เต้นรำ ?
กู้ชิงหยิ่งรู้สึกประหลาดใจ
ทันใดนั้นเอง ดวงตาของเธอก็ปรากฏอาการของความประหลาดใจจนถึงขีดสุด
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เฉินตงไม่ทันที่จะสังเกตเห็น
เขาเรียกทีมช่างภาพให้เข้ามาจัดเตรียมอุปกรณ์การถ่ายภาพเรียบร้อยแล้ว
กู้ชิงหยิ่งยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม
ตอนนี้ความรู้สึกนั้นยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
“เตรียมตัวเรียบร้อยหรือยัง ?”
เสียงอันอ่อนโยนของเฉินตงดังขึ้นข้างๆ หู
กู้ชิงหยิ่งตั้งสติกลับมาได้ ริมฝีปากแดงระเรื่อของเธอสั่นเทา จากนั้นจึงพยักหน้า
เสียงเพลงดังขึ้น
แสงไฟส่องสลัวๆ
สาดส่องลงไปยังกู้ชิงหยิ่งและเฉินตง ทั้งสองคนดึงดูดสายตาของคนที่อยู่โดยรอบในทันที
จากนั้นทั้งสองก็เริ่มเต้นรำกันอย่างแผ่วเบา
ทีมช่างภาพเองก็เริ่มการถ่ายภาพ
ทั้งแสง มุมกล้อง และความละเอียดในการถ่ายภาพ ล้วนแล้วแต่สมบูรณ์แบบจริงๆ
“นี่เป็นการถ่ายภาพแต่งงานหรือ ?”
“สวยจริงๆ ทั้งวิวและการเต้นรำแบบนี้ ถ่ายออกมาจะต้องสวยมากแน่นอน ?”
“อิจฉาผู้หญิงคนนั้นจริงๆ ถ้าอีกหน่อยแฟนของฉันถ่ายภาพแต่งงานให้ฉันแบบนี้ก็คงจะดี”
……
คนที่ยืนดูอยู่รอบๆ ต่างก็อุทานออกมาด้วยความรู้สึกอิจฉา
ในนั้นมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ถือแท่งไฟและลูกโป่งเรื่องแสงเดินเข้ามารวมตัวกัน และโบกไม้โบกมืออย่างเป็นธรรมชาติ
เพื่อเป็นการอวยพรให้แก่คู่รักแปลกหน้าคู่นี้
ช่างภาพเองก็สามารถถ่ายภาพเหตุการณ์นี้เอาไว้ได้อย่างสวยงาม
ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนและมีฉากหลังเป็นทะเล
แสงสว่างถูกถ่ายออกมาเป็นแสงระยิบระยับเหมือนแสงดาว ราวกับทะเลดวงดาวที่เจิดจรัสอยู่บนท้องฟ้า
เป็นภาพที่งดงาม
และมีสีสันจริงๆ
ส่วนกู้ชิงหยิ่งและเฉินตงที่อยู่ท่ามกลางทะเลดวงดาว ก็ยังคงเต้นรำกับอย่างแผ่วเบาราวกับเทวดาและนางฟ้าที่เป็นคู่รักกัน
ไม่เพียงแค่หน้าตาและรูปร่างของกู้ชิงหยิ่งเท่านั้น แต่ยังมีความสูงและรูปลักษณ์ของเฉินตง ที่เพียงพอจะสามารถดึงดูดสายตาของผู้คนได้อย่างล้นหลาม
เพลงบรรเลงสิ้นสุดลง
เสียงเพลงค่อยๆ แผ่วเบาลง
ฝูงชนที่ยืนดูอยู่รอบๆ ยังรู้สึกเพลิดเพลินอยู่กับเสียงเพลงและไม่อยากให้จบลง
กู้ชิงหยิ่งและเฉินตงแยกตัวออกจากกัน
เฉินตงขมวดคิ้วแล้วก้มลงไปมองกู้ชิงหยิ่ง : “เสี่ยวหยิ่ง คุณรู้สึกไม่สบายตัวหรือเปล่า ? ทำไมผมรู้สึกว่าคุณจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ?”
