“นี่มัน… มันคือเย่หยวน? เขากลับยังไม่ตาย?”
“หรือว่านี่ข้าจะหลอนไปแล้ว? ดูอย่างไรเขาก็ถูกเผาไหม้สิ้นไปแล้วแท้ๆ!”
“เดี๋ยวนะ เขาไม่ตายจริงๆ! หรือบางที…เขาอาจจะเข้าใจแล้ว!”
…
คำพูดสุดท้ายนั้นมันดังออกมาจากปากของไป๋ชุยซาน
ด้วยประสบการณ์จากชั้นแรกมานั้นไป๋ชุยซานย่อมจะรู้สึกได้ว่าเย่หยวนคงเข้าใจอะไรแล้วแน่ๆ!
การฟื้นคืนชีพของเย่หยวนนั้นมันต้องเกี่ยวข้องอะไรกับสมบัติสืบทอดของชั้นนี้แน่ๆ!
ในทะเลเพลิงนั้นเย่หยวนหันมามองหน้าพวกเขาและทำให้หวางเฉียนต้องตัวสั่นขึ้น
เพราะคนที่พูดเย้ยเมื่อสักครู่มันมีแค่เขาเท่านั้น!
เขานั้นร้องดีใจเหมือนหากว่าเย่หยวนตายแล้วตัวเองจะได้กลายเป็นเจ้าโลกไป
แต่ตอนนี้เขากลับไม่อาจหัวเราะได้อีกแล้ว
“เจ้าหวังให้ข้าตายขนาดนั้นแล้วหากตอนนี้ข้ามีวิธีผ่านชั้นนี้ไปเจ้าจะยังอยากฟังหรือไม่?” เย่หยวนนั้นหันมาถามหยางเฉียนด้วยรอยยิ้มที่เย็นเยือก
หวางเฉียนนั้นรู้สึกเหมือนเป็ดที่ถูกจับขึ้นเขียง ไม่อาจจะตอบกลับอะไรไปได้แม้แต่คำเดียว
‘ข้าจะฟังหรือไม่?’
จะฟังหรือไม่ฟัง?
ฟังแล้วก็คงรอดชีวิตไปได้ แต่หน้าตาชื่อเสียงคงไม่เหลือชิ้นดี
แต่หากไม่ฟังแล้วเขาก็ต้องตายลงอย่างแน่นอน
ดังนั้นหน้าตาชื่อเสียงใดๆ…มันก็คงไม่มีค่าแล้วเช่นกัน
น่าอับอายนัก!
ทำไมถึงต้องไปปากดีเช่นนั้นด้วย?
“หวางเฉียนนั้นเก่งกาจแค่ไหนกัน! เขานั้นมีเต๋าของตัวเองไม่ต้องไปฟังอาจารย์เย่ท่านพูดอะไรหรอก!”
“ใช่ๆ! อาจารย์เย่นั้นแค่เข้าใจเต๋าเหมือนดั่งแมวตาบอดที่เดินไปชนหนูเข้าเท่านั้น มันมิใช่เรื่องยิ่งใหญ่ใดๆ ปรมาจารย์หวางนั้นคงไม่ต้องมาฟังคนระดับนี้หรอก”
“มันว่าอย่างไรนะ? อาจารย์เย่แค่โชคดีและไม่มีค่าจะเอาไปเทียบกับตัวมัน? หวางเฉียน แค่สิ่งที่อาจารย์เย่ท่านเข้าใจได้นั้นมันจะไปมีค่าอะไรในสายตาของหวางเฉียนมันกัน?”
