ไม่ไกลออกไปนั้นเงาร่างของเย่หยวนก็ปรากฏออกมาอีกครั้ง
คนทั้งหลายต่างต้องอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
หรือว่าคำพูดของเย่หยวนนั้นมันจะเป็นจริงแล้ว?
พวกเขานั้นกลับติดเข้ามาในค่ายกลสวรรค์อย่างที่ไม่มีใครทันรู้ตัว?
“จะสังหารหรือไม่นั้นมันขึ้นอยู่กับข้า หากข้าคิดอยากสังหารพวกเจ้าลงนั้นพวกเจ้าย่อมจะตายไปสิ้น ที่ข้านั้นยังไม่ลงมือมันก็เพราะว่าข้านั้นยังต้องการแรงของพวกเจ้าเท่านั้น” เย่หยวนหันไปมองหน้าจางเหอชิน
ตอนนี้ตัวจางเหอชินนั้นอ้าปากค้างขึ้นมา
พวกเขาทั้งหกคนนั้นต่างหันไปมองหน้าหยุนเซียงเป็นตาเดียว
“หยุนเซียง นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“เรื่องนี้…ข้าว่ามันอาจจะเป็นค่ายกลสวรรค์แล้วจริงๆ!” ในหมู่คนทั้งเจ็ดนั้นคนที่ตกตะลึงที่สุดมันย่อมจะเป็นตัวหยุนเซียงเอง
จางเหอชินกัดฟันแน่นร้องลั่นขึ้น “อาจจะ? หรือว่าเจ้า เจ้าโลกคนหนึ่งนี้กลับจะด้อยกว่ามหาจักรพรรดิไร้สุดสวรรค์มัน?”
หยุนเซียงที่ได้ยินก็ต้องทำหน้าตาดำมืดร้องกลับมาทันที “คำว่า ‘อาจจะ’ มันแสดงถึงความไม่มั่นใจ พ่อแม่เจ้า ไม่ได้สอนภาษาคนให้หรือ?”
จางเหอชินที่ถูกด่าสวนกลับมาเช่นนั้นเองก็ผงะไปเช่นกัน เขาเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองนั้นหัวเสียจนเกินไป
เจ้าโลกคนใดบ้างเล่าที่ไม่รักชื่อเสียง? แต่คำพูดของเขานั้นมันเหมือนเป็นการกดหัวหยุนเซียงลงจมดิน
“แค่กๆ น้องหยุนเซียง อย่าเพิ่งใจร้อนไปเลย พี่จางเองก็แค่พูดอะไรไม่ทันคิดเท่านั้น คำพูดของเขามันกล่าวออกมาด้วยความตกตะลึง อาจจะฟังไม่เข้าหูไปบ้างเท่านั้น” เวลานี้เองที่เจ้าโลกอีกคนได้ก้าวขึ้นมาไกล่เกลี่ยให้
หยุนเซียงนั้นกัดฟันแน่นไม่คิดมองหน้าจางเหอชินมันเป็นสภาพที่น่าอึดอัดอย่างมาก
“มหาค่ายกลที่แม้แต่ข้านั้นยังสัมผัสถึงไม่ได้ นอกจากค่ายกลสวรรค์นั้นแล้วข้าก็ไม่อาจจะคิดถึงค่ายกลอื่นใดได้อีก หรือว่าเจ้าจะเข้าใจถึงแก่นของค่ายกลสวรรค์ได้แล้ว?” หยุนเซียงนั้นหันไปมองและถามเย่หยวนด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร
แท้จริงแล้วตัวหยุนเซียงนั้นกำลังปั้นหน้าไม่พอใจเพื่อกลบความตกตะลึงในหัวใจอยู่
เพราะเย่หยวนนั้นนอกจากจะมองออกแล้วเขายังเข้าไปเอาสมบัติกลับมาได้
ส่วนตัวนางผู้เป็นถึงเจ้าโลกจอมเทพค่ายกลสวรรค์คนนี้กลับไม่อาจจะสัมผัสได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองติดอยู่ภายใน
มันช่างเสียหน้าจริงๆ
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ค่ายกลสวรรค์นั้นมันลึกล้ำแค่ไหน? มีหรือที่ใครจะเข้าใจแก่นมันได้ง่ายๆ เช่นนั้น?