“ค่ะ สงสัยจะเป็นไข้แดด รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย”
กู้ชิงหยิ่งพยักหน้า เสียงของเธอเบาจนอู้อี้เหมือนกับยุง
“ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลับโรงแรมกันก่อนเถอะ คุณไปพักที่ห้องก่อน เดี๋ยวผมจะให้คนส่งอาหารไปที่ห้องของคุณ”
“ค่ะ”
หลังจากกลับไปถึงห้องพักแล้ว
เฉินตงก็พาคุนหลุน กูหลังและทีมช่างภาพไปทานมื้อเย็น
กู้ชิงหยิ่งนอนอยู่ในห้องที่มืดสนิท มีเพียงโคมไฟหัวเตียงเพียงดวงเดียวเท่านั้นที่ส่องแสงสลัวๆ อยู่
แสงไฟสาดส่องลงบนใบหน้าที่งดงามของกู้ชิงหยิ่ง แต่กลับเผยให้เห็นความสงสัยที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของกู้ชิงหยิ่ง
ตอนนี้คิ้วของกู้ชิงหยิ่งขมวดกันแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความครุ่นคิด
แววตาของเธอเต็มไปด้วยความงุนงงและสงสัย รวมไปถึงความสับสน
มือของเธอพันกันไปมาและบิดกระโปรงไม่หยุด
อาหารที่บริกรนำมาส่งให้วางอยู่บนหัวเตียง
แต่เธอกลับไม่รู้สึกหิวเลยแม้แต่น้อย
ในความมืด
เธอพึมพำออกมาเบาๆ ว่า : “คุณบอกเองว่าเต้นรำไม่เป็น อีกทั้งยังรู้สึกเขินอายที่จะต้องเต้นรำต่อหน้าคนหมู่มากเช่นนั้น แต่ทำไมเมื่อครู่ถึงทำเช่นนั้น ?”
เธอไม่ได้รู้สึกไม่สบายตัว
แต่เป็นเพราะการเต้นรำบนชายหาดกับเฉินตงเมื่อครู่ ทำให้เธอเกินความสงสัยขึ้นมาในใจ
ดังนั้นเฉินตงจึงได้สังเกตเห็นความผิดปกติของเธอ เธอจึงพูดเออออไปว่าตนเองนั้นไม่สบาย
แต่เมื่อกลับมานั่งครุ่นคิดอยู่ภายในห้องพักใหญ่ ยิ่งทำให้กู้ชิงหยิ่งรู้สึกถึงความไม่พอชอบมาพากลเพิ่มขึ้น
แต่เฉินตงที่อยู่ตรงหน้าของเธอ ก็ยังคงเป็นใบหน้าของเฉินตง ความสูงก็เท่ากัน แม้กระทั่งลักษณะนิสัยก็เหมือนกัน
ถ้าหากคาดเดาเพียงเพราะความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ……
กู้ชิงหยิ่งออกแรงส่ายหัว : “ไม่แน่ว่าการหนีรอดจากความตายมาได้อย่างฉิวเฉียดเมื่อคืนนี้ อาจจะทำให้นิสัยบางอย่างของเขาเปลี่ยนไปก็ได้ เขาอาจจะอยากมอบความทรงจำในการถ่ายภาพแต่งงานที่พิเศษที่สุดให้แก่ฉันก็ได้ ดังนั้นจึงได้แสร้งทำเป็นใจกล้า เต้นรำกับฉันต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนั้น ?”
ขณะที่พูด เธอก็ตีหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิด : “เฮ้อ กู้ชิงหยิ่ง ทำไมเธอถึงได้สงสัยสามีตัวเองแบบนี้นะ ? นี่คือสามีตัวจริงของเธอนะ !”
