ฟุบ…
ดาบพุ่งผ่านจนเจ้าฟ้าดินห้าทลายคนที่สามของตระกูลหลินต้องตายตกลงไป
เย่หยวนนั้นไม่คิดสนใจคำร้องห้ามของหลินเฉาเถียนใดๆ
เขานั้นสังหารคนที่สามลงก่อนที่จะหยุดเท้า
ภายในเวลาแค่ราวยี่สิบอึดใจนี้เจ้าฟ้าดินห้าทลายของตระกูลหลินก็ตายลงไปถึงสามคนด้วยกัน!
เหล่ายอดฝีมือที่มาดูเรื่องราวในเวลานี้ต่างอ้าปากค้างนิ่งอยู่กับที่
พวกเขานั้นตกตะลึงในพลังของเย่หยวนจนแทบลืมที่จะหายใจ!
หนึ่งคนหนึ่งดาบ จนทำให้แม้แต่เต๋าบรรพกาลก็ยังต้องยอมแพ้
พลังการต่อสู้นี้มันทำให้คนที่ได้ยินต้องรู้สึกสิ้นหวัง
“ข-แข็งแกร่ง! หนึ่งดาบเดียวนั้นกลับสังหารเจ้าฟ้าดินห้าทลายลงได้ทันที ในโลกนี้นอกจากเต๋าบรรพกาลทั้งหลายแล้วมันคงไม่มีใครที่จะทำได้ใช่ไหมเล่า?”
“ตั้งแต่ที่เย่หยวนไปจากเทือกเขากำเนิดตรัสรู้จนถึงเวลาที่เขากลับมาในวันนี้มันเพิ่งจะผ่านไปได้กี่ปีกัน! เขานั้นกลับพัฒนาขึ้นไปถึงขั้นนี้ได้ น่ากลัวเสียจริง!”
“คนเรายิ่งบ่มเพาะไปเท่าใดมันก็จะยิ่งช้าลงเป็นเท่าทวีคูณ แต่ทำไมข้าถึงรู้สึกเหมือนว่ายิ่งเขาบ่มเพาะไปสูงเท่าใด ความเร็วของเขามันกลับเพิ่มขึ้นแทน?”
…
พวกเขาทั้งหลายนั้นชื่นชมพรสวรรค์ของเย่หยวนที่คงเรียกได้แค่ว่าเป็นสัตว์ประหลาด
เมื่อได้เห็นเย่หยวนหยุดเท้าลงตัวหลินเฉาเถียนก็อดไม่ได้ที่จะถอนใจยาว
หากเย่หยวนไล่สังหารต่อไปเรื่อยๆ เช่นนี้แล้วตระกูลหลินมันคงเหลือแค่ตัวเขาเพียงแค่คนเดียวเป็นแน่
แม้ว่าคนทั้งหลายนั้นจะเป็นลูกหลานของเขาสิ้นแต่ตัวหลินเฉาเถียนนั้นก็ไม่ได้สนใจมากมาย
เพราะความคิดของเขานั้นแตกต่างจากคนทั่วๆ ไปสิ้นเชิง
หากทายาทตายก็แค่ให้กำเนิดใหม่
สิ่งที่เขากลัวจริงๆ นั้นคือกำลังของเย่หยวน
เพราะตัวเย่หยวนในเวลานี้มันเริ่มจะเป็นภัยต่อตัวเขาขึ้นมาแล้ว!
แม้ว่าตัวเขานั้นจะใช้ชีวิตของพวกคนสนิททั้งหลายข่มขู่เย่หยวนได้แต่หากเขาผลักเย่หยวนมากเกินไปเย่หยวนก็อาจจะตัดสินใจหนีไปหลบซ่อนได้
และหากเป็นเช่นนั้นอีกไม่นานแม้แต่ตัวเต๋าบรรพกาลอย่างเขาเองนี้ก็คงไม่อาจจะต่อต้านเย่หยวนได้อีก
นั่นต่างหากคือสิ่งที่เขากลัวมากที่สุด!
