“ข้าไม่นึกเลยว่าวันนี้มันจะเป็นศิษย์น้องหยุนหนีที่นำมาเอง!”
ก่อนที่คนทั้งหลายจะทันได้ร่อนตัวลงพื้นมันก็มีชายหนุ่มหน้าตาห่างไกลจากคำว่าหล่อเหลาปรากฏขึ้น
พร้อมกับกล่าวทักทายด้วยท่าทางเจ้าชู้
เย่หยวนได้แต่ต้องกลอกตาหนี ‘เจ้าไม่เคยส่องกระจกดูหน้าตัวเองบ้างหรือ?’
แน่นอนว่าตัวหยุนหนีเองก็ไม่คิดจะสนใจและกล่าวตอบกลับไปอย่างเย็นชา “ศิษย์พี่ซานหยาง เวลามันไม่เคยคอยใคร ในเมื่อเรามากันครบแล้วก็เริ่มเถอะ!”
ซานหยาง?
ที่หมายความว่าแพะภูเขา?
ชื่อนี้มันช่างสมกับเจ้าของนัก
เพราะดูหน้าแล้วซานหยางคนนี้มันไม่ได้ต่างอะไรไปจากแพะภูเขาเลย!
เมื่อซานหยางได้เห็นท่าทางไม่รับแขกของหยุนหนีนั้นตัวเขาก็ต้องยิ้มแห้งๆ ตอบกลับไป “ฮ่าๆ ศิษย์น้องหยุนหนีกล่าวได้ถูกต้องแล้ว เช่นนั้น…เริ่มกันเลยดีหรือไม่?”
คนอื่นๆ นั้นต่างแอบหัวเราะขึ้นมาในใจ
เพราะตัวซานหยางนั้นเองก็เป็นยอดฝีมือพลังคลื่นกำเนิดของแดนวิญญาณกลาง
เขานั้นมีกำลังแข็งแกร่งเทียบเคียงหยุนหนีจึงไม่มีใครกล้าหัวเราะออกมาจริงๆ
คนที่นำกลุ่มยอดอัจฉริยะมาจากดินแดนอื่นนั้นมันก็ล้วนแล้วต่างเป็นยอดฝีมือคลื่นกำเนิดเช่นกัน
เรื่องนี้มันหมายความว่าตัวตนของหยุนหนีนั้นมันสูงส่งอย่างมากในแดนวิญญาณอมตะนี้!
เย่หยวนหันไปมองหน้าคนทั้งหลาย
และเขาก็พบว่าหากนับคนจากทั้งห้าดินแดนแล้ว ผู้ที่มีร่างวิญญาณกึ่งอมตะนั้นก็มีมากเกือบสองร้อยคน
เท่านี้ทุกอย่างมันก็ชัดเจน
มันไม่ได้ล้ำค่าใดๆ อย่างที่เขาคิดแต่แรก!
