ตอนที่ 2853 ห่างชั้นกันคนละมิติ!
ระดับแท้ไประดับลึกล้ำนั้นมันเป็นระยะห่างที่กว้างมาก
เหมือนตัวชางหยงหนิงนั้นเองเขาก็ก้าวขึ้นมาถึงระดับแท้ได้ตั้งแต่ชั้นบรรยากาศสวรรค์เลิศใหญ่แต่หากเทียบแล้วเขาย่อมจะด้อยกว่าศิษย์ของนิกายยาสุดล้ำไปมาก
ในนิกายยาสุดล้ำนั้นระดับแท้คือมาตรฐานการเข้านิกาย
แต่มีคนไม่กี่คนที่สามารถก้าวไปถึงระดับลึกล้ำได้!
นักหลอมโอสถสวรรค์ส่วนใหญ่นั้นสามารถที่จะก้าวขึ้นระดับลึกล้ำได้ตอนที่พวกเขาอยู่ในระดับแปด
แต่มันก็มีบ้างที่ไม่อาจบรรลุระดับลึกล้ำไปได้เลย
คนที่สามารถบรรลุระดับลึกล้ำได้แต่ตั้งอยู่ระดับเจ็ดนั้นมันล้วนแล้วแต่เป็นยอดอัจฉริยะ!
ส่วนคนที่สามารถบรรลุระดับลึกล้ำได้แต่ตั้งบรรลุระดับเจ็ดไปใหม่ๆ นั้นย่อมจะกลายเป็นคนสำคัญที่นิกายให้ความสำคัญอย่างมาก
ยอดอัจฉริยะเช่นนั้นมันมีโอกาสขึ้นไปได้ถึงระดับเก้าในวันหน้า!
ส่วนคนที่บรรลุระดับลึกล้ำได้ตอนยังอยู่ระดับหกนั้นนอกจากโจวซ่งฉวนแล้วมันก็แทบไม่มีใครอีก
เป้าหมายของหลู่เต้าอี้นั้นมันคือการก้าวขึ้นระดับลึกล้ำก่อนจะบรรลุระดับเจ็ดเช่นกัน
แค่นี้มันก็คงเห็นได้ชัดเจนแล้วว่าโอสถสวรรค์ระดับแท้นั้นมันพัฒนาสู่ระดับลึกล้ำได้ยากแค่ไหน!
ส่วนคนที่บรรลุได้ตั้งแต่ระดับห้านั้นมันย่อมจะไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน!
แต่วันนี้มันได้เกิดขึ้นแล้ว!
ระดับลึกล้ำนั้นมันคือระดับคุณภาพโอสถสวรรค์แต่ก็นับเป็นอาณาจักรพลังด้วย
เพราะการจะขึ้นไปถึงระดับลึกล้ำได้นั้นมันย่อมจะต้องมีเต๋าโอสถที่เหนือล้ำฟ้าดิน มันต้องเป็นคนที่ก้าวขึ้นมาถึงปากทางของปรมาจารย์โอสถสวรรค์โกลาหลแล้ว
ตอนนี้ตัวเย่หยวนอยู่ในสภาวะไร้ตัวตนปล่อยให้เต๋าโอสถไหลผ่านร่างไป
การบรรลุขึ้นมานั้นมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้แน่นอนแต่เย่หยวนนั้นกลับไม่ได้คิดจะหยุดแค่ที่ระดับลึกล้ำ
เพราะการดึงกฎของหยุนซานนั้นมันทำให้เย่หยวนได้เปิดหูเปิดตาจนตอนนี้เขาก็ยังคงจดจ่อกับคัมภีร์อยู่
เรื่องการบรรลุของตัวเองนั้นเขาไม่ได้สนใจเลย
เขานั้นยังคงสนใจเพียงแค่ความรู้ในแผ่นหยกตรงหน้าแต่ว่าทั้งนิกายยาสุดล้ำนั้นมันได้แตกตื่นกันไปทั่วแล้ว!
ข่าวนี้มันเหมือนดั่งบอกว่าตะวันขึ้นทางทิศตะวันตก แน่นอนว่าคนทั้งนิกายย่อมจะต้องอ้าปากค้าง
ข่าวเรื่องหลู่เต้าอี้เอาชนะหวางจี้ใดๆ นั้นถูกกลบหายไปสิ้น
ชัยชนะสิบเก้าครั้งต่อเนื่องกัน!
ตอนนี้เขาเอาชนะนักหลอมโอสถสวรรค์ระดับหกมาได้กว่าครึ่งแล้ว!
แต่ว่าเรื่องราวที่หลู่เต้าอี้ใช้เวลากว่าครึ่งเดือนสร้างขึ้นมานี้มันกลับถูกการบรรลุของเย่หยวนบดขยี้ลงทันที
เย่หยวนยังไม่ทันได้ทำอะไรก็เอาชนะอีกฝ่ายได้เสียแล้ว!
เรื่องราวของพวกเขานั้นมันแตกต่างกันคนละชั้นมิติ!
