ตอนที่ 1-1 ความผิดพลาด (Miss-Take)
“คิดอะไรแบบนั้น!”
นั่นคือสิ่งที่เจฮุนอยากจะพูด นายคิดอะไรแบบนั้นได้ไง แพคแทฮยอน ไอ้เพื่อนเวร
“นายบอกว่าการหานักลงทุนมันลำบากงั้นเหรอ แล้วฉันล่ะ ฮะ? สิ่งที่นายจะทำๆ แล้วก็ไม่ทำเนี่ย มันส่งผลกระทบต่อธุรกิจนะเว้ย คิดว่าฉันเป็นใครกันวะ”
“คนที่จะขึ้นเป็นท่านประธานของเอสดับบลิวเอนเตอร์เทนเมนต์ในอนาคตไงครับ”
“ใช่! ฉันคนนี้นี่แหละ ที่ต้องมารับผิดชอบอนาคตของซังวอนกรุ๊ป! ธุรกิจที่ฉันไม่เคยแม้แต่จะ…”
“ครับๆๆ ท่านประธาน ท่านประธานพูดถูกทุกอย่างเลยครับ”
ถึงจะไม่ใช่ตอนนี้แต่ในอนาคตก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่ดี ถ้าการเรียกขานตำแหน่งมันสามารถดึงดูดความสนใจและทำให้เจฮุนอารมณ์ดีขึ้นมาได้ เขาก็จะเรียกอีกสักสองสามครั้งแล้วกัน
ถึงมันจะเป็นน้ำเสียงประจบประแจงที่ไร้ชีวิตชีวาไปเสียหน่อย แต่ก็เป็นความจริงใจในแบบของแทฮยอน
“เพราะฉะนั้น หลับตาแล้วฟังคำที่ฉันจะพูดดีๆ นะ นายลองถ่ายหนังฟีลกู๊ดอีกสักเรื่องเถอะ”
หนังฟีลกู๊ดเหรอ… แทฮยอนหัวเราะออกมาโดยฉับพลัน รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แล้วทำไมยังแนะนำแบบนี้ล่ะ…
“หัวเราะเหรอ ตอนนี้นายหัวเราะออกมางั้นเหรอ ฮะ? ไม่สิ โอเค ฉันไม่ได้หวังถึงขนาดหนังฟีลกู๊ดหรอก ขอแค่ให้มันเป็นที่นิยมสักครั้ง จะโรแมนซ์ โรแมนติกคอมเมดี้ หรือหนังผี อะไรก็ได้ทั้งนั้น!”
“หมดหน้าร้อนแล้วจะมาหนังผีอะไรกันล่ะ ก่อนจะพูดหมาๆ อะไร มันก็ต้องดูช่วงฤดูกาลด้วยสิครับ ท่านประธาน”
แม้จะมีคำที่ไม่เหมาะสมแทรกอยู่ท่ามกลางคำพูดอันสุภาพนอบน้อม แต่ก็ไม่มีใครคิดคัดค้าน แทฮยอนยิ้มพร้อมกับแกว่งแก้วกระดาษไปมา เดิมทีโกโก้ที่ตู้กดมันก็เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว แต่น้ำตาลที่เหลือหลังดื่มหมดก็น่าเสียดายเสมอ จะใช้ลิ้นจิ้มกินก็ไม่ได้ด้วย
“ฉันดูเหมือนกำลังพูดเล่นอยู่รึไง”
“ครับ ผมก็จริงจังอยู่ครับ มันเป็นสถานการณ์เร่งด่วนอย่างสัตย์จริงเลยล่ะครับ”
“ไม่ต้องมาตีสองหน้า!”