……
ภายใต้ความมืด
ยังคงเป็นความมืดที่มืดสนิท
เฉินตงลืมตาขึ้น แต่เขากลับรู้สึกราวกับตนเองนั้นไม่มีดวงตา
พื้นที่ที่คับแคบและอึดอัด ทำให้เขาไม่สามารถขยับได้แท้กระทั่งแขนขา
เขารู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว
หัวของเขายังคงรู้สึกเจ็บอยู่ แต่เลือดหยุดไหลไปแล้ว
โชคยังดีที่บาดแผลจากการกระแทกเมื่อครู่ไม่ใหญ่มาก มิเช่นนั้นเขาคงสูญเสียเลือดไปมากจนถึงแก่ชีวิตแล้วก็ได้ ?
ฟิ่ว……
ลมหนาวจับขั้วหัวใจพัดผ่านกล่องไม้และพัดเข้ามาด้านใน
ทำให้เฉินตงรู้สึกหนาวจนตัวสั่นและขนลุก
“ทำไมถึงได้หนาวขนาดนี้ ?”
เฉินตงขมวดคิ้ว และรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา
ด้านนอกเงียบสงัด
เงียบจนสามารถได้ยินเสียงพัดของลมทะเล และเสียงของเกลียวคลื่น
ขณะที่เรือกำลังแล่นไปในทะเล ยิ่งแล่นผ่านเกลียวคลื่น การเคลื่อนไหวขึ้นลงก็ยิ่งชัดเจนเพิ่มมากขึ้น
นี่……กำลังจะไปที่ไหนกันแน่ ?
ตระกูลฉินจับฉันไว้แต่ไม่ยอมฆ่าฉัน แล้วยังเนรเทศฉันไปอีก เพื่อที่จะให้คนเข้ามาแทนที่ฉันอย่างนั้นหรือ ?
หลังจากความกลัวปะทุขึ้นในตอนแรก เมื่อตั้งสติได้ ในที่สุดเฉินตงก็สามารถสงบสติอารมณ์ลงได้
คุนหลุนเคยบอกว่า
ยิ่งเป็นช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ยิ่งต้องทำจิตใจให้สงบ
มีเพียงความสงบเท่านั้น ที่จะพาเราข้ามผ่านวิกฤตไปได้
เฉินตงนอนขดตัวอยู่ในกล่องไม้ แล้วคิดวิเคราะห์อย่างใจเย็น
ในความเป็นจริงแล้ว ตอนนี้นอกจากสมองของเขาที่พอจะขยับได้แล้ว ร่างกายส่วนอื่นๆ ของเขานั้นแทบจะไม่มีพื้นที่ให้ขยับได้เลย
ไม่ว่าจุดหมายปลายทางของเรือคือที่ไหน เขาก็จะต้องถูกทิ้งเอาไว้ที่นั่นอยู่ดี
จึงต้องอาศัยช่วงเวลาที่ไร้เรี่ยวแรงในตอนนี้ ใช้ความคิดให้ได้มากที่สุด นี่เป็นสิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้
“ตัวแทน คิดที่จะเข้ามารับช่วงต่อทุกอย่างของเขา เรื่องนี้คงจะมีเพียงแค่ตระกูลเฉินเท่านั้น เพราะตระกูลฉินคงไม่กล้าอย่างแน่นอน”
คิ้วของเฉินตงยิ่งขมวดแน่นขึ้น
ตระกูลฉินกล้าลงมือสังหารเขา นั่นเป็นเพราะเขาไม่มีตัวตนในตระกูลเฉิน ถึงแม้พ่อจะมอบตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกให้แก่เขา อย่างไรเสียเขาก็เป็นลูกนอกคอกอยู่ดี
ถึงแม้ก่อนหน้านี้พ่อจะจัดการกับตระกูลหลี่ แต่ตระกูลฉินกับตระกูลหลี่นั้น ใครเหนือกว่าใครก็ยากที่จะตัดสินได้ การที่ตระกูลฉินกล้าท้าทายกับความโกรธของพ่อ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ความโกรธที่เกิดจากการสังหารลูกนอกคอก ตระกูลฉินพอจะรับได้
แต่การส่งตัวแทนเขาไปรับช่วงการเป็นเจ้าบ้านต่อในตระกูลเฉิน
นี่ถือเป็นแผนการของคนนอกที่ตั้งใจจะล้างเผ่าพันธุ์ตระกูลเฉินชัดๆ !