ซานหยางนั้นพากลุ่มคนราวสองร้อยนั้นเดินมาหยุดหน้าเจดีย์ใหญ่หนึ่ง
เจดีย์นี้มันมีทั้งหมดเจ็ดระดับด้วยกันแยกออกเป็นเจ็ดสี
“นี่คือเจดีย์เจ็ดสีเป็นสมบัติโกลาหลสวรรค์! ก่อนนั้นบรรพบุรุษบู๋เมี่ยท่านได้สร้างขึ้นมาเพื่อตามหาร่างวิญญาณอมตะที่สองแต่น่าเสียดายว่าไม่มีใครสามารถก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าโลกผู้อมตะคนที่สองได้! เจดีย์เจ็ดสีนี้มันไม่ได้เปิดขึ้นมานับแสนปีแล้วแต่ครั้งนี้ด้วยความคิดอยากรับศิษย์ของบรรพบุรุษบู๋เมี่ยท่านนั้นพวกเจ้าจึงได้มีโอกาส!” ซานหยางกล่าวขึ้น
ได้ยินเช่นนั้นมันก็มีหลายคนที่เริ่มทำหน้าตาตื่นเต้นขึ้นมา
พวกเขานั้นทำหน้าเหมือนตัวเองได้เข้ากราบเจ้าโลกบู๋เมี่ยเป็นอาจารย์แล้วก็ไม่ปาน
แต่ว่าเย่หยวนนั้นได้เห็นชายหนุ่มชุดคลุมม่วงในกลุ่มจากแดนวิญญาณกลางที่วางสีหน้าท่าทางได้เรียบเฉยมาก
เย่หยวนนั้นเข้าใจขึ้นมาทันทีว่าคนผู้นี้เองก็คงรู้เรื่องของบรรพบุรุษบู๋เมี่ยแน่แล้ว
“บรรพบุรุษบู๋เมี่ยท่านนั้นได้ทิ้งกำเนิดเต๋าวิญญาณของท่านไว้ภายใน! พวกเจ้านั้นแค่ต้องหาและเอามันมาผสานเข้ากับเต๋าตนเองก็เป็นพอ! ตราบเท่าที่มีคนสามารถผสานเข้ากับกำเนิดเต๋านั้นได้แล้วเขาก็จะได้กลายเป็นศิษย์ของบรรพบุรุษบู๋เมี่ยท่าน! เข้าใจหรือไม่?” ซานหยางประกาศขึ้น
“ผสานกับกำเนิดเต๋า! หมายความว่าข้านี้จะได้กลายเป็นยอดฝีมือคลื่นกำเนิดตั้งแต่มหาจักรพรรดิเมฆาสวรรค์หรือ?”
“คลื่นกำเนิดของบรรพบุรุษบู๋เมี่ย! นี่มันโอกาสทองเลย!”
“กำเนิดเต๋าวิญญาณนี้มันเป็นของข้า ห้ามใครมาแย่งชิงไปทั้งนั้น!”
…
เมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องนี้แล้วเหล่าผู้มีร่างวิญญาณกึ่งอมตะทั้งหลายก็แทบคลั่งไป
โอกาสเช่นนี้มันยากเกินกว่าที่จะปล่อยหลุดมือไปได้
เย่หยวนนั้นอดไม่ได้ที่จะต้องกลอกตาหนี พวกเจ้าจะไม่คิดง่ายกันไปหน่อยหรือ?
หากพลังคลื่นกำเนิดมันผสานเข้าร่างได้ง่ายดายปานนั้นมันจะยังมีเจดีย์เจ็ดสีอยู่จนถึงทุกวันนี้?
พูดจบซานหยางก็หันไปมองหน้าชายหนุ่มชุดคลุมม่วงนั้นและกล่าว “หวางเฉียน บรรพบุรุษบู๋เมี่ยท่านตั้งความหวังกับเจ้าไว้สูงมาก! เข้าเจดีย์เจ็ดสีไปครั้งนี้เจ้าต้องทำให้ดี!”
ชายหนุ่มชุดม่วงนั้นโค้งหัวตอบกลับมา “อาจารย์ลุงวางใจเถอะ หวางเฉียนนั้นจะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวังแน่นอน!”
ซานหยางนั้นยิ้มตอบกลับไปด้วยท่าทางภาคภูมิใจ
เมื่อเจดีย์เจ็ดสีนั้นเปิดออกเย่หยวนก็รู้สึกเหมือนว่าหมอกในร่างมันลุกเป็นไฟ!
เหล่าผู้มีร่างวิญญาณกึ่งอมตะทั้งหลายนั้นต่างพุ่งตัวเข้าไปอย่างไม่มีใครรอช้า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวไป๋ชุยซานนั้นที่พุ่งตัวเข้าไปอย่างรวดเร็วกว่าใครๆ
หวางเฉียนนั้นหันมามองเย่หยวนครั้งหนึ่งก่อนจะเดินหายเข้าไปบ้าง
แต่ก่อนที่เย่หยวนจะได้เดินตามออกไปนั้นหยุนหนีก็กล่าวขึ้นมาทัก “เย่หยวน!”
