ยอดฝีมือชั้นบรรยากาศสวรรค์ที่เพิ่งบรรลุขึ้นมาได้ใหม่ๆ นั้นมันยังไม่ถูกนับว่าเป็นยอดฝีมือชั้นบรรยากาศสวรรค์บนสวรรค์สมบูรณ์มหาหยกเจิดใดๆ
ต่อให้จะเป็นเหล่าคนชั้นบรรยากาศสวรรค์เลิศน้อยขั้นต้นเองก็ยังจัดการพวกเขาลงได้อย่างง่ายดาย
แม้ว่าเสือสองปีกเขย่าสวรรค์นั้นมันจะไม่ได้เป็นสัตว์ที่ร้ายกาจมากมายแต่การจะฉีกร่างของเย่หยวนออกเป็นชิ้นๆ นั้นมันก็แสนง่ายดาย
เพียงแค่ว่าผลลัพธ์ที่ออกมามันกลับตรงกันข้าม
เย่หยวนนั้นกลับสังหารมันด้วยหมัดเดียว!
มีหรือที่พวกเขาจะรู้ได้ว่าเย่หยวนนั้นมิใช่แค่ผู้บรรลุสวรรค์ทั่วๆ ไป?
ผู้บรรลุคนอื่นๆ นั้นมักจะมีพลังแห่งกฎรุนแรงติดตัวมาเพียงหนึ่งอย่าง
แต่เย่หยวนนั้นแม้จะไม่นับเต๋าโอสถ เขาก็ยังมีพลังแห่งกฎอีกถึงสี่อย่าง!
ที่สำคัญมันยังเป็นสี่อย่างที่ผสานกันไว้แล้ว!
กำลังของเขานั้นมันแย่เสียยิ่งกว่าแย่หากเอาไปเทียบกับยอดฝีมือชั้นบรรยากาศสวรรค์เลิศน้อยขั้นสุดอย่างจุนเถียน
แต่หากเทียบกับชั้นบรรยากาศสวรรค์เลิศน้อยขั้นต้นแล้ว มันย่อมจะแข็งแกร่งอย่างมาก!
หลายเดือนที่เขาเร่ร่อนหาทางออกป่าหมึกเรืองมานี้เย่หยวนเองก็เริ่มที่จะปรับตัวรับแรงกดดันแห่งกฎของที่แห่งนี้ได้แล้ว
นอกจากกฎแห่งกาลเวลาแล้ว เย่หยวนสามารถจะใช้กฎอีกสามอย่างได้เต็มที่
เช่นนั้นแล้วการสังหารเสือสองปีกเขย่าสวรรค์มันจะเป็นเรื่องยากใด?
ลู่หยวนเจี๋ยและกุ้ยเทียนหยูนั้นหันมามองหน้ากันด้วยความอับอายและคับแค้นสุดตัว
เพียะ!
เพียะ!
คนทั้งสองหันไปตบหน้าลูกน้องของตนพร้อมๆ กัน “เจ้าไร้ประโยชน์!”
กุ้ยเทียนหยูเดินมาหยุดลงตรงหน้าเย่หยวนก่อนจะร้องลั่น “เด็กน้อย แค่สังหารเสือสองปีกเขย่าสวรรค์ลงได้เจ้าอย่าคิดว่ามันเหนือล้ำใด! สิ่งนี้แค่ข้าพ่นลมปากใส่มันก็ตายลงแล้ว! มดมันก็ยังเป็นมดอยู่วันยันค่ำ!”
เย่หยวนยกร่างของเสือสองปีกเขย่าสวรรค์ขึ้นมาก่อนจะตอบไปด้วยรอยยิ้ม “เอาสิ เป่ามันหน่อย”
กุ้ยเทียนหยูหน้าดำมืดลงทันทีคิดอยากสังหารเย่หยวนลงให้ตายๆ ไปเสีย
เวลานี้แม้แต่ตัวหยางเสว่เจินที่ทำหน้าอมทุกข์มาตลอดทางก็ยังอดหัวเราะขึ้นไม่ได้
พ่นลมสังหารนั้นมันย่อมจะเป็นการโม้โอ้อวด
กุ้ยเทียนหยูนั้นย่อมเก่งกาจพอจะสังหารนักยุทธจากมหาพิภพถงเทียนด้วยแค่ลมหายใจ
แต่ไม่ว่ามันจะอ่อนแอแค่ไหนตัวเสือสองปีกเขย่าสวรรค์ก็ยังเป็นถึงภูติแท้!
