เย่หยวนค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาก่อนจะปรากฏให้เห็นว่านัยน์ตาของเขานั้นมันมีเงาของลูกไฟเก้าดวงนั้นปรากฏขึ้น
นี่มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสถึงพลังของกฎอย่างใกล้ชิดเช่นนี้
ในเวลานี้เย่หยวนได้เข้าใจอย่างสุดล้ำว่าทำไมเต๋าบรรพกาลจึงได้ปกครองโลกหล้า!
พลังเช่นนี้มันมิใช่สิ่งที่จะเอาพลังการบ่มเพาะใดๆ ไปเทียบเคียง
ต่อให้เราจะบ่มเพาะแนวคิดไปจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบมันก็คงไม่อาจเทียบได้แม้แต่หนึ่งในหมื่นของพลังแห่งกฎ
“นี่หรือคือพลังแห่งกฎ? แม้ว่าจะรู้ถึงมันมาก่อนแล้วแต่นักบุญผู้นี้ก็ยังรู้สึกทึ่งเสียเหลือเกินที่พวกเจ้ากลับใช้ค่ายกลสืบทอดที่ข้าทิ้งไว้พัฒนาตัวมาได้จนถึงปานนี้!” เย่หยวนกล่าวด้วยอารมณ์ยากอธิบาย
ตอนที่เขาได้เห็นนักบุญมายาล้ำ เจียนหรูเฟิงมาชักชวนนั้นเขาก็ได้รู้ว่ายอดฝีมือมากมายหลังจากนั้นมันคงเกิดขึ้นเพราะน้ำมือของเขาแล้ว
แต่จะอย่างไรตัวเขาในตอนนั้นก็ยังอยู่แค่ในอาณาจักรมหาพิภพขั้นปลาย
ค่ายกลสืบทอดที่เขาทิ้งไว้นั้นมันกลับสามารถสร้างยอดฝีมือระดับกฎขึ้นมาได้ถึงสิบแปดคน แม้จะเป็นตัวเย่หยวนก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกภาคภูมิ
หลินหวู่ซวงก้มหัวลงรับคำ “ความรู้วิชาที่ท่านนักบุญฟ้าครามทิ้งไว้นั้นมันเป็นประโยชน์แก่คนรุ่นหลังอย่างมากล้น! สอนให้คนหาปลาดีกว่าหาปลาให้คน เรานั้นเข้าใจถึงมันได้อย่างลึกล้ำ! สมบัติสืบทอดทั้งสิบแปดนั้นมันคือวิธีในการหายอดเต๋า! น่าเสียดายที่ศิษย์หวู่ซวงนี้ไร้ความสามารถจึงไม่อาจจะเข้าใจค่ายกลที่ลึกล้ำนั้นได้หมดสิ้น ไม่อาจแก้สถานการณ์ใด ค่ายกลแห่งกฎที่ศิษย์สร้างขึ้นมานี้เองมันก็คงไม่มีทางไปต้องตาอันสูงส่งของท่านได้ ข้านั้นจะไม่ส่งต่อมันให้นายท่านใดๆ แต่จะวางมันไว้ในทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของท่านเผื่อนายท่านอยากคิดใช้มันศึกษาใดๆ”
เขานั้นไม่ได้รู้เลยว่าคำพูดนี้มันได้สร้างความแตกตื่นขึ้นแค่ไหน!
ค่ายกลแห่งกฎ? ไม่มีทางต้องสายตา?
นี่มันคือรากฐานของค่ายกลแห่งกฎ!
เหล่าคนที่ขึ้นเขามานี้ย่อมจะมีแต่จอมเทพค่ายกลกันสิ้น
แล้วมีใครบ้างเล่าที่ไม่ได้ใช้เวลาทั้งชีวิตทุ่มมันไปกับการศึกษาค่ายกล?
แต่ยอดฝีมือระดับกฎคนนี้กลับมาบอกว่าค่ายกลแห่งกฎนั้นคงไม่ต้องสายตานายท่าน!
แล้วท่านผู้นี้จะต้องเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ปานใด!
ค่ายกลแห่งกฎทั้งเก้านั้นต่อให้พวกเขาจะได้มาแค่หนึ่งอย่างมันก็คงมากพอจะทำให้ร้องไห้โขกหัวก้มขอบคุณหลินหวู่ซวงอย่างสุดใจ
ต่อให้ต้องแลกมาด้วยชีวิตพวกเขาก็ยอม
โอกาสที่จะได้สมบัติสืบทอดระดับกฎนั้นมันยากเสียเกินกว่ายาก!