ในเวลานี้เขาเริ่มจะได้เข้าใจแล้วว่าเพราะอะไรเย่หยวนนั้นถึงได้กล้ามา
โชคยังดีที่เขานั้นมีไพ่อยู่อีกหลายใบให้เล่น
เขานั้นรู้นิสัยของเย่หยวนและย่อมรู้ว่าเย่หยวนนั้นจะไม่มีทางปล่อยให้คนทั้งหลายนั้นตายลงแน่
“เย่หยวน เจ้ามันจะ…” หลินเฉาเถียนนั้นกำลังจะด่าว่าเย่หยวนแต่เย่หยวนกลับยกมือขึ้นมาห้ามตัวเขาไว้ก่อน
จากนั้นเขาก็ทิ้งร่างของหลินฮวนลงกับพื้นดิน
ฉึก!
มีดอีกเล่ม!
“ข้านั้นยังจัดการเรื่องไม่จบ หลังจากเจ้านี่มันหยุดหายใจแล้วเราค่อยมาคุยกัน” เย่หยวนกล่าวอย่างไม่คิดแม้แต่จะหันไปมอง
มันไม่มีเต๋าบรรพกาลอยู่ในสายตาของเขาเลย
หลินเฉาเถียนร้องลั่นขึ้นมา “เจ้านั้นสังหารเจ้าฟ้าดินห้าทลายแห่งตระกูลหลินข้าไปถึงสามคนแล้ว! นี่เจ้ายังจะกล้ามาสังหารคนต่อหน้าข้าอีกหรือ? ปล่อยหลินฮวนไป! ไม่เช่นนั้นคนของเจ้าก็จะได้ตายลงด้วย!”
เย่หยวนหันกลับไปมองด้วยรอยยิ้ม “เจ้าจะไม่ทำ! เพราะเจ้านั้นไม่กล้า!”
เมื่อหลินเฉาเถียนได้ยินเช่นนั้นเขาก็แทบจะสำลักขึ้นมา เจ้าหมอนี่มันกลับมองออกทะลุหมดสิ้น!
เขานั้นไม่มีอะไรต้องกลัว!
การทำลายชีวิตคนทั้งหลายนั้นลงมันไม่ได้มีประโยชน์ใดนอกจากทำให้ตัวเย่หยวนฝันแค้นลึกลงกว่าเก่า!
ดวงตาของเขานั้นจึงได้แต่เบิกมองดูเย่หยวนราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเสียให้ได้
แต่เย่หยวนนั้นกลับไม่ได้สนใจจิตสังหารใดๆ นั้นและเริ่มลงมือทรมานหลินฮวนต่อไป
เวลานี้ทั้งเทือกเขานั้นมันปกคลุมไปด้วยความเงียบงัน มีเพียงเสียงร้องโหยหวนของหลินฮวนเท่านั้นที่ดังขึ้นมาเป็นพักๆ
เขานั้นร้องขอชีวิต ร้องขอความตาย นั่งรอชะตากรรม ตื่นและสลบวนไปมา
นี่มันคือความทุกข์ทรมานอย่างแท้จริง
“หึๆ นายท่านนั้นช่างมีมือที่แม่นยำ! เจ้าหมอนี่มันสมควรตายแล้ว! รู้สึกโล่งใจขึ้นบ้างไหมเล่าพี่ว่าน?” ผางเจิ้นกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าสะใจ
เวลานี้มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลได้รักษาว่านเจิ้นเรียบร้อยทำให้สีหน้าของเขาเริ่มกลับมามีสีเลือดฝาดอีกครั้ง
เมื่อยอดฝีมือระดับโอสถเต๋าลงมือแล้วผลมันย่อมจะไม่ต้องกังวล
เมื่อได้ยินคำถามของผางเจิ้นนั้นตัวว่านเจิ้นก็พยักหน้ารับ “เจ้าหมอนี่มันสมควรตาย! พี่น้องวีรบุรุษทั้งหลายที่สละชีวิตอย่างทรงเกียรตินั้นกลับไม่มีค่าใดเมื่อออกมาจากปากมัน! หึ น่าสมเพช!”