…
หวางเฉียนนั้นอับอายอย่างมากและคับแค้นใจจนแทบอยากตายลง
เขานั้นพบว่าตัวเองนั้นได้กลายเป็นเป้าหมายศัตรูร้ายของทุกผู้คนไป
ก่อนหน้านี้เขาเองก็ปากมากเกินไปจริงๆ ทำให้คนทั้งหลายไม่พอใจขึ้นมา
ตอนนี้โลกภายนอกนั้นได้ติดทางออกจากเจดีย์เจ็ดสีไปสิ้นเชิงแล้ว
ตอนนี้สิ่งที่คนทั้งหลายหวังนั้นมันก็แค่การรอดชีวิตกลับออกไป
ส่วนเรื่องเสี้ยวคลื่นกำเนิดใดๆ นั้นมันเป็นแค่เป้าหมายรองไปแล้ว
แต่เขานั้นกลับพูดอย่างไม่คิดถึงเรื่องนี้
แถมในใจยังมีแต่ความอิจฉาริษยาโง่เง่า ทำให้ตัวเองกลายเป็นศัตรูของทุกผู้คนไป
คำพูดของคนทั้งหลายนั้นเป็นการปิดข้ออ้างใดๆ ของเขาอย่างสิ้นเชิงแล้ว!
อึดอัดนัก!
แต่อีกด้านนั้นตัวไป๋ชุยซานก็ไม่อาจทนรอได้อีกต้องถามเย่หยวนขึ้น “เย่หยวน รีบๆ ว่ามาเถอะ! ที่นี่มันคืออะไรกันแน่? ข้านั้นจะทนความร้อนนี้ไม่ไหวแล้ว!”
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ข้าคิดว่าข้านั้นเริ่มเข้าใจความหมายของร่างวิญญาณอมตะแล้ว!”
ไป๋ชุยซานนั้นผงะไปทันทีที่ได้ยิน “ความหมายของร่างวิญญาณอมตะ? แน่นอนว่ามันก็คือความอมตะฆ่าไม่ตายไม่ใช่หรือ!”
เย่หยวนส่ายหัวออกมาด้วยรอยยิ้ม “บนโลกหล้านี้มันจะมีสิ่งใดที่เป็นอมตะได้แท้จริง? แม้ว่าเจ้าโลกนั้นจะเหนือล้ำสวรรค์ไปแค่ไหนแต่พวกเขาก็ตายลงได้เช่นกัน! ร่างวิญญาณอมตะนั้นมิใช่สิ่งที่ฆ่าสังหารไม่ตาย เพียงแค่เรานั้นถูกชื่อของมันหลอกลวงให้คิดไปทางนั้นแล้ว!”
คนทั้งหลายที่ได้ยินนั้นต่างหูตั้งขึ้นมาด้วยความสงสัย
พวกเขานั้นรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะได้ยินความลับที่ยิ่งใหญ่ล้น
แม้แต่หวางเฉียนเองก็ยังอดหูตั้งไม่ได้
ส่วนอีกด้านนั้นมันมีหลายคนที่จ้องมองสภาพของเขาในตอนนี้ด้วยความสมเพช
หวางเฉียนนั้นพบว่าเย่หยวนไม่ได้คิดไล่เขาไปไหนแต่อย่างใด
เพราะฉะนั้นเขาก็จะไม่ไป
เพื่อจะอยู่รอดแล้ว คนเราต้องหน้าด้านหน้าทนเข้าไว้!
ไม่ว่าจะอย่างไรเสียตอนนี้เขาก็ไม่มีหน้าตาชื่อเสียงใดๆ เหลือแล้ว!
หวางเฉียนนั้นรู้สึกโล่งใจขึ้นมาไม่น้อยเมื่อคิดได้เช่นนั้น
แน่นอนว่าคนที่หน้าไม่อายนั้นเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด!
‘ทำตัวหน้าไม่อายนี่มันสุดยอดไปเลย!’
มันราวกับว่าอากาศรอบๆ ตัวนั้นปลอดโปร่งโล่งสบาย
“สภาพหมอกของเรานั้นเกิดขึ้นจากความโกลาหล และร่างวิญญาณของเราเองก็เป็นร่างแห่งความโกลาหลเช่นกัน! มันเป็นแบบเดียวกับเหล่ายอดฝีมือที่เกิดขึ้นจากความโกลาหลที่แข็งแกร่งมาตั้งแต่เกิดนั้น! แต่พวกเรานั้นก็แตกต่างจากพวกเขาอยู่ไม่น้อย…”
“หมายความว่าเรานั้นมีสิทธิ์สูงมากที่จะไปถึงระดับเจ้าโลกได้หรือ?” เสียงคนถามขึ้นมา
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “แน่นอน! ที่สำคัญเรายังมีความได้เปรียบที่พวกเขาไม่มีด้วย!”