ภูติแท้นั้นมันมีระดับพลังเทียบชั้นบรรยากาศสวรรค์
มันมิใช่เรื่องยากหากกุ้ยเทียนหยูคิดจะสังหารเสือสองปีกเขย่าสวรรค์ลง แต่การใช้แค่ลมหายใจนั้นคงเป็นการโม้เกินจริงแล้ว
หลังจากเรื่องราวจบลงหยางเสว่เจินก็ลากตัวเย่หยวนไปคุยด้วย
ได้เห็นเช่นนั้นไฟแค้นของลู่หยวนเจี๋ยและกุ้ยเทียนหยูก็ยิ่งจะรุ่มร้อนขึ้นมา
หยางเสว่เจินนั้นมีรูปงามอย่างมาก นางนั้นนับได้ว่าเป็นสาวงามล่มเมืองคนหนึ่งที่มีใบหน้าท่าทางสูงส่งทำให้คนไม่กล้าจะเข้าใกล้ง่ายๆ
“วันพรุ่งนี้เราจะออกจากเขตของป่าหมึกเรืองแล้ว เราแยกทางกันตอนนั้นเถอะ เหล่านักยุทธของสวรรค์สมบูรณ์มหาหยกเจิดนั้นต่างดูถูกเหยียดหยามผู้บรรลุสวรรค์อย่างมาก หากมิใช่เพราะข้านั้นศิษย์พี่ทั้งสองของข้าคงสังหารเจ้าไปตั้งแต่แรกเห็นแล้ว หากเจ้าอยากใช้ชีวิตสงบๆ จงเดินทางไปยังดินแดนสวรรค์ห้าแสงเถอะ ที่แห่งนั้นมันคือดินแดนของเหล่าผู้บรรลุสวรรค์ ดินแดนสวรรค์ตะวันเที่ยงนี้มันลำบากเกินกว่าที่เจ้าจะใช้ชีวิตอยู่ได้” หยางเสว่เจินกล่าวขึ้นมาอย่างตรงไปตรงมา
เย่หยวนนั้นสัมผัสได้อย่างชัดเจนแล้วว่าคลื่นพลังจากร่างของเขานั้นมันต่างจากพวกหยางเสว่เจินไปอย่างสิ้นเชิง สามารถจะแยกออกได้อย่างง่ายดาย
เหมือนว่าบนสวรรค์สมบูรณ์มหาหยกเจิดนี้เหล่าผู้บรรลุสวรรค์และยอดฝีมือชั้นบรรยากาศสวรรค์ท้องถิ่นจะไม่ถูกและด่าแบ่งแยกกันไปอย่างชัดเจน!
มันเหมือนการเป็นคนพื้นถิ่นกับคนต่างถิ่น
ความรู้สึกเหนือล้ำกว่าที่เกิดมาจากชาติกำเนิด
แม้ว่าเย่หยวนจะไม่อาจเข้าใจได้ว่ามันเหนือล้ำกว่ากันอย่างไรก็ตาม
เย่หยวนตอบกลับไป “ข้านั้นเพิ่งจะขึ้นมาถึงและยังไม่รู้เรื่องราวบนสวรรค์สมบูรณ์มหาหยกเจิดแม้แต่น้อย แม่นางจะให้เย่ผู้นี้ติดตามท่านไปสักระยะได้หรือไม่? ไม่เช่นนั้นแล้วหากข้าออกเดินทางเองอย่างไม่รู้เรื่องราว มันจะได้ตายอย่างไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำไป”
“เรื่องนั้น…” หยางเสว่เจินได้แต่พูดอ้ำอึ้ง
คำพูดของเย่หยวนนั้นมันฟังดูสมเหตุสมผลอย่างมาก
เพียงแค่ว่าตอนนี้ตัวนางเองยังเอาตัวไม่รอด มีหรือที่จะเหลือเวลามาดูแลเย่หยวนใดๆ อีก?