ผางเจิ้นพยักหน้าแสดงความเห็นด้วย “ถ้าเจ้าหมูพวกนี้มันมาวางท่าอยู่แนวหลังนั้นยังพอว่าแต่เรานั้นต้องแลกชีวิตเพื่อให้ได้ชัยนั้นมาแต่กลับไร้ค่ากับพวกมัน! หึๆ จะอย่างไรนายท่านก็ยังเหมือนเดิม! สะใจเสียจริง!”
ว่านเจิ้นนั้นหันกลับไปมองด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เจ้าหมูนี่! ใครสั่งสอนให้เจ้าไปบอกนายท่านกัน?”
ผางเจิ้นผงะไปเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไป “ทำไมเล่า? เช่นนี้ก็ดีไม่ใช่หรือ? เต๋าบรรพกาลชีวิตนั้นไม่อาจจะทำอะไรนายท่านได้แม้แต่น้อย!”
ว่านเจิ้นนั้นแทบอยากจะลุกขึ้นไปตบหัวผางเจิ้นให้หน้าจมดิน ผางเจิ้นนั้นเป็นคนที่มั่นใจและหนักแน่นแต่กลับไร้สมองเกินไปหน่อย
เขานั้นไม่รู้เลยว่าการปรากฏตัวของเย่หยวนนั้นมันจะหมายถึงอะไร
ว่านเจิ้นนั้นกัดฟันกล่าวขึ้นอย่างผิดหวัง “เจ้าหมูโง่! ยิ่งนายท่านนั้นแข็งแกร่งเท่าใดมันก็ยิ่งหมายความถึงอันตรายเท่านั้น! เจ้าคิดหรือว่าหลินเฉาเถียนนั้นจะปล่อยให้ท่านกลับออกไปได้? จิตใจของนายท่านนั้นยิ่งใหญ่เหนือฟ้า ท่านย่อมจะไม่มีทางปล่อยให้คนต้องมาตายต่อหน้าเพราะตัวเองเป็นแน่! เวลานี้ยิ่งนายท่านได้แสดงฝีมือเหนือล้ำออกมาเช่นนี้หลินเฉาเถียนมันยิ่งจะต้องการให้นายท่านฉิบหายหนักกว่าเก่า! เจ้านี่… เจ้านี่นะ เฮ้อ!”
มหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลนั้นกล่าวขึ้นแทรกด้วยใบหน้าเครียด “เดิมทีแล้วพวกมันย่อมแค่อยากได้ความลับของเย่หยวนนั้น แต่เวลานี้มันมิใช่แค่นั้นแล้ว! ด้วยความที่เย่หยวนมีพลังพอจะเป็นภัยต่อมันได้มันย่อมจะไม่ปล่อยให้เย่หยวนได้กลับมาครบสามสิบสอง! ที่สำคัญไปกว่านั้นด้วยนิสัยของเย่หยวน เขาคง… ยอมตายดีกว่าจะปล่อยให้คนที่เขาห่วงใยต้องเจ็บปวดทรมาน!”
ผางเจิ้นนั้นยิ่งได้ยินก็ยิ่งหน้าซีดลงไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ต้องก้มหน้าต่ำ
เขานั้นก็ไม่ได้คิดฝันว่าผลที่ตามมามันจะหนักหนาปานนั้น
“นี่มัน… นี่มัน… เช่นนั้นเราจะทำอย่างไรดี?” ผางเจิ้นถามขึ้นอย่างกังวล
“จะทำอย่างไรได้อีกเล่า?! มีแต่ต้องแก้ปัญหาตรงหน้าเป็นอย่างๆ ไปเท่านั้น!” ว่านเจิ้นตอบกลับมา
เขานั้นรู้จักนิสัยของเย่หยวนและเมื่อเขามาเช่นนี้แล้วต่อให้จะเอาเทพเจ้าที่ไหนมาห้ามเขาก็คงไม่ฟัง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดในที่สุดหลินฮวนนั้นก็ได้สิ้นใจลง
เย่หยวนยกมือขึ้นมาปัดฝุ่นและเลือดก่อนจะหันไปหาหลินเฉาเถียน “เอาล่ะ มาคุยกัน”
คำพูดนี้ทำให้มุมปากของหลินเฉาเถียนนั้นกระตุกขึ้นทันที “ไปที่โถงกำเนิดตรัสรู้กัน พวกนั้นรอเจ้าอยู่แล้ว!”
