนต่างหันไปมองเย่หยวนเพื่อรอฟังคำตอบจากปากของเขา
………………..