ตีสองหน้างั้นเหรอ แทฮยอนขมวดคิ้วจนชิดกัน ใช้คำหยาบอย่างนั้นได้ยังไงกัน ราวกับไม่รับรู้เลยว่าคำว่า ‘พูดหมาๆ’ ก่อนหน้านี้ออกมาจากปากใคร
“ไอ้อันที่มันเคยฮิตเมื่อสามปีก่อนไง! โลกลูกแก้วน่ะ! ทำอะไรประมาณนั้นอีกสักรอบสิ…”
“ฮิตอะไร… คนดูไม่ถึงสิบล้านด้วยซ้ำ”
“คำพูดนี่ออกมาจากไอ้คนที่ซึมกระทือ เพราะตอนนี้แม้แต่ห้าล้านก็ยังทำไม่ได้งั้นเหรอ”
คราวนี้แทฮยอนก็ไม่มีอะไรจะเถียง เพราะคำพูดของเจฮุนมันก็คือความจริง
เมื่อสามปีก่อน ภาพยนตร์เรื่องโลกลูกแก้วเปิดตัวอย่างประสบความสำเร็จ แต่หลังจากนั้นภาพยนตร์ทุกเรื่องของเขาที่เข้าฉาย ก็มีผู้เข้าชมไม่มากนักจนต้องถอดออกจากโรงภาพยนตร์ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นมันก็แค่สองเรื่องเท่านั้น ถ้าลองคิดในแง่ดี การถ่ายภาพยนตร์ตั้งสองเรื่องในระยะเวลาสามปีก็มีส่วนที่สมควรจะได้รับคำชมอยู่ แต่พอคำพูดแบบนั้นออกมาจากเจฮุนแล้ว ก็รู้ได้เลยว่ามันเป็นสถานการณ์ที่ต้องมีใครสักคนนึงหลบไปข้างหลังแล้วปิดปากสนิท
“จริงๆ เลย ฉันก็ปวดหัวเหมือนกัน ไม่คิดงั้นเหรอ เงินเดือนที่จะให้เด็กๆ นี่ก็เริ่มขัดสนแล้วนะ เดี๋ยวนี้เมนูหลังเลิกงานฉันคืออะไรรู้ไหม หมูสามชั้นย่างอะ เนื้อย่างเหมือนเมื่อก่อนน่ะเหรอ เลิกฝันไปได้เลย เห็นหน้าตอบๆ ของเจ้าพวกนั้นไหม”
“เห็นจากหน้าซูบๆ ของนายแล้ว”
“เห็นแล้วใช่ไหม ถ้าเห็นก็น่าจะรู้นี่นา ฉันเหนื่อยขนาดนี้แล้วนะ เจฮุน”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าต้องทำตามสิ่งที่ฉันเสนอเหรอ!”
ไม่ยอมเปลี่ยนเรื่องด้วยแฮะ แทฮยอนเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม
“…นายน่ะ ต่อไปถ้าทำหนังออกมาแล้วยังตีตลาดไม่ได้อีก ฉันก็ช่วยไม่ได้แล้วจริงๆ นะ ฉันเองก็พึ่งใบบุญพ่อมาวันสองวันแล้ว ช่วงนี้หนังมันล้นทะลักออกมามากขนาดไหนรู้ไหม ขนาดโรงหนังเองยังรับประกันยากเลย”
“…”
“อย่างที่บอก ถึงจะได้ฉายที่เทศกาลหนังต่างประเทศแล้วยังไงต่อ พวกเขาจะเลี้ยงข้าวเหรอ จะส่งเงินรางวัลให้รึไง อันที่จริงคำวิจารณ์ในประเทศยังบอกว่าล้าสมัยเลยด้วยซ้ำ”
“…พูดให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้รึไง ล้าสมัยงั้นเหรอ”
“มันก็เป็นคำพูดเวรๆ ที่ออกมาจากปากนายเองไม่ใช่รึไง!”
ไม่ปล่อยผ่านแน่ๆ แล้วแบบนี้ แทฮยอนยอมแพ้แต่โดยดีเลย
“…โอเคครับ ดีเลยครับท่านประธาน พวกเราเข้าใจสิ่งที่เราต่างคาดหวังซึ่งกันและกันแล้วครับ ผมเองก็อยากทำหนังที่มันประสบความสำเร็จเหมือนกันแหละครับ แต่ว่าแบบนั้นน่ะ มันไม่ได้เป็นไปตามใจของผมเท่าไหร่ หนังที่ทำเงินได้ยังไงก็เป็นหนังที่ประสบความสำเร็จครับ เริ่มด้วยคำนี้เลยนะครับ”
“โอ้”
“ผมก็รู้ว่าตอนนี้ผู้ลงทุนมีไม่มาก ยังไงซะสถานการณ์ในตอนนี้ต่อให้จะเป็นการตีตลาดครั้งที่สอง แต่ถ้าไม่มีเงินลงทุนให้ผม ก็ต้องมีนักแสดงที่เป็นที่นิยมครับ”
ไม่ได้อยากคุยโวอะไรหรอก แต่นี่มันคือความจริง ซึ่งมันเป็นเรื่องที่รู้อยู่แล้วก็เลยไม่ได้ทำให้รู้สึกเจ็บปวดอะไรเป็นพิเศษ ส่วนความโกรธเคืองมันก็คงจะต้องเป็นบทบาทของเจฮุน
“นายน่ะ มีพวกนักแสดงที่สนิทๆ เยอะไม่ใช่เหรอ จะทำไม่ได้ได้ไง”
“มันก็ต้องมีเงินพาเขามาด้วยดิ”
“ทำไมโลกมันช่างใจร้ายใจดำขนาดนี้วะ”
“นั่นสิ ถ้ามาเป็นนักแสดงรับเชิญก็อาจจะมาแสดงให้ได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าพวกนั้นจะสนใจรึเปล่า”
