เมื่อเดินเข้ามาถึงห้องโถงนั้นมันก็เกิดเสียงหัวเราะเยาะเย้ยเย่หยวนขึ้นมารอบด้านทันที
เทียบกับเรื่องของจุนเถียนแล้วเวลานี้คนทั้งหลายต่างจะให้ความสนใจกับนักหลอมโอสถสวรรค์ความเข้ากันได้ หนึ่งแต้มนี้มากกว่า
คนทั้งหลายนั้นเข้าใจดีว่ากู่เม่าแค่จะเปลี่ยนเรื่องด้วยการยกความเป็นไปได้อันแสนริบหรี่ขึ้นมา
มดปลวกจากภพเบื้องล่างที่เพิ่งบรรลุมันย่อมจะไม่มีทางใดที่จะสังหารจุนเถียนยอดฝีมือชั้นบรรยากาศสวรรค์ เลิศน้อยขั้นสุดลงได้อย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้นการขึ้นมาถึงของเย่หยวนมันจึงไม่น่าจะมีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเรื่องของจุนเถียนสิ้น
ป่าหมึกเรืองนั้นมันเป็นป่าที่สุดแสนกว้างใหญ่ถึงขั้นที่เย่หยวนยังหาทางออกจากป่าด้วยตัวเองไม่ได้ หรือต่อให้คนทั้งสองนั้นจะไปเจอกันเข้าคนที่ตายก็น่าจะเป็นเย่หยวนมิใช่จุนเถียน
“ท-ท่านพี่ นี่คือองค์ชายรอง!” ถังหยูกล่าวขึ้นมาเปลี่ยนเรื่อง
เขานั้นเองก็ไม่คิดว่าเย่หยวนจะหลอมกลั่นหญ้ากระดูกมังกรได้เช่นกัน
เย่หยวนนั้นไม่คิดสนใจคำกล่าวของคนทั้งหลายและหันไปทักองค์ชายรองด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ขอคารวะองค์ชายรอง!”
องค์ชายรองนั้นพยักหน้ารับก่อนจะถามขึ้น “เจ้าคือเย่หยวนหรือ? ข้าได้ยินมาว่าเจ้าได้ไปเดิมพันอะไรไว้กับอาจารย์กู่?”
เย่หยวนพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนั้น!”
องค์ชายรองจึงกล่าวขึ้นมา “นี่มันก็ผ่านไปได้ถึงสิบแปดปีแล้ว สงสัยเหลือเกินว่าน้องเย่จะฝึกฝนการหลอมไปได้ถึงไหนแล้ว?”
เย่หยวนจึงได้ตอบกลับไป “ก็แค่พอใช้”
เมื่อคำพูดนั้นถูกกล่าวมันก็ย่อมจะเกิดเสียงหัวเราะระเบิดขึ้นมาตาม
“หนึ่งแต้มนั้นกลับพอว่าพอใช้ มันจะเก่งกาจถึงแค่ไหนกัน?”
“ทำไม่ได้ก็คือทำไม่ได้ จะยังมาวางท่าใหญ่โตทำเพื่อ!”
“พี่กู่ วันหน้าท่านต้องระวังให้มากแล้ว! หากหนึ่งแต้มมันเดือดดาลขึ้นมาจริงๆ ท่านอาจจะแพ้พ่ายลงก็ได้!”