หลังจากหยุดมองหน้าคนทั้งหลายไปพักหนึ่งเย่หยวนก็พูดอธิบายต่อ “ยอดฝีมือทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาจากโกลาหลนั้นเกิดขึ้นมาพร้อมพลังแค่บางด้านของความโกลาหล แต่ว่าร่างหมอกของเรานี้มันไม่มีรูปร่างไม่มีความตายตัว พวกเรานั้นสามารถเปลี่ยนเป็นอะไรก็ได้ในโลกหล้า! เราสามารถกลายเป็นสายฟ้าที่รุนแรง! เราสามารถกลายเป็นแผ่นดินที่หนักแน่น! เราสามารถกลายเป็นเพลิงร้อนที่แผดเผา!”
“เหมือนอย่างชั้นนี้! มันก็คือการบอกให้เรานั้นกลับสู่ฟ้าดินกลายร่างหมอกตัวเองให้เป็นเพลิงเผาทำลายทุกสิ่งอย่าง! ข้าว่าหากเราบ่มเพาะสิ่งนี้ไปจนถึงที่สุดแล้วบางทีมันอาจจะขึ้นไปเทียบเคียงกับระดับของเจ้าโลกเหยียนเฉินได้ทีเดียว และสามารถเผาไหม้ทุกสิ่งอย่างได้ด้วยฝ่ามือเดียว!”
เจ้าโลกเหยียนเฉินนั้นเป็นเจ้าโลกที่แข็งแกร่งมีชื่อเสียงลือลั่น
เขานั้นสามารถควบคุมเพลิงได้ดั่งใจนึกและมีการโจมตีที่รุนแรงไม่น้อยหน้าใครในทุกสวรรค์!
ต่อให้จะเป็นเจ้าโลกด้วยกัน มันก็ไม่แน่อาจจะทำอะไรเขาได้แม้แต่น้อย!
เมื่อคนทั้งหลายได้ยินเช่นนั้นพวกเขาก็รู้สึกจุกขึ้นมาในอกทันที
เพราะแค่คิดมันก็น่าตื่นเต้นแล้ว!
แต่หวางเฉียนนั้นยังคงไม่ยอมแพ้และเถียงกลับมา “หากเป็นอย่างที่เจ้าพูดนั้นจริงพวกเราเหล่าผู้มีร่างวิญญาณกึ่งอมตะนั้นหากบ่มเพาะให้ถึงที่สุดแล้วก็คงสามารถต่อต้านได้แม้แต่เจ้าโลกหรือ?”
เมื่อเขาพูดขึ้นมาแน่นอนว่ามันจะมีสายตาไม่เป็นมิตรมากมายมองใส่
“หวางเฉียน ไม่พูดมันก็ไม่มีใครว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ!”
“ฮ่าๆ เก่งมากนักไม่ไปคิดหาวิธีเอาเองเล่า?”
“พูดมากอีกข้าจะซัดหน้าเจ้าให้ตายลงไปตรงนี้เลย!”
…
คำพูดสุดท้ายนั้นมันเป็นคำจากปากไป๋ชุยซาน
เพราะตอนนี้เขามั่นใจในตัวเองอย่างมากล้น
แต่ว่าหวางเฉียนนั้นกลับไม่คิดสนใจคำของคนทั้งหลาย
เมื่อตัดสินใจว่าจะทำตัวหน้าไม่อายแล้วมันก็ย่อมจะไม่คิดสนใจใดๆ อีก
‘ข้าจะหน้าด้านอยู่ตรงนี้เจ้าจะทำอะไรข้าได้?’