ข้าแค่เห็นพวกเจ้าทั้งหลายนั้นทดลองวิธีต่างๆ และพอจะสัมผัสได้ถึงกระแสของมันจึงพอเข้าออกมันได้เท่านั้น ตอนนี้ข้ามีสิทธิ์จะต่อรองกับพวกเจ้าหรือยังเล่า?”
เจ้าโลกทั้งเจ็ดนั้นกัดฟันแน่นด้วยหน้าดำมืดอย่างไม่มีใครตอบรับกลับไป
แต่เมื่อไม่มีใครปฏิเสธมันก็ถือว่าเป็นการยอมรับไปในตัวแล้ว
เพราะคำว่าได้นั้นมันหนักหนาน่าอายเกินกว่าที่คนทั้งเจ็ดนี้จะกล่าวออกมาจากปาก
เย่หยวนกล่าวขึ้น “ในหมู่สมบัติทั้งหลายนี้ข้าต้องการสามสิ่ง หอกหอนสวรรค์เปลวเพลิงชาด รากล้างมังกรและเขาแม่เหล็กอนันต์!”
รากล้างมังกรนั้นย่อมจะเป็นสมุนไพรสวรรค์โกลาหลแล้ว
เย่หยวนย่อมจะไม่อาจใช้มันเพื่อตัวเองได้ในตอนนี้
แต่สำหรับหยุนซานนั้นของสิ่งนี้มันล้ำค่ายิ่ง!
พลังชีวิตของเขานั้นมันค่อยๆ เลือนหายไปมีแต่สมุนไพรสวรรค์โกลาหลเท่านั้นที่จะฟื้นฟูมันได้
แต่สมุนไพรสวรรค์โกลาหลนั้นมันล้ำค่าอย่างมากบนสามสิบสามสวรรค์
เย่หยวนไม่คิดเช่นกันว่าจะได้มาเจอมันที่นี่!
แต่ว่าอาการของหยุนซานนั้นมันก็หนักหนาอย่างมาก รากล้างมังกรนี้ย่อมจะไม่พอเยียวยาใดๆ
เย่หยวนนั้นได้แต่ต้องเสี่ยงดวงว่าเขาจะเจอสมุนไพรสวรรค์โกลาหลอื่นๆ ในที่นี้นอกจากรากล้างมังกรอีกหรือไม่
แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้นพวกจางเหอชินก็ต้องร้องลั่นกลับมา เพราะในหมู่สมบัติทั้งหลายนั้นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดมันย่อมจะเป็นหอกหอนสวรรค์เปลวเพลิงชาดและรากล้างมังกรนี้ แต่เย่หยวนกลับคิดจะเอามันไปสิ้น
มีหรือที่พวกเจ้าโลกทั้งหลายจะยอมง่ายๆ?
“ฮ่าๆ ไอ้หนู เจ้ากล้าพูดนัก! เจ้าคิดว่าเราจะยอมรับ?” จางเหอชินร้องลั่นขึ้นมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ผู้อาวุโส ข้านั้นเคยได้ยินมาว่าบรรพบุรุษของเผ่าภูตเพลิง ท่านหยานเชิงนั้นเคยได้ต่อสู้กับบรรพบุรุษชีฟางจนสุดท้ายด้วยจำนวนที่มากกว่าของเขานั้นเขาได้ไล่ล่าบรรพบุรุษชีฟางจนบาดเจ็บสาหัส บรรพบุรุษ ชีฟางรู้ดีว่าตัวเองคงไม่อาจรอดชีวิตจึงได้สร้างค่ายกลสวรรค์ขึ้นมาด้วยปราณเทวะ พลังวิญญาณและพลังกายทั้งหมด กักขังบรรพบุรุษเผ่าภูตเพลิงนั้นไว้ภายในค่ายกลนี้ นับแต่นั้นมาเผ่าภูตเพลิงก็ตกต่ำลงเรื่อยจนยังไม่อาจฟื้นตัวได้จนถึงปัจจุบัน เช่นนั้นแล้วไล่ตะวันของบรรพบุรุษหยานเชิงท่านนั้นมันก็คงยังไม่ออกไปจากค่ายกลนี้พวกท่านว่าเช่นนั้นหรือไม่?”