…
องค์ชายรองนั้นเองก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้เมื่อได้ยิน ผู้บรรลุสวรรค์คนนี้มันน่าสนใจจริงๆ
เย่หยวนนั้นเป็นดั่งตัวตลกไปแล้วสำหรับเขา
ดูอย่างไรก็ไร้ฝีมือแต่กลับคิดวางท่าว่าพอทำได้
คนทั้งโลกหัวเราะใส่เขาแต่เขานั้นกลับคิดว่ามันสนุกไปด้วย
คนเช่นนี้แหละคือตัวตลกที่แท้จริงไปจนถึงแก่นวิญญาณ
“หึๆ ในเมื่อเจ้าฝึกฝนมาจนถึงระดับพอใช้แล้ว ทำไมไม่ให้องค์ชายผู้นี้เป็นพยานการเดิมพันที่ยาวนานถึงสิบแปดปีนี้เสียหน่อยเล่า? ว่าอย่างไร?” องค์ชายรองกล่าวขึ้น
เย่หยวนนั้นตอบรับกลับไป “ย่อมได้”
คนทั้งหลายหัวเราะลั่นขึ้นมาอีกครั้ง
กู่เม่ายิ้มตอบไป “เด็กน้อย เฒ่าผู้นี้รอมาตั้งสิบแปดปี แต่ละครั้งที่ข้าไปหาเจ้านั้นเจ้ากลับเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง! หึๆ เฒ่าผู้นี้อยากจะเห็นเสียจริงๆ ว่านักหลอมโอสถสวรรค์หนึ่งแต้มนั้นมันจะเก่งกาจสักเท่าใด!”
เย่หยวนหันกลับไปมองพร้อมกล่าว “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเจ้าจึงได้ดูมั่นใจมากมาย ที่แท้เจ้าก็ได้สมบัติที่ช่วยกดอาการพิษไฟในร่างได้แล้วนี่เอง”
กู่เม่านั้นต้องหุบปากที่หัวเราะลงทันทีที่ได้ยิน
เขานั้นถูกมองออกอีกครั้งแล้ว!
หลายปีก่อนนั้นเขาได้พบเจอสมบัตินามว่าหยกหทัยน้ำแข็ง แม้ว่ามันจะไม่อาจกำจัดพิษไฟในร่างของเขาได้แต่มันก็ช่วยกดอาการลงได้อย่างมาก
เพราะฉะนั้นหลายปีมานี้เขาจึงเริ่มมีความกล้าหาญมากขึ้น
ได้เห็นกู่เม่าหยุดหัวเราะลงเช่นนั้นคนทั้งหลายก็รู้ได้ทันทีว่าเย่หยวนนั้นกล่าวจี้ถูกจุดของกู่เม่าแล้ว
เป็นเวลานี้เองที่คนทั้งหลายเพิ่งได้รู้ความจริงว่ากู่เม่านั้นกำลังถูกพิษไฟรังควานอยู่!
เรื่องนี้มันทำให้คนทั้งหลายตกตะลึงไม่น้อยเพราะดูท่าเจ้าเด็กคนนี้จะไม่ได้พูดจาไร้สาระ
ถังหยูนั้นเองก็ต้องอ้าปากค้างตาม ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมวันนี้กู่เม่าถึงได้กล้าทำอะไรเช่นนี้ ที่แท้เขานั้นก็มีของที่พึ่งพาได้ไว้กับมือแล้ว!
เดิมทีนั้นสิ่งที่กู่เม่าพึ่งพามากที่สุดมันคือพลังอำนาจของตระกูลถัง แต่เมื่อกู่เม่าได้สมบัติที่กดอาการของตัวเองไว้ได้เขาก็ย่อมจะไม่กลัวที่ต้องออกไปหาคู่ค้าใหม่อีก
สีหน้าของกู่เม่าค่อยๆ เปลี่ยนสีไปก่อนจะร้องตอบ “หึ! แล้วมันทำไมเล่า? เวลานี้เฒ่าผู้นี้ไม่ต้องเกรงกลัวพิษไฟใดๆ อีกแล้ว เจ้ายังคิดจะใช้คำพูดเช่นนั้นมาข่มขู่ข้าหรือ?”
เย่หยวนส่ายหัวตอบกลับไป “เปล่าประโยชน์! สมบัติของเจ้านั้นมันรักษาได้แค่อาการ ไม่อาจจะรักษาต้นเหตุได้ ยิ่งเจ้ากดอาการตนลงไปเท่าใดวันหน้ามันก็จะยิ่งทำให้รากของพิษหยั่งลึก! เว้นเสียแต่ว่าเจ้านั้นจะไม่แตะต้องเต๋าไฟอีก”
กู่เม่าหัวเราะขึ้นมา “เลิกว่าทางอวดดีขู่ผู้คนเสียเถอะ! เวลานี้เจ้าคิดดีกว่าว่าจะผ่านเรื่องราวในวันนี้ไปได้อย่างไร!”