เย่หยวนตอบกลับไปอย่างไม่คิดหันหน้ากลับ “เออๆ จะพูดมากอะไรให้เสียเวลาอีก! วางใจเถอะ ข้าเองก็อยากจะหาบรรพบุรุษบู๋เมี่ยไปไม่น้อยกว่าพวกท่านหรอก!”
พูดจบเขานั้นก็เดินหายเข้าเจดีย์เจ็ดสีไป
แต่เมื่อได้ยินคำพูดนั้นเหล่ายอดฝีมือทั้งหลายต่างก็ต้องทำหน้าตาเหยเกออกมาตามๆ กัน
เจ้าเด็กนี่มันกลับรู้?
“น้องหยุนหนี! เจ้าเอาเรื่องเช่นนี้ไปบอกผู้คน?” หญิงแก่จากแดนวิญญาณตะวันตกนั้นถามขึ้นมา
หยุนหนีตอบกลับไปสั้นๆ “หวางเฉียนมันก็รู้มิใช่หรือ?”
เฒ่าอีกคนจึงได้ตอบกลับมาแทน “มันจะเอามาเทียบกันได้อย่างไร? หวางเฉียนนั้นคือทายาทในตระกูลท่านบู๋เมี่ยนะ!”
หยุนหนีหันกลับไปถาม “ข้าพูดแล้วก็พูดไป มันจะมีปัญหาใด?”
“เจ้า!” หญิงแก่คนนั้นกัดฟันแน่นร้องลั่นขึ้นมาจนเกิดควันพวยพุ่งจากร่าง
เวลานี้เองที่ซานหยางนั้นได้เข้ามาห้ามมวยไว้ด้วยรอยยิ้มเสียก่อน “ฮ่าๆ พูดไปแล้วมันก็แล้วไป จะมีปัญหาใดกันเล่า? ศิษย์น้องหยุนหนีนั้นเองก็ย่อมจะไม่ทรยศท่านบรรพบุรุษแน่นอน เพียงแค่ว่า…ดูน้องหยุนหนีจะมั่นใจในตัวเด็กนี่มากนะ?”
หยุนหนีพยักหน้ารับ “หากมันจะมีใครผสานเข้ากับคลื่นกำเนิดได้มันก็คงเป็นเขา!”
ซานหยางนั้นยิ้มกว้างขึ้นมา “น้องหยุนหนีไม่รู้หรือว่าก่อนที่ท่านบู๋เมี่ยท่านจะหายตัวไปนั้นท่านได้คิดจะส่งให้หวางเฉียนเข้าเจดีย์เจ็ดสีมาก่อนแล้ว? แล้วไอ้เด็กนี่มันเป็นใครมาจากไหนกัน?”
หยุนหนีตอบกลับไปอย่างเย็นเยือก “หากไม่เชื่อก็รอดูกันไป!”
หญิงแก่คนนั้นหัวเราะตอบกลับมา “เจ้าคิดว่าแค่แดนวิญญาณตะวันออกของเจ้าหรือที่หายอดอัจฉริยะได้? โจวเหยียนจากแดนวิญญาณตะวันตกของเราเองก็มีความสามารถพอจะผสานกับคลื่นกำเนิดได้เช่นกัน!”
คนทั้งสองนั้นหัวเราะขึ้นด้วยท่าทางไม่มีใครยอมใคร
…
ตึง!