เมื่อได้ยินเรื่องนี้เจ้าโลกทั้งเจ็ดก็ต้องผงะไป!
เพราะว่าบรรพบุรุษหยานเชิงที่กล่าวถึงนี้เขาเป็นถึงเจ้าโลกล้ำสวรรค์
‘ไล่ตะวัน’ สมบัติประจำตัวของเขานั้นมันมีชื่อเสียงลั่นไปทั่วทุกสวรรค์
ไล่ตะวันนั้นมันเป็นถึงสมบัติโกลาหลสวรรค์ระดับสูง!
สมบัติใดๆ มันก็ไม่มีค่าเท่าไล่ตะวันนี้
เพราะฉะนั้นเมื่อได้ยินนามของไล่ตะวันถูกกล่าวขึ้นมาพวกเขาก็ไม่อาจจะสงบจิตสงบใจกันได้อีกแล้ว
“ไอ้หนู เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” จางเหอชินถามกลับไป
เย่หยวนยิ้มตอบ “ที่ข้าหมายความถึงนั้นมันย่อมจะเป็นเรื่องการตายของเจ้าโลกมากมายในค่ายกลสวรรค์นี้ สมบัติที่พวกเขาทิ้งไว้เองมันก็ย่อมจะมากเกินนับเช่นกัน! หลังจากตรงนี้ไปมันคงยังมีสมบัติให้เก็บอีกมากมาย แทนที่จะมาเถียงแย่งกันตรงนี้สู้ร่วมมือกันไปจะไม่ดีกว่าหรือ?”
จางเหอชินตอบกลับอย่างไม่คิดสนใจ “มหาจักรพรรดิไร้สุดสวรรค์คนหนึ่งกลับกล้าพูดความร่วมมือกับพวกเรา?”
เย่หยวนตอบกลับไป “เพราะข้านั้นเข้าใจค่ายกลสวรรค์ได้”
จางเหอชินหันหน้าไปมองหยุนเซียงทำให้นางต้องกล่าวขึ้นมา “ไอ้หนู เจ้าจะมั่นใจมากไปหรือไม่? ในเมื่อข้ารู้แล้วว่าตัวเองติดเข้ามาในค่ายกลมันก็ย่อมจะรู้แล้วว่าต้องศึกษาอะไร! เจ้าคิดว่าข้า จอมเทพค่ายกลสวรรค์ระดับเจ้าโลกคนนี้จะไม่รู้จักวิชาค่ายกลและต้องรอคำสั่งจากเจ้าเท่านั้น?”
เย่หยวนยักไหล่ตอบกลับไป “ได้สิ ข้าจะสอนสิ่งที่ข้าเข้าใจตอนนี้ให้เจ้า หลังจากนี้หากเราไปเจอสมบัติใดอีกเราก็มาแข่งกัน หากถึงตอนนั้นข้าไม่อาจเอาชนะเจ้าได้แล้วข้าจะไม่ขอรับสมบัติใดๆ ไปทั้งสิ้น พร้อมกันนั้นข้าก็จะคืนสมบัติทั้งสามให้แก่พวกเจ้าด้วย ว่าอย่างไร?”
“นี่เจ้าพูดจริง?” เจ้าโลกทั้งเจ็ดถามขึ้นมาแทบพร้อมกัน
เจ้าเด็กนี่มันโอหังเกิน!
เย่หยวนพยักหน้ารับ “หากข้าแพ้จริงๆ แล้วถึงตอนนั้นข้าจะยังมีสิทธิ์พูดอะไรอีกหรือ?”
เจ้าโลกทั้งเจ็ดนั้นหันมามองหน้ากันและพยักหน้ารับอย่างไม่ได้นัดหมาย
ตราบเท่าที่หยุนเซียงนั้นเข้าใจค่ายกลสวรรค์ได้แล้วพวกเขายังจะต้องการเย่หยวนอีก?
แต่สิ่งที่พวกเขานั้นตกตะลึงที่สุดก็คือเย่หยวนกลับจะสอนเรื่องที่เขาเรียนรู้ให้แก่หยุนเซียงด้วย!