มันก็ยังคงเป็นความเป็นจริงจนถึงตอนนี้ เวลาที่ทำออกมาได้ดี ทั้งพวกนักแสดงหน้าใหม่ก็จะประจบสอพลอเรียก ผู้กำกับครับ ผู้กำกับขา ทั้งพวกนักแสดงแนวหน้าที่พูดว่า ผู้กำกับแพค ถ้ามีเวลาว่างก็ออกไปดื่มกันซักแก้ว มันก็ผ่านมานานมากแล้วกับการสนิทสนมกันจากแค่คำพูด แต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้นทั้งหมดหรอก แค่ส่วนมากก็เป็นแบบนั้นแหละ
นั่นคือเรื่องจริง
และต่อให้มันจะไม่ใช่เหตุผลนั้นเสียทีเดียว แต่ในฐานะที่แทฮยอนที่คิดว่าการสานสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนอื่นก่อนตั้งแต่ครั้งแรกเป็นเรื่องที่ยาก ถ้าสนิทกันแค่ด้วยคำพูดก็นับว่าเป็นแค่คนรู้จักก็พอ ถึงแม้จะสงสัยว่าในหัวของคนพวกนั้นเขาเป็นคนแบบไหน แต่ก็ไม่ได้อยากรู้หรอก แทฮยอนวกกลับเข้าประเด็นอย่างไว
“ยังไงซะ หานักลงทุนคนใหม่นี่มันก็ลำบากใช่ไหมล่ะ”
“พื้นตรงนี้กับตรงนั้นมันก็เหมือนๆ กันหมดนี่ นอกจากจะมีเศรษฐีบ้าหนังที่ไหนโผล่มาอะนะ”
มันหมายความว่าไม่มีการลงทุนและก็ไม่มีเงินทุน หมายความว่าเราจะต้องถ่ายทำในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีคุณภาพ เหล่านักแสดงก็ไม่อยากเสียเวลาไปโดยสูญเปล่าไปกับผลงานที่ดูไม่มั่นคง จะจ่ายเงินให้จริงไหมก็ไม่รู้ ตอนนี้ในวงการธุรกิจเองก็คงจะมีข่าวลือว่าเขาเหลือแต่ตัวกระจายไปทั่วเรียบร้อยแล้ว
ประเภทของหนังก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง จนกระทั่งตอนนี้ภาพยนตร์ของแทฮยอนถูกวิจารณ์ว่าเป็นผลงานที่เข้าใจยากในทุกๆ ครั้งที่มีผลงานใหม่ออกมา ซึ่งมันคือภาพยนตร์ศิลปะ ถึงกระนั้นก็ตาม แทฮยอนเป็นคนที่ทำศิลปะเพื่อธุรกิจ และก็เป็นผู้กำกับที่ถ่ายภาพยนตร์เพื่อธุรกิจอีกด้วย
‘โลกลูกแก้ว’ ที่เคยเป็นภาพยนตร์เปิดตัวของแทฮยอนและภาพยนตร์ที่โด่งดัง เป็นการบรรจบกันระหว่างธุรกิจกับศิลปะ เป็นผลิตภัณฑ์ศิลปะที่สามารถทำเงินได้
แค่เท่านั้นเหรอ ไม่หรอก เขายังได้นามสกุลต่อท้ายว่า ‘ผู้กำกับอัจฉริยะ’ เป็นโบนัสเพิ่มมาด้วย แล้วยังเป็นเรื่องเล่าปากต่อปากอีกว่า มีผู้ชมทะลุห้าล้านคนภายในเวลาแค่สิบวัน อัจฉริยะหนุ่มวัยสามสิบสองที่ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวด้วยคำว่า ศิลปะกับธุรกิจ ได้รับคำชมที่สั่นคลอนวงการภาพยนตร์ไล่ตามกันมาเลยล่ะ
ทั้งหมดนั้นเคยเกิดขึ้นแล้วครั้งหนึ่ง ต่อให้คิดเท่าไหร่ มันก็เป็นอะไรไม่ได้อีกนอกจากปาฏิหาริย์
หากคิดถึงเงินที่ทำรายได้ในตอนนั้น มันหมดไปกับภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร้ค่าไปแล้ว
งานก็ขายไม่ได้ เงินก็หมดลงไปเรื่อยๆ ทางออกของเรื่องนี้อยู่ที่ไหนกันนะ
“…ดี แสดงว่านายเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้อย่างถ่องแท้แล้วสิ งั้นพวกเรามาหาแผนรับมือกันก่อนดีไหม”
“ไม่ทำภาพยนตร์ฟีลกู๊ดนะ”
“รู้แล้วน่า ไอ้นี่นิ ”
เจฮุนโบกมือปัดๆ แม้ว่าความหิวโหยจะทำได้ทุกอย่าง แต่แทฮยอนรู้ดีว่าตัวเขาไม่สามารถที่จะสร้างภาพยนตร์บันเทิงทั่วไปแบบนั้นได้ ต่อให้ใช้วิธีไหนถ่ายทำก็ตาม ก็คงไม่สามารถทำมันออกมาได้ดีตามที่หวังแน่ๆ ทุกคนล้วนมีทางเป็นของตัวเองกันอยู่แล้ว
“ฉันนึกแล้วว่านายจะต้องเป็นแบบนี้ พี่ชายคนนี้เลยคิดเผื่อไว้ให้หมดแล้ว…”
“นายรู้จัก ‘ยุนจองโอ’ ใช่ไหม”