เขาและหลู่เต้าอี้นั้นมันอยู่กันคนละโลกอยู่แล้ว
เรื่องการท้าทายของหลู่เต้าอี้นั้นเย่หยวนย่อมจะไม่คิดจดจำมันใส่ใจ
แต่การบรรลุของเย่หยวนนั้นมันได้แย่งความสนใจไปจากตัวหลู่เต้าอี้จนสิ้น!
ตอนนี้มันไม่มีใครไปสนใจยอดอัจฉริยะที่ตั้งโจวซ่งฉวนเป็นเป้าหมายอีกต่อไปแล้ว
เพราะตอนนี้มันได้มียอดอัจฉริยะที่เหนือกว่าโจวซ่งฉวนปรากฏขึ้นมา!
เย่หยวนนั้นไม่ได้แค่เอาชนะไปเฉียดฉิวแต่ว่าเขานั้นเอาชนะไปอย่างสิ้นเชิง!
ก่อนหน้านี้ตำนานของนิกายยาสุดล้ำนั้นคือการบรรลุระดับลึกล้ำตอนอยู่ระดับหกขั้นสุด
แต่เย่หยวนนั้นกลับบรรลุได้ด้วยระดับห้าเท่านั้น!
มันต่างกันอาณาจักรหนึ่งเต็มๆ!
เจ้าเป็นอัจฉริยะ?
ฮ่าๆ ไปนั่งเล่นคนเดียวไป!
ในสายตาของอัจฉริยะนั้นมันไม่มีคำว่าก้าวตามมีแต่ต้องเหนือกว่า!
ในความคิดของเย่หยวนย่อมจะไม่มีใครเทียบเคียงเขาได้
เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่คิดเสียเวลาไปประลองกับหลู่เต้าอี้
เมื่อทางสำนักฉินชานได้ยินเช่นนี้พวกเขาก็ต้องยืนนิ่งไปเป็นสิบๆ นาที!
เย่หยวนตัวตลกตัวนี้ของพวกเขามันได้ถูกทิ้งไปจากความสนใจแล้ว
เพราะในความคิดของพวกเขานั้นเย่หยวนเป็นได้แค่ขยะ
เป้าหมายของพวกเขานั้นคือจั่วเฉิน!
การตบหน้าเย่หยวนวันนั้นมันก็เพราะอยากจะตบหน้าจั่วเฉินด้วย ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเย่หยวนมากมาย แต่ขยะคนหนึ่งในสายตาของพวกเขานั้นกลับผงาดขึ้นมากลายเป็นดาวเด่นแห่งเทือกเขาชัยบูรพาไปในพริบตา!
เรื่องนี้มันทำให้คนทั้งหลายต้องสิ้นหวัง!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวหลู่เต้าอี้!
‘อ่า คิดอย่างนั้นแล้วจะมายืนอยู่หน้าบ้านข้าทำไมอีก? ไสหัวไปได้แล้ว’
‘ไปเถอะ ข้าไม่ประลองกับเจ้า เพราะมันไม่มีค่าอะไรเลย’
‘คิดอย่างไรก็เรื่องของเจ้าเถอะ’
น้ำเสียงและท่าทางเฉยชาของเย่หยวนนั้นมันยังดังก้องในหัวของเขา
ตอนนั้นช่างฟังดูน่าหัวเราะ
แต่ตอนนี้พวกเขาได้เข้าใจแล้วว่าคำพูดนั้นไม่ได้เกิดขึ้นมาจากความหน้าด้านใดๆ แต่มันเป็นเพราะว่าเย่หยวนไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาเลย!
ในตอนนี้หลู่เต้าอี้ได้แต่ต้องนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องเมื่อครั้งเดือนก่อน สายตาของเย่หยวนที่ไม่ได้สนใจพวกเขา!
เขาคนนี้ ยอดอัจฉริยะที่เทียบเคียงกับโจวซ่งฉวนได้นั้นกลับถูกเมินสิ้น!
และคนที่เมินเขานั้นมันเป็นแค่เด็กใหม่ที่มีพลังบ่มเพาะไม่เท่าเขาด้วยซ้ำ!
มันเป็นไปได้อย่างไรกัน? มันเป็นไปได้…
หลู่เต้าอี้บ่นออกมาไม่ขาดปากราวกับคนเสียสติ
เรื่องราวนี้มันถูกยืนยันมาแล้วโดยตัวบรรพบุรุษผู้ดูแลห้องสมุดคัมภีร์อย่างฟานหลี่
ตอนที่เขาบรรลุนั้นคนที่อยู่รอบๆ เองก็มีไม่น้อยด้วย
ข้าไม่ยอมรับ! ข้า…จะไปท้าทายเขา! หลู่เต้าอี้กล่าวขึ้นก่อนจะพุ่งตัวออกไป
ฉินชานนั้นขยับมือดึงตัวหลู่เต้าอี้กลับมานั่งที่เก่า
ฉินชานมองหน้าหลู่เต้าอี้ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยท่าทางเหนื่อยใจ เต้าอี้ช่างมันเถอะ! แม้ว่าพูดเช่นนี้มันจะเป็นภัยต่อเจ้า แต่อาจารย์มีแต่ต้องพูดเท่านั้น ชาตินี้เจ้าไม่อาจจะเอาชนะเขาได้หรอก! พวกเจ้านั้น…ห่างชั้นกันคนละมิติ!