เย่หยวนนั้นย่อมจะไม่คิดให้นางปกป้องตัวเองใดๆ เขานั้นแค่คิดติดตามไปใช้หนี้บุญคุณให้แก่หยางเสว่เจิน
เขานั้นเห็นได้ชัดเจนว่าหยางเสว่เจินเป็นหญิงสาวจิตใจงาม เพียงแค่ว่าครอบครัวของนางเจอปัญหาใหญ่ทำให้นางทำหน้าตาอมทุกข์เช่นนี้มาตลอดทาง
ศิษย์พี่ทั้งสองของนางนั้นเองก็คงไม่มีความคิดที่ดีงามต่อนางนัก
หากเย่หยวนปล่อยให้หยางเสว่เจินจากไปแล้ว มันก็คงเหมือนการส่งเหยื่อเข้าปากเสือ
เย่หยวนผู้นี้ไม่มีทางจะปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นต่อหน้า
“ให้พูดตรงๆ แล้วกลับไปยังอาณาจักรตะวันออกครั้งนี้ ข้าคงมีแต่ศัตรูรายล้อม มันคงอันตรายเกินกว่าที่จะให้เจ้าติดตามไปได้!” หยางเสว่เจินกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าจริงจัง
แต่เย่หยวนนั้นกลับยิ้มขึ้นมา “สภาพของข้าตอนนี้ไปไหนบ้างเล่าที่มันจะปลอดภัย? สำหรับข้าที่ไม่รู้เรื่องราวอันตรายในโลกนี้ แม่นางนั้นเป็นคนที่มีจิตใจดี ข้าจึงอยากจะเชื่อแม่นาง”
หยางเสว่เจินหยุดคิดไปพักหนึ่งก่อนจะตอบกลับมา “เช่นนั้น… ก็ได้”
…
ในค่ำคืนอันเงียบงันนั้นจิตของเย่หยวนมันได้เข้าไปสอดส่องภายในพิภพโกลาหลของเขา มองดูลึกเข้าไปในเขาแห่งถงเทียน
แต่ว่าเขานั้นไม่รู้จะต้องเริ่มอย่างไร
“หลายเดือนมานี้ข้าได้แต่จ้องมองมันมานับหมื่นๆ แสนๆ ครั้งแต่กลับไม่อาจจะเข้าใจได้เลยว่าสวรรค์สัมฤทธิ์ไร้คำนั้นมันคือสิ่งใด! หรือว่าชะตาของข้ามันจะไม่เข้ากับวิชานี้กัน?”
เย่หยวนนั้นมิใช่คนไร้ความอดทนแต่หลังจากพยายามมาหลายเดือนแต่กลับไม่อาจจะวิเคราะห์ได้แม้แต่เศษเสี้ยว ตัวเขาย่อมจะต้องเกิดความสงสัยขึ้นมา
เขาได้แต่ต้องส่ายหัวสลัดความคิดด้านลบนั้นทิ้งไปก่อนจะจ้องมองดูเขาแห่งถงเทียนทุกรายละเอียด
จนสุดท้ายเย่หยวนก็รู้สึกได้ว่าหนังตาของตนมันหนักขึ้นเรื่อยๆ จนผล็อยหลับไป
ในฝันของเขานั้นตัวเย่หยวนได้มาปรากฏอยู่ในที่ว่างเปล่าแห่งหนึ่ง
พร้อมๆ กันนั้นมันก็มีหนังสือใหญ่ยักษ์วางลอยอยู่กลางอากาศ
เจ้าหนังสือนี้มันมีคลื่นพลังสุดแสนโบราณเหมือนได้ผ่านยุคสมัยมามากมายจนสั่นสะท้านทั้งกายวิญญาณ
เย่หยวนสั่นไปทั้งตัวก่อนจะร้องขึ้นมา “สวรรค์สัมฤทธิ์ไร้คำ!”
แต่ไม่นานเขาก็ต้องได้สติก่อนจะยิ้มขึ้นมาอย่างขื่นขม “สิ่งใดที่คิดในตอนกลางวันมันก็จะปรากฏให้เห็นในวันตอนกลางคืน! ข้านั้นกลับฝันเห็นสวรรค์สัมฤทธิ์ไร้คำอย่างนั้นหรือ? ดูท่าข้าจะเริ่มถึงทางตันแล้วจริงๆ! แต่จะอย่างไร… ต่อให้มันจะเป็นฝันแต่ข้าก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้!”