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “มีอะไรที่จะพูดกล่าวต่อหน้าผู้คนไม่ได้หรือ? เจ้าบอกว่าข้านั้นคือคนทรยศเผ่าพันธุ์มิใช่หรือ? เวลานี้มันเป็นโอกาสเหมาะที่จะได้ประหารข้าต่อหน้าคนมิใช่หรือ? เอาสิ ข้านั้นไม่กล้าขัดขืนเพราะกลัวคนของข้าจะต้องบาดเจ็บล้มตาย”
หลินเฉาเถียนนั้นได้ยินคำด่าว่าของนักยุทธทั้งหลายลอยเข้าหูมาแต่ก็พยายามกดความคับแค้นไว้ในใจ “เด็กน้อย อย่าคิดทำตัวได้คืบเอาศอกเชียว!”
เย่หยวนยักไหล่ตอบกลับไป “คนที่ได้คืบเอาศอกมันเจ้ามากกว่าไหม? ข้านั้นอยากจะพบเจอคนของข้า หากพวกเขานั้นขาดเส้นผมไปแม้เส้นวังพำนักเก้าเต๋าบรรพกาลมันจะได้กลายเป็นทะเลเลือดแน่!”
พูดจบเย่หยวนก็แผ่จิตสังหารกลับออกไป
หากเป็นก่อนหน้าคนทั้งหลายคงหัวเราะเย้ย
แต่เวลานี้มันไม่มีใครคิดว่านี่เป็นแค่คำขู่อีก
เขานั้นจะสังหารจริง!
นั่นทำให้มุมปากของหลินเฉาเถียนกระตุกขึ้นมา “เจ้าวางใจเถอะ บรรพกาลผู้นี้ไม่ได้คิดทำร้ายใดๆ พวกมัน! พวกเจ้าทั้งหลายไปพาตัวพวกมันไปที่โถงกำเนิดตรัสรู้เสีย!”
พูดจบเขาก็หันไปหาเย่หยวน “ทีนี้จะไปได้หรือยัง?”
เย่หยวนหันกลับมาบอกมหานักบวชศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล “หลังจากพวกอิ้งหมัวหู่ออกมากันแล้วท่านพาพวกเขาไปที”
สีหน้าของคนทั้งสามที่ได้ยินนั้นต้องเปลี่ยนสีไปทันที
พูดเช่นนี้มันย่อมจะเป็นการบอกนัยๆ ว่าตัวเย่หยวนจะไม่ได้กลับออกมาแล้ว!
หลินเฉาเถียนนั้นจะไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ออกมาอีก!
เย่หยวนตามหลินเฉาเถียนไปยังโถงกำเนิดตรัสรู้แต่ที่โลกภายนอกมันย่อมจะเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่ขาดสาย
เพราะคำพูดสุดท้ายของเย่หยวนนั้นมันไม่ได้กล่าวเพื่อหาเรื่องหลินเฉาเถียนแต่เขามีเป้าหมายอื่น
มันเพื่อที่จะเปิดโปงใบหน้าที่แท้จริงของเหล่าเต๋าบรรพกาลให้ทุกคนได้รับรู้!
คำพูดนี้มันแฝงความหมายล้ำ
มีหรือที่คนทั้งหลายจะยังไม่รู้สึกตัวถึงความน่าสงสัยกันอีก?
เรื่องที่เกี่ยวพันกับความเป็นอยู่ของหลากเผ่าพันธุ์ มันจะมีอะไรที่พูดกล่าวต่อหน้าสาธารณชนไม่ได้?
ที่สำคัญไปกว่านั้นเขายังพูดถึงเรื่องเจรจา มันต้องเจรจาใด?
แค่ฆ่าๆ ให้มันจบไปกัน!
เช่นนี้เรื่องราวมันต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างแน่นอน!
…………………………