แต่โอกาสที่พวกเขาคิดว่ามันคือสมบัติล้ำค่านั้นกลับไม่ได้มีค่าใดเมื่อมาอยู่ตรงหน้าเย่หยวน!
คนทั้งหลายนั้นรู้สึกเหมือนว่าภาพตรงหน้านี้มันหลุดจากโลกที่พวกเขารู้จักกันไปมาก
เย่หยวนได้กลายเป็นตัวตนสุดลึกลับที่ไม่อาจเข้าใจ
จากนั้นเย่หยวนก็พยักหน้ารับกล่าว “เก้าค่ายกลรากฐานนี้ปล่อยไว้ให้ข้าดูแลก่อน หากวันหน้าข้าหาผู้สืบทอดดีๆ เจอแล้วข้าจะช่วยเจ้าส่งต่อมันให้เอง!”
หลินหวู่ซวงยิ้มกว้างขึ้นเมื่อได้ยิน “ขอบพระคุณท่านนักบุญฟ้าคราม!”
เย่หยวนพยักหน้ารับ “หวู่ซวง ระหว่างพลังแห่งกฎนี้กับอาณาจักรเจ้าฟ้าดินมันแตกต่างกันอย่างไร?”
เย่หยวนนั้นไม่เคยจะสัมผัสหรือรับรู้ถึงความแตกต่างของเต๋าบรรพกาลและเจ้าฟ้าดินห้าทลายได้
ในหมู่เจ้าฟ้าดินห้าทลายนั้นเองมันก็มีทั้งที่เก่งกาจและอ่อนแอ
คนที่แข็งแกร่งนั้นเก่งพอจะต้านทานพลังของเต๋าบรรพกาลได้!
ส่วนคนที่อ่อนแอนั้นทำได้แค่เป็นผู้ปกครองดินแดน
หลินหวู่ซวงตอบ “เจ้าฟ้าดินห้าทลายนั้นหากให้เทียบมันก็เหมือนแค่อาณาจักรบ่มเพาะอีกอย่างหนึ่ง! เพราะว่าหลังจากเราบ่มเพาะไปถึงอาณาจักรเจ้าฟ้าดินห้าทลายได้แล้วพวกเราจะไม่อาจพัฒนาโลกใบน้อยใดๆ ไปได้อีก! เพราะฉะนั้นแม้แต่เหล่าเต๋าบรรพกาลทั้งหลายแท้จริงแล้วพวกเขาก็เป็นแค่เจ้าฟ้าดินห้าทลายคนหนึ่งเช่นกัน เพียงแค่ว่าพวกเขานั้นมีพลังของกฎและสามารถควบคุมมันได้อย่างอิสระทำให้มีพลังเหนือล้ำทุกชีวิต เมื่อไม่สามารถจะบรรลุการบ่มเพาะพลังได้มันจึงมีแต่ต้องไปบรรลุที่พลังแห่งแนวคิดทั้งหลาย หากคนผู้หนึ่งก้าวขึ้นไปถึงระดับของกฎได้แล้วพวกเขาก็ย่อมจะเก่งกาจล้ำหัวใครๆ ไป ก้าวขึ้นถึงระดับที่เรียกว่ามหาบรรพกาล! แต่จะอย่างไรเต๋าบรรพกาลนั้นก็มีพลังที่ควบคุมกฎได้หมดสิ้น เพราะฉะนั้นแม้แต่เหล่ามหาบรรพกาลทั่วๆ ไปทั้งหลายเองก็ยังไม่อาจเทียบเคียงได้ เว้นเสียแต่ว่าจะก้าวขึ้นไปถึงระดับของซ่างเหิงนั้นจึงจะพอมีปัญญาต่อต้านพลังของเต๋าบรรพกาลได้”
เย่หยวนขมวดคิ้วแน่นเมื่อได้ยิน “ทำไมโลกใบน้อยของพวกเจ้าจึงไม่อาจพัฒนาไปได้แล้วเล่า?”