อย่าว่าแต่พ่อเลย แม้แต่คนในตระกูลเฉินคนอื่นๆ ก็ไม่มีทางยอมแน่นอน !
ทันใดนั้นเอง !
เฉินตงก็นึกถึงเรื่องเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
“คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน ? !”
เขาอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมาด้วยความตกใจ
ข่าววงในที่พ่อส่งมาก่อนหน้านี้ก็คือ ช่วงระยะเวลาใกล้ๆ ที่ผ่านมา คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินเดินทางไปยังตระกูลฉิน ให้เขาระวังตัว
ถ้าหากตระกูลฉินและคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินร่วมมือกัน หากตระกูลฉินมีคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินคอยหนุนหลังอยู่
คนที่เป็นตัวแทนคงจะต้องมีความกล้าหาญอย่างแน่นอน !
แล้วจะเลือกใครเป็นตัวแทนล่ะ ?
ความคิดของเฉินตงแล่นอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่เขาสงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว ทำให้เขาเกิดสมาธิขึ้นอย่างมากในสภาพที่มืดมิดเช่นนี้
เพียงไม่กี่วินาที
ตัวของเฉินตงก็สั่นเทา
ราวกับมีพลุจุดขึ้นในสมองอันมืดมิดของเขา
“หรือว่า……คนที่ฉินเย่บอกคนนั้น ?”
เสียงของเฉินตงเคร่งเครียด เขารู้สึกตัวสั่น และปากของเขาเย็นยะเยือก : “แต่ตระกูลโจวถูกจัดการไปแล้ว แล้วคนของตระกูลโจวคนนั้น……”
เมื่อพูดได้เพียงครึ่งหนึ่งเขาก็หยุด
ความหนาวเย็นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของเขา
เขารู้สึกเหมือนตัวเองหล่นลงไปสู่ถ้ำน้ำแข็งทันที
แม้กระทั่งลมหนาวที่พัดเข้ามาจากด้านนอกในตอนนี้ ก็ยังไม่อาจเทียบเท่าได้กับความหนาวเหน็บที่อยู่ในใจของเขา
“ฉันคิดผิดเสียแล้ว แผนการของตระกูลฉินไม่ได้เริ่มตั้งแต่ปล่อยข่าวเรื่องนั้นออกมา”
“แต่เริ่มตั้งแต่การลอบฆ่าที่ผิดพลาดที่เกิดขึ้นในหมู่ตึกยู่ฉวน แผนการทุกอย่างก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เป็นแผนการของคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน !”
“คนที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารก็คือคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน ดังนั้นหลังจากที่เธอเดินทางไปซีสู่เพื่อร่วมมือกับตระกูลฉิน เธอก็ใช้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตระกูลฉินเพื่อบังหน้า และเริ่มดำเนินแผนการของเธออย่างชัดเจน”
ตอนนี้ ความสงสัยทุกอย่างที่เคยวนเวียนอยู่ในสมองก่อนหน้านี้ กระจ่างแจ้งขึ้นมาในทันที ราวกับบานประตูที่ถูกเปิดออก
ความหนาวเหน็บบนร่างกายยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
“ถึงแม้ตระกูลโจวจะจบสิ้นลงแล้ว การที่พวกเขากลายเป็นแพะรับบาปถือเป็นเรื่องที่สมควร ! เมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่จะได้มา ก็คงคุ้มค่ากับการที่ตระกูลโจวยอมลงทุนเป็นแพะรับบาปสินะ ?”
“ใช้คนทั้งตระกูล เพื่อทำร้ายคนคนเดียว !”