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “งั้นเจ้าก็ลงมือก่อนได้เลย”
กู่เม่านั้นผงะไปนิดหน่อยไม่นึกฝันว่าเย่หยวนจะยังมั่นหน้าได้ขนาดนี้แต่เขาก็หัวเราะเย้ยกลับไป “วางท่า! ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเจ้าก็ดูให้ดีแล้วกัน!”
หญ้ากระดูกมังกรนั้นมันถูกเตรียมรอไว้ตั้งแต่เย่หยวนยังมาไม่ถึงแล้ว กู่เม่านั้นจึงยกมือขึ้นมาดึงมันไปพร้อมจุดเต๋าไฟขึ้นมาในฝ่ามือ
หลังจากผ่านการหลอมกลั่นไปได้สักพักหนึ่งมันก็ปรากฏก้อนหญ้ากระดูกมังกรสีขาวใสขึ้นต่อหน้าคนทั้งหลาย
แน่นอนว่าฝีมือระดับนี้มันย่อมทำให้เกิดเสียงชื่นชมขึ้นรอบด้าน
เวลานี้แม้แต่องค์ชายรองเองก็ยังต้องพยักหน้ารับ “อาจารย์กู่นั้นนับวันยิ่งเก่งกาจขึ้น! ข้าเกรงว่านอกจากอาจารย์หลินแล้วในอาณาจักรตะวันออกนี้มันคงแทบไม่มีใครเทียบเคียงฝีมือของอาจารย์กู่ได้แล้ว”
อาจารย์หลินที่องค์ชายรองกล่าวถึงนั้นมันย่อมจะเป็นคนรับใช้ในตระกูลราชวงศ์ผู้หนึ่ง เขานั้นคือนักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสองเพียงคนเดียวของอาณาจักรตะวันออก
คำพูดนี้มันย่อมจะเป็นการเยินยอแล้ว
กู่เม่านั้นย่อมจะยิ้มกว้างกลับไปเมื่อได้ยิน “องค์ชายจะพูดเกินไปแล้ว! วิชาน้อยๆ ของข้านี้ข้าไม่กล้าเอามาอวดผู้คนหรอก! แต่ว่านอกจากอาจารย์หลินแล้วมันก็ยังมีอีกคนที่กู่ผู้นี้ไม่กล้าบอกว่าจะชนะได้แน่ๆ! เพราะจะอย่างไรเสียหนึ่งแต้มมันก็น่ากลัวจนเกินไป!”
“ฮ่าๆๆ…”
เสียงหัวเราะดังขึ้นมาอีกระลอกหนึ่ง
องค์ชายรองนั้นหันมากล่าวกับเย่หยวน “น้องเย่ อาจารย์กู่ท่านนั้นก็ได้หลอมเสร็จไปแล้ว ที่เหลือก็ถึงตาเจ้า! ทำไมเจ้าไม่ลองแสดงออกมาหน่อยเล่าว่าความพยายามสิบแปดปีนั้นมันเหนือล้ำปานใด?!”
เย่หยวนพยักหน้ารับก่อนจะยกแขนเสื้อขึ้นดึงเอาหญ้ากระดูกมังกรขึ้นมาไว้ในฝ่ามือ
เขาค่อยๆ หลับตาลงก่อนจะทิ้งตัวลงสัมผัสกับคลื่นพลังจากหญ้ากระดูกมังกร
พร้อมๆ กันนั้นมันก็ได้ปรากฏเต๋าไฟขึ้นมาบนฝ่ามือ
เมื่อกู่เม่าได้เห็นเช่นนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่ต้องหรี่ตามองดู
“เจ้าเด็กคนนี้มันพัฒนาวิชาการควบคุมไฟขึ้นไปอีกขั้นแล้ว!” กู่เม่าร้องขึ้นมา
เดิมทีนั้นเย่หยวนมีวิชาการควบคุมไฟที่ถึงระดับของความสมบูรณ์แบบ ราวกับว่าเขานั้นกำลังทำการแสดง
แต่สิบแปดปีให้หลังนั้นวิชาการควบคุมไฟของเย่หยวนก็ยังก้าวขึ้นไปถึงระดับที่สูงกว่าเก่าได้!