หลินหวู่ซวงส่ายหัวตอบกลับมา “หลังจากก้าวขึ้นไปถึงยอดของอาณาจักรเจ้าฟ้าดินห้าทลายแล้วมันจะเหมือนมาถึงทางตัน ไม่อาจจะดึงพลังของเต๋าสวรรค์ลงไปในโลกของตนได้อีก ตอนนั้นพวกเราเหล่ามหาบรรพกาลทั้งหลายเคยพยายามช่วยกันคิดหาทางออกยอมเสียเวลาและทุ่มแรงกายไปมากมาย แต่สุดท้ายก็ยังไม่อาจจะหลุดพ้นจากข้อจำกัดนี้ได้!”
ได้ยินคำของหลินหวู่ซวงเย่หยวนจึงได้เข้าใจว่าอาณาจักรที่เรียกว่าเต๋าบรรพกาลนั้นแท้จริงแล้วมันคือสิ่งใด
หรือก็คือหากขึ้นไปถึงระดับของเจ้าฟ้าดินได้แล้วสิ่งที่คนเราพัฒนามันจะมิใช่พลังบ่มเพาะใดๆ แต่เป็นการฝึกฝนพลังแห่งแนวคิด!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อก้าวผ่านระดับเจ้าฟ้าดินห้าทลายไปแล้ว ใครที่มีแนวคิดเหนือล้ำกว่าอีกฝ่ายก็จะเก่งกาจกว่าอย่างชัดเจน
เช่นนั้นแล้วการบ่มเพาะของเขามันจะไม่ทำลายระบบของเต๋าสวรรค์ลงหรือ?
เส้นทางนี้มันเป็นเต๋าที่ไม่เคยมีใครก้าวเดินมาก่อน ที่ใดที่เขาจะก้าวเดินไปต่อนั้นแม้จะเป็นตัวเย่หยวนเองก็ยังไม่ทราบแน่
แต่เย่หยวนนั้นรู้สึกอย่างมั่นใจว่าเส้นทางของเขานี้มันถูกต้องแล้ว!
เวลานี้เย่หยวนได้ก้าวขึ้นมาจนถึงฐานของวรยุทธบ่มเพาะระดับเก้าได้แล้ว
แต่จะก้าวผ่านมันไปอย่างไรนั้นเย่หยวนยังไม่อาจแน่ใจได้
เพราะว่าสำหรับตัวเย่หยวนแล้วการจะก้าวขึ้นแต่ละอาณาจักรไปนั้นมันต้องผ่านการคำนวณและอนุมานอย่างห้ามผิดพลาดใด
ผิดพลาดไปแค่เส้นผมมันก็มากพอจะทำให้ชีวิตเขาล้มเหลวได้!
เดิมทีแล้วระบบการบ่มเพาะของมนุษย์มันก็มีปัญหามาแต่แรกหลังจากขึ้นถึงสุดอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ พวกเขาทั้งหลายจะไม่อาจบรรลุใดๆ ด้วยตัวเองและต้องไปท้าทายทุกข์ทลายเพื่อบรรลุขึ้นต่อ
มันเป็นวิธีการที่ผิดแปลกจากการบ่มเพาะก่อนๆ หน้าไปมาก
แม้ว่ากำลังจะเพิ่มพูน แต่สุดท้ายมันก็ยังไปถึงทางตัน
เพราะฉะนั้นก้าวเดินนี้มันจึงสำคัญกับเย่หยวนอย่างมากเช่นกัน
หากผ่านไปได้แล้วเขานั้นจะเปิดเส้นทางใหม่ขึ้นบนโลกหล้านี้!
‘แม้ว่าพิภพโกลาหลของข้ามันจะมีขนาดพื้นที่ด้อยกว่านักยุทธทั้งหลายไปมากแต่ในด้านของคุณภาพแล้วข้าย่อมจะเหนือล้ำแม้แต่เหล่าเจ้าฟ้าดิน! เวลานี้พิภพโกลาหลของข้ามันแทบจะดูดพลังฟ้าดินของมหาพิภพถงเทียนได้ไม่พอแล้วด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นพิภพโกลาหลของข้ามันย่อมจะไม่ด้อยไปกว่ามหาพิภพถงเทียนเสียด้วยซ้ำ… หากพูดกันถึงแค่คุณภาพ! เวลานี้ฟ้าดินของพิภพมันได้แยกตัวออกจากกันแล้ว ขั้นตอนต่อไปย่อมจะต้องเป็นการสร้างชีวิต! แต่ข้านั้นต้องคิดให้ดีว่าโลกของข้านั้นจะเป็นอย่างไร ข้าต้องระวังให้มาก!’ เย่หยวนครุ่นคิดอยู่ในใจ
เย่หยวนถอนหายใจยาวออกมาเมื่อคิดได้เช่นนั้น “ช่างเถอะ ย่างก้าวนี้ข้าคงยังต้องคิดต่อไปให้มาก จะรีบร้อนไม่ได้!”