ในชั้นแรกของห้วงมิตินี้มันมีเสียงกลองดังลั่นกระแทกออกมา
เย่หยวนนั้นสัมผัสได้ว่าร่างวิญญาณของตนแทบจะแตกสลายลงไปภายใต้เสียงกลองนี้
ไกลออกไปนั้นมันก็มีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นทั่วไป หลายคนนั้นถึงขั้นร่างวิญญาณแตกสลาย
“แค่กลองสนธยาระฆังอรุณยังทนรับไม่ได้! ฝีมือแค่นี้เจ้าก็คิดจะเข้าไปถึงคลื่นกำเนิดหรือ?” เสียงเย้ยหยันหนึ่งมันดังขึ้นมาจากด้านหลังของเย่หยวน
เมื่อหันกลับไปมองเย่หยวนก็ได้พบว่าเจ้าของเสียงนั้นคือหวางเฉียน
ดูท่าแล้วหวางเฉียนเองก็คงเห็นสีหน้าของเย่หยวนก่อนเข้ามาเช่นกัน
เย่หยวนหันไปมองเขาด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อแดนวิญญาณกลางนั้นเรียกคนจากแดนวิญญาณอื่นมากมันก็ย่อมจะหมายความว่าพวกเขาไม่มั่นใจด้วยมิใช่หรืออย่างไร?”
หวางเฉียนนั้นหรี่ตาลงร้องทันที “เจ้ารนหาที่ตายแล้ว!”
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “หากเจ้าคิดว่าตัวเองสังหารข้าลงได้ก็ลองดู”
หวางเฉียนคนนี้เองเป็นแค่มหาจักรพรรดิเมฆาสวรรค์ขั้นต้นเท่านั้น
มันย่อมจะไม่มีทางสังหารเย่หยวนลงได้
เพราะฉะนั้นเย่หยวนจึงไม่คิดสนใจใดๆ อีกฝ่าย
หวางเฉียนนั้นกัดฟันแน่นยิ้มตอบกลับไป “ไม่ต้องให้ข้าลงมือหรอก แค่กลองสนธยาระฆังอรุณเจ้าก็ทนรับไม่ได้ อีกไม่นานเจ้าคงได้ตายในเจดีย์เจ็ดสีนี้โดยไม่ต้องให้ข้าออกแรงแล้ว!”
ตึง!
ในเวลานี้เองที่มันเกิดเสียงกลองขึ้นอีกครั้ง
เสียงนี้มันรุนแรงกระแทกเข้าถึงกระดูกดำของผู้คน
ร่างวิญญาณของเย่หยวนนั้นเริ่มแสดงความบิดเบี้ยวออกมาจนแทบแตกสลายภายใต้เสียงกลองนี้
แต่ร่างวิญญาณของหวางเฉียนนั้นมันทรงพลังกว่ามากทำให้ยังไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา
เขานั้นมองหน้าเย่หยวนด้วยความเย้ยหยันสุดหัวใจ
“ฮ่าๆ ไอ้คางคกที่มันคิดกินเนื้อหงส์ เจ้ารับรสชาติของกลองสนธยาระฆังอรุณให้ดีเถอะ!” พูดจบหวางเฉียนนั้นก็พุ่งตัวหายไป
เย่หยวนนั้นขมวดคิ้วแน่นดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
ไม่ไกลออกไปนั้นมันมีหลายคนที่เริ่มแตกสลายลงไปเพราะเสียงของกลองสนธยาระฆังอรุณนี้
แต่ว่าจะอย่างไรร่างวิญญาณกึ่งอมตะมันก็เป็นร่างวิญญาณกึ่งอมตะ
พวกเขานั้นสามารถกลับมารวมเป็นหนึ่งได้อย่างง่ายดาย
เพียงแค่ว่าตอนนี้ร่างวิญญาณของพวกเขามันดูจางลงไปมาก
เรื่องนี้ทำให้เย่หยวนเข้าใจทันทีว่ากลองสนธยาระฆังอรุณนี้สามารถสังหารคนลงได้!
แต่นี่มันคือการสืบทอดสมบัติที่สร้างขึ้นเพื่อตามหาศิษย์ไม่ใช่หรือ?
ทำไมมันถึงได้จะสังหารคนกัน?