หากเมื่อสิบแปดปีก่อนนั้นมันคือความสมบูรณ์ เช่นนั้นครั้งนี้มันก็คงเป็นสูงสุดคืนสู่สามัญ!
ไม่มีภาพสวยงามตระการตาใดๆ มีเพียงแค่ความเรียบง่ายที่ส่งประโยชน์ถึงที่สุด!
เมื่อคนทั้งหลายได้เห็นเช่นนั้นพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างขึ้นมา
พวกเขานั้นไม่คิดฝันว่าเย่หยวนนั้นกลับมีวิชาที่สูงล้ำถึงปานนี้!
แต่ว่าจะอย่างไรคลื่นพลังที่ส่งออกมาจากร่างของเย่หยวนนั้นมันก็ทำให้คนทั้งหลายกลับมาตั้งสติได้แทบทันที
“หึ ไม่ว่าจะมีวิชาการควบคุมไฟที่ดีแค่ไหนมันก็ยังไร้ประโยชน์! เมื่อไม่มีความเข้ากันได้แล้วประตูแห่งนักหลอมโอสถสวรรค์ย่อมจะปิดลงตลอดกาล!”
“มีความกันได้สุดแสนอ่อนแอจริงๆ! ข้านั้นแทบจะสัมผัสไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!”
“หึๆ เขานั้นกำลังหลอมหญ้ากระดูกมังกรอยู่แท้ๆ แต่ทำไมข้าถึงสัมผัสได้ราวกับว่าสองโลกกำลังแยกออกจากกัน?”
…
เหมือนเมื่อสิบแปดปีก่อน เย่หยวนนั้นยังคงไม่มีร่องรอยของความเข้ากันได้ใดๆ
องค์ชายรองนั้นหรี่ตาลงมองวิชาการควบคุมไฟของเย่หยวนด้วยความตกตะลึง
แต่ไม่นานเขาก็ต้องส่ายหัวขึ้นมาด้วยความเสียดาย
วิชาควบคุมไฟที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้มันกลับไร้ค่าไป!
เย่หยวนย่อมไม่ได้คิดสนใจคำพูดเย้ยหยันของคนทั้งหลายและยังคงตั้งสมาธิแน่วแน่ไปกับการหลอมหญ้ากระดูกมังกร
ต่อให้สวรรค์จะปิดประตูลง มันก็ย่อมจะยังมีหน้าต่างให้เราเข้าไปถึงได้!
สิบแปดปีมานี้สิ่งเดียวที่เย่หยวนทำคือการตามหาหน้าต่างบานนั้น!
สิบแปดปีที่ผ่านมาวันแล้ววันเล่าเขานั้นได้เสาะหามันมาตลอดทาง
เขานั้นฝึกฝนสัญชาตญาณของเขาให้พัฒนาจนถึงที่สุด!
เบื้องหน้าของเขานั้นมันยังคงเป็นความยุ่งเหยิงที่เขาไม่อาจแยกแยะ
แต่เขานั้นมีสัญชาตญาณที่คมกริบต่อเต๋าโอสถ!
หญ้ากระดูกมังกรตรงหน้าของเขานั้นมันค่อยๆ ละลายลงไปจนกลายเป็นก้อนขึ้นเรื่อยๆ
และเจ้าก้อนหญ้ากระดูกมังกรนั้นมันก็ค่อยๆ ใสสว่างขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน!
คนทั้งโถงนั้นต้องเงียบปากลงไปเมื่อได้เห็น
เสียงเย้ยหยันใดๆ นั้นมันจางหายไปสิ้นเหลือไว้เพียงสีหน้าสุดตกตะลึง!
………………………