แต่เย่หยวนที่ได้ยินนั้นต้องยิ้มตอบกลับไป “ตามที่ข้าอธิบายไปนั้นมันก็คงเป็นเช่นที่เจ้าว่า! เพียงแค่ว่าต่อให้เราจะบรรลุเจ้าโลกแต่การจะฝึกเต๋าใดหรือว่าหลายๆ เต๋าให้ไปถึงที่สุดพร้อมบ่มเพาะให้ถึงเจ้าโลกนั้นมันก็คงมิใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ แล้วแน่นอน”
เมื่อหวางเฉียนได้ยินเขาก็ต้องกล่าวเย้ยขึ้น “อ่าว? พูดมาเสียเป็นมั่นเป็นเหมาะ! แต่สุดท้ายมันก็ไม่มีอะไรจะยืนยันเรื่องนี้ได้!”
ชั่วร้าย!
ปากสุนัข!
คนทั้งหลายนั้นเริ่มไม่พอใจจนปล่อยคลื่นพลังวิญญาณออกมาแล้ว
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “หากข้าเดาไม่ผิดแล้วชั้นต่อๆ ไปเองมันก็คงไม่ต่างจากชั้นที่สองนี้ มันต้องเป็นการฝึกให้เราได้แปลงร่างกายเป็นรูปแบบอื่นแน่นอน!”
เมื่อหวางเฉียนได้ยินเขาก็ต้องหัวเราะลั่นขึ้นมา “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าโลกบู๋เมี่ยหรืออย่างไร? เจ้าพูดอะไรมันก็คือความจริงแล้ว? หากชั้นหลังๆ มาไม่ได้เป็นเช่นที่เจ้าว่าเจ้าจะทำอย่างไร?”
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “เช่นนั้น…ข้าก็จะสังหารเจ้าลงเสีย!”
หวางเฉียนนั้นต้องหุบปากลงทันที
เพราะตอนนี้คำสั่งเดียวจากเย่หยวนนั้นมันคงทำให้คนนับร้อยเข้ารุมโจมตีเขารอบด้านแน่
เขาเก่ง!
เขามั่นใจแต่ก็ไม่ได้หลงตัวเองถึงขั้นนั้น!
แค่การที่เย่หยวนปล่อยให้เขาได้ยืนฟังคำอธิบายนี้มันก็ถือว่าเป็นคุณมากแล้ว
จากนั้นเย่หยวนก็เริ่มสอนวิธีการเปลี่ยนร่างเป็นเปลวไฟ
เขานั้นสอนให้คนทั้งหลายได้เข้าใจถึงการดึงและเปลี่ยนร่างหมอกให้กลายเป็นไฟ
แม้ว่ามันอาจจะดูง่ายแต่ความยากของมันนั้นเหนือล้ำยิ่งกว่าการรับมือกับกลองสนธยาระฆังอรุณมากนัก
บางคนที่มากพรสวรรค์หน่อยก็สามารถทำได้ในการลองแค่ไม่กี่ครั้ง
บางคนก็ยังไม่อาจเข้าใจได้
และบางคนที่ไม่ค่อยฉลาดก็ถึงขั้นถูกทะเลเพลิงนั้นแผดเผาไหม้ลงไป
ไป๋ชุยซานนั้นมีพรสวรรค์ เขาสามารถทำได้ในเวลาไม่นาน
หวางเฉียนเองก็เก่งกาจล้ำเหนือยิ่งกว่าไป๋ชุยซาน เขาจึงทำได้เช่นกัน
เขานั้นพยายามเปลี่ยนแปลงเพิ่มพูนพลังของเพลิงเพื่อจะเอาชนะเย่หยวนลงให้ได้
แต่ว่าไม่นานจากนั้นประตูมิติสู่ชั้นที่สามมันก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าคนทั้งหลาย
พร้อมๆ กันเสี้ยวคลื่นกำเนิดที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเย่หยวน
และเขาก็เป็นคนแรกที่ถึงขั้นสุดอีกครั้ง