หลินหวู่ซวงที่ได้ยินต้องผงะไปทันที เขานั้นย่อมเข้าใจได้ว่าเย่หยวนนั้นกำลังคิดเรื่องของวรยุทธบ่มเพาะอยู่ในหัว
แต่เขาก็ได้เข้าใจอีกครั้งว่านักบุญฟ้าครามนั้นเป็นสัตว์ประหลาดแค่ไหน!
พวกเขาทั้งหลายนั้นต่างมานั่งคิดหลังจากเย่หยวนหายตัวไปว่าต่อให้พวกเขาจะมีพลังในระดับเดียวกันกับเย่หยวนทั้งในด้านพลังบ่มเพาะและพลังแนวคิดมันก็คงไม่มีทางทำลายวังสวรรค์เฝ้าได้อย่างไร้ร่องรอยเช่นนั้น
แล้วเรื่องนี้มันหมายความว่าอย่างไร?
มันหมายความว่าในระดับการบ่มเพาะเดียวกันนั้นเย่หยวนไร้เทียมทาน!
เรื่องราวเช่นนี้ต่อให้จะเป็นเหล่ามหาบรรพกาลทั้งหลายเองก็ยังไม่อาจทำได้ เช่นนั้นแล้วกำลังของนักบุญฟ้าครามนั้นมันต้องเป็นอย่างไร?
เขานั้นเคยพูดกับซ่างเหิงมาก่อนว่าหากในศึกนั้นท่านนักบุญฟ้าครามพัฒนาตัวไปจนถึงระดับของมหาบรรพกาลได้แล้วเขาคงสังหารเทียนชิงลงได้ด้วยมือเดียว!
น่าเสียดายแค่ว่าเย่หยวนนั้นไม่อาจจะเข้าร่วมสงครามสิ้นโลกครั้งก่อนได้
เย่หยวนมองดูใบหน้าของหลินหวู่ซวงก่อนจะกล่าวขึ้น “ข้านั้นจะลงเขาไปก่อน เจ้าช่วยข้าปิดล้อมเขาแปดโมฆะไว้ ระหว่างนี้ห้ามใครออกไปทั้งสิ้น! ไม่เช่นนั้นเจ้าจงสังหารมันลงเสีย!”
หลินหวู่ซวงก้มหัวรับ “ขอรับ!”
เวลานี้สีหน้าของเหล่ายอดฝีมือที่ด้านล่างนั้นต่างซีดเผือด
แต่ไม่มีใครกล้าจะทำอะไร
เวลานี้มหาค่ายกลบนเขาแปดโมฆะนี้มันได้ทำงานเต็มรูปแบบแล้ว การจะทำลายพวกเขาลงมันง่ายเสียยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ!
ต่อให้จะเป็นยอดฝีมือระดับเยว่เฟิงนั้นเองก็คงได้ตายอย่างไรที่กลบฝัง!
เพราะจะอย่างไรเสียนี่มันก็คือมหาค่ายกลระดับกฎ!
เย่หยวนค่อยๆ เดินลงเขามาจนมาผ่านหน้าเยว่เฟิง แต่จู่ๆ ตัวเยว่เฟิงก็รวบรวมความกล้าถามขึ้นมา “จ-เจ้าคือนักบุญฟ้าครามท่านนั้นจริง?”
เย่หยวนหันไปถามด้วยความแปลกใจเล็กน้อย “เจ้ารู้จักนักบุญฟ้าครามด้วย?”
เยว่เฟิงตอบกลับมาด้วยใบหน้าเหยเก “บรรพบุรุษของตระกูลข้านั้น… เคยเข้าร่วมสงครามสิ้นโลกครั้งก่อนมาก่อน! ตำนานของสองนักบุญฟ้าครามและมายาล้ำนั้นมันถูกส่งต่อมาในตระกูลเรา! บรรพบุรุษสั่งสอนข้าไว้เสมอว่าหากได้พบเจอท่านนักบุญฟ้าครามเราต้องแสดงความเคารพอย่างสุดตัว!”
พูดจบเยว่เฟิงก็คุกเข่าก้มลงต่อหน้าเย่หยวน!
…………………………