นี่มันจะอวดอ้างตัวเอง มั่นใจเกินหน้าไปหน่อยหรือไม่?
การขึ้นมาเป็นจอมเทพค่ายกลสวรรค์ระดับเจ้าโลกได้นั้นมันย่อมจะไม่มีทางที่หยุนเซียงจะเป็นคนโง่เง่าไป
เจ้าเด็กนี่มั่นใจว่าตัวเองเก่งกาจกว่าเจ้าโลก?
เย่หยวนย่อมจะไม่อยากทำเช่นนี้แต่หากไม่ทำแล้วเขาก็คงไม่อาจจะยืมพลังของเจ้าโลกทั้งหลายเพื่อช่วยคลายค่ายกลสวรรค์ไป เพราะลำพังแค่ตัวเขานั้นมันไม่อาจจะเข้าใจค่ายกลสวรรค์ได้อย่างไม่มีการทดลองใดๆ!
สุดท้ายแล้วต่างฝ่ายต่างก็รับคำท้ากัน
คนที่ได้เห็นนั้นต้องอ้าปากค้าง
“เจ้าเด็กนี่มันจะมั่นใจเกินไปแล้ว! มันไม่คิดเห็นหัวเจ้าโลกเลยจริงๆ!”
“ฮ่าๆ นี่มันตัดหัวตัวเองให้คนอื่นชัดๆ เจ้าเด็กนี่มันแปลกดีจริง!”
“มหาจักรพรรดิไร้สุดสวรรค์ท้าทายเจ้าโลก น่าสนุกเสียแล้วสิ!”
…
ท่ามกลางความตกตะลึงนั้นเย่หยวนก็เริ่มบอกเล่าสิ่งที่เขาเข้าใจให้แก่หยุนเซียง
แน่นอนว่าสิ่งที่เย่หยวนเข้าใจในตอนนี้มันก็แค่ส่วนเล็กของค่ายกลสวรรค์เท่านั้น
หากจะเปรียบค่ายกลสวรรค์นี้เป็นตึกระฟ้าแล้ว สิ่งที่เย่หยวนเข้าใจนั้นมันคงเป็นแค่มุมเดียวของห้องครัวเท่านั้น
มันเล็กน้อยอย่างมากเมื่อเทียบกับขนาดของตึกนี้
เมื่อหยุนเซียงได้ฟังไปนางก็ต้องหน้าถอดสีไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีสิ้นสุด เพราะสิ่งที่เย่หยวนกล่าวออกมานั้นมันได้เปิดประตูบานใหม่ให้แก่ตัวนาง เต๋าค่ายกลมันกลับยังเข้าใจเช่นนี้ได้!
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นหยุนเซียงก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจเต็มร้อย
หลังจากนั่งฟังไปเป็นเดือนๆ เท่านั้นนางถึงพอจะเริ่มมองมันออก แต่จริงๆ แล้วนางก็ยังมีอีกหลายส่วนที่เข้าใจแค่คร่าวๆ แต่ด้วยตำแหน่งหน้าตาชื่อเสียงของตนนั้นนางจึงไม่อาจจะถามเย่หยวนออกมาได้
มันน่าอายเกิน!
เจ้าโลกอย่างนางนั้นย่อมจะไม่มีทางยอมรับว่าตัวเองด้อยกว่ามหาจักรพรรดิไร้สุดสวรรค์
หยุนเซียงนั้นคิดว่าตราบเท่าที่นางศึกษามันต่อ นางก็ย่อมจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหลายนั้นได้อย่าถ่องแท้
สี่เดือนต่อมาคนทั้งหลายก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง
สมบัติทั้งสามที่ได้มานี้มันทำให้เย่หยวนยิ้มกว้างอย่างพอใจ
หอกหอนสวรรค์เปลวเพลิงชาดนั้นย่อมจะเตรียมไว้ให้หยางชิง
หลังจากเขาได้หอกนี้ไปแล้วมันย่อมจะเหมือนเสือติดปีกอย่างไม่ต้องสงสัย
ส่วนเขาแม่เหล็กอนันต์นั้นมันก็เป็นหนึ่งในส่วนประกอบของเขาแดนอนันต์!