อ๊าก!
หลู่เต้าอี้กระอักเลือดขึ้นมาก่อนจะล้มฟุบหมดสติลงไปทันที
เมื่อเหล่าศิษย์คนอื่นๆ ได้เห็นเช่นนั้นพวกเขาก็ต้องหน้าซีดลงทันที
อาจารย์พูดตรงเกินไปมันจะไม่เป็นการทำลายตัวศิษย์น้องเอาหรือ? หวังหลินอดถามขึ้นไม่ได้
ฉินชานถอนใจยาวออกมา เขานั้นแตกต่างกับเย่หยวนกันคนละโลก! ต่อให้จะเป็นอาจารย์ปู่โจวซ่งฉวนท่านเองก็คงไม่อาจเทียบเคียงเย่หยวนได้! หากเต้าอี้ไม่รู้ถึงเรื่องนี้แล้ว เต๋าโอสถของเขามันก็คงจะหยุดลงแค่นี้ ไม่อาจพัฒนาไปได้อีกแม้แต่น้อย! แท้จริงแล้วตัวเขานั้นมากพรสวรรค์เก่งกาจพอจะเทียบเคียงอาจารย์ปู่โจวซ่งฉวนได้ มันไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องไปเทียบกับเขาคนนั้นเลย หากเต้าอี้เข้าใจจุดนี้แล้ววันหน้ามันก็ต้องกลายเป็นยอดคนใหญ่โตได้แน่! เพียงแค่ว่า…คงยากเย็นเหลือเกินแล้ว!
ฉินชานนั้นเป็นอัจฉริยะในยุคของตัวเองเช่นกัน เขาย่อมจะเข้าใจศักดิ์ศรีของอัจฉริยะ!
ยิ่งอัจฉริยะเท่าไหร่มันก็ยิ่งเปราะบางเท่านั้น!
เพราะฉะนั้นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัตินิกายยาสุดล้ำมันจึงเป็นโจวซ่งฉวน และหลู่เต้าอี้ที่เทียบเคียงกับโจวซ่งฉวนได้นั้นจะไม่มีความเย่อหยิ่งในตัวหรือ?
แต่ว่ายิ่งเป็นเช่นนั้นเท่าไหร่มันก็ยิ่งเปราะบางเท่านั้น การจะดึงตัวเองกลับขึ้นมาจากความพ่ายแพ้ที่ราบคาบนั้นมันคงเป็นเรื่องยากยิ่งแล้ว!
เขาจะก้าวกลับขึ้นมาได้หรือไม่มันก็ต้องวัดกันด้วยใจเท่านั้นแล้ว
ฉินชานนั้นทำเช่นนี้ก็หวังเพื่อจะให้หลู่เต้าอี้รีบๆ ยอมรับความจริงและกลับมามุ่งมั่นฝึกฝนให้หนักกว่าเก่า!
เพราะนี่เป็นทางเดียวที่เขาคิดออกแล้ว!
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นมันก็ยังยากเกินหวังได้!
หวังหลินนั้นกล่าวขึ้นมาด้วยความขมขื่นในใจ เพราะอะไรกัน? ไอ้เด็กนั่นมันมีดีอะไรถึงได้บรรลุระดับลึกล้ำได้? มันแค่ระดับห้าเองแท้ๆ!
นึกย้อนกลับไปถึงภาพเมื่อครึ่งเดือนก่อนนั้นเขาได้แต่คิดว่าเย่หยวนช่างน่าขัน แต่ตอนนี้เย่หยวนกลับดูสูงส่งเกินมือเขาจะเอื้อมถึง!
หลายคนนั้นพอได้เงินมาหน่อยก็ชอบอวดตัวและทำท่าเหมือนยิ่งใหญ่เพื่อชดเชยในส่วนที่ขาดหายไป แต่ว่าคนรวยจริงๆ นั้นไม่ค่อยจะอวดให้คนอื่นได้เห็น พวกเขานั้นแค่ใช้ชีวิตไปตามปกติของตน เพราะฉะนั้นเมื่อคนที่เพิ่งมีเงินมาอวดอ้างตัวว่าร่ำรวยเก่งกาจต่อหน้าเศรษฐีมันก็มีแต่จะต้องเจอสภาพเช่นนี้!
อับอายไปจนถึงต้นตระกูล!
ตัวฉินชานนั้นเองก็ได้แต่ทำหน้าเหยเกขึ้นมาเพราะดูท่าเขาเองก็ไม่อยากจะรับความจริงนี้ไว้สักเท่าไหร่
นั่นสิ มันมีดีอะไรกันแน่? เรื่องใหญ่โตเช่นนี้พวกท่านทั้งหลายที่เขตแดนสวรรค์สัมบูรณ์เองก็คงตกตะลึงกันไม่น้อยเลยใช่ไหม? ฉินชานกล่าวขึ้น
……………………………..