เย่หยวนนั้นก้าวเดินออกไปก่อนจะเปิดหน้าหนังสือยักษ์นั้นดู
ว่างเปล่า!
เย่หยวนผงะไปเล็กน้อยก่อนจะกล่าวขึ้น “สวรรค์สัมฤทธิ์ไร้คำ? หึๆ นี่หรือคือสวรรค์สัมฤทธิ์ไร้คำ? มันไม่มีคำบรรยายใดๆ เขียนไว้เลย แล้วคนเราจะบ่มเพาะมันอย่างไรเล่า?”
แต่วินาทีต่อมาภาพตรงหน้าของเย่หยวนก็เปลี่ยนไป
สวรรค์สัมฤทธิ์ไร้คำนั้นมันได้เปลี่ยนแปลงกลายเป็นเมฆหมอกแห่งความโกลาหล เย่หยวนที่ถูกมันปกคลุมอยู่นั้นรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังอันสุดแสนโบราณ
ราวกับว่าเขานั้นได้กลับมายังยุคแห่งการกำเนิดสวรรค์
ในความโกลาหลนั้นเย่หยวนกลับรู้สึกได้ถึงอากาศอันสุดแสนประหลาดสายหนึ่ง
เย่หยวนหรี่ตาลงมองก่อนจะร้องขึ้นมา “นี่มัน… มันคือวิธีการหมุนลมเป็นกระแสหรือ? เจ้าหมอกโกลาหลนี้มันดูเหมือนตอนที่ข้าเพิ่งสร้างวรยุทธบ่มเพาะขึ้นมา แต่หากเทียบกันแล้วความโกลาหลของข้ามันกลับเหมือนเป็นแค่เด็กทารกต่อหน้ามัน!”
เย่หยวนนั้นตื่นตะลึงอย่างสุดใจ
เขานั้นได้พบว่าบัญญัติเทพแห่งถงเทียนนั้นกลับมีที่มาใกล้เคียงกับหมอกโกลาหลนี้!
ได้เห็นเช่นนี้เย่หยวนก็รู้สึกได้ว่าที่เขาสร้างบัญญัติเทพแห่งถงเทียนขึ้นมามันคงมิใช่เรื่องบังเอิญแล้ว
เพราะสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมานั้นมันเป็นเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งของสวรรค์สัมฤทธิ์ไร้คำ
เย่หยวนนั้นจับสัมผัสของกระแสลมนั้นอย่างจดจ่อไม่คิดปล่อยให้รายละเอียดใดๆ หายไปจากสายตา
แต่ไม่นานเขาก็ไม่อาจจะทนจำมันไปได้อีก!
ซับซ้อนเกินไป!
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดแต่ในที่สุดร่างของเย่หยวนก็สั่นสะท้านก่อนจะผุดลุกสะดุ้งตื่นขึ้น
เขานั้นรีบส่งจิตของตนลงไปในโลกใบน้อยพยายามจะหาร่องรอยเพิ่มเติมจากเขาแห่งถงเทียน
แต่น่าเสียดายที่มันกลับน่าผิดหวัง
“ที่แท้มันเป็นแค่ฝันหรอกหรือ?” เย่หยวนกล่าวขึ้นมาด้วยความเสียดาย
แต่ไม่นานสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนสีไป
เพราะเขานั้นยังคงจำได้ว่ากระแสลมนั้นมันพัดอย่างไร!
“ภายในร่างกายนั้นคือโลกใบน้อย การหมุนวนของกระแสลมนั้นมันน่าจะเป็นเส้นทางแห่งสวรรค์สัมฤทธิ์ไร้คำ!”
เย่หยวนไม่คิดลังเลรีบเปลี่ยนร่างกายของตนให้กลายเป็นดั่งก้อนพลังงานโกลาหลทันที
จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ส่งปราณเทวะของตนไหลไปตามกระแสที่จดจำมา!
เมื่อได้ลองหมุนมันครบรอบเย่หยวนก็ต้องยิ้มกว้างขึ้นทันที!
………………………