ครึ่งชั่วโมงผ่านไป
รถพยาบาลเปิดสัญญาณเตือนภัย แล้วเคลื่อนตัวออกไป
มุมนี้ของห้างสรรพสินค้า เงียบสงัดลงทันที
สายตาที่ทุกคนจ้องมองเฉินตง เต็มไปด้วยความรู้สึกหวาดกลัวและประหลาดใจ
ใครจะไปคิดว่า เด็กหนุ่มที่นั่งกินบะหมี่เย็นอยู่บนเก้าอี้ริมทางเดิน จะเป็นเจ้าของบริษัทไท่ติ่ง ?
เสียงสัญญาณเตือนภัยของรถพยาบาลที่ดังขึ้น ทำให้ทุกคนรู้สึกกลัวจนเสียวสันหลัง
ถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง พวกเขาคงจะจินตนาการไม่ออกเลยว่า บนโลกนี้จะมีคนที่ถูกต่อยจนเละเป็นโจ๊กอยู่จริงๆ
แต่กลัวก็ส่วนกลัว เพราะทุกคนในที่เกิดเหตุ กลับไม่มีใครรู้สึกเห็นใจชายวัยกลางคนแม้แต่คนเดียว
เศรษฐีหน้าใหม่ ดูหมิ่นภรรยาของเจ้าของบริษัทไท่ติ่งต่อหน้าสาธารณชน ตอนกลางวันแสกๆ ?
เรื่องนี้ใครจะไปทนไหว ?
อย่าว่าแต่คนระดับเฉินตงเลย แม้แต่คนธรรมดา ก็ไม่มีใครที่จะข่มความโกรธเช่นนี้เอาไว้ได้แน่นอน
จะให้ภรรยาอับอายไม่ได้ !
ถ้าปล่อยให้ชายอื่นมาดูหมิ่นภรรยาของจนเองได้ เช่นนั้นจะถือว่าเป็นผู้ชายแบบไหนกัน ?
สิ่งที่ผู้ชายต้องปกป้องดูแล ไม่ได้มีเพียงแค่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเท่านั้น แต่ยังมีพี่น้องที่อยู่ข้างกาย และหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมกอดด้วยไม่ใช่หรือ ?
“ไปกันเถอะ”
เฉินตงหันไปพูดกับกู้ชิงหยิ่งอย่างอ่อนโยน จากนั้นจึงค่อยๆ หยิบถุงทั้งใบเล็กใบใหญ่ที่วางอยู่ขึ้นมาอย่างมีความสุข
และท่าทีในการเคลื่อนไหว ก็ไม่หลงเหลือเจตนาฆ่าอันรุนแรงเมื่อครู่อยู่อีกเลย
ภาพที่เกิดขึ้น สร้างความประหลาดใจแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้น มีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่มองดูกู้ชิงหยิ่งด้วยความรู้สึกอิจฉา
มีผู้หญิงคนไหนไม่อยากมีแฟนแบบนี้บ้าง ?
กู้ชิงหยิ่งยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน แล้วคล้องแขนเฉินตง : “กลับบ้านเถอะค่ะ”
“ยังเดินเล่นไม่เสร็จเลยนี่”
เฉินตงชี้ขึ้นไปที่ชั้นบน แล้วกล่าวขอโทษ : “ขอโทษด้วยนะ เรื่องเมื่อกี้อาจจะกระทบจิตใจของคุณ แต่ผมทนไม่ไหวแล้วจริงๆ”
“โธ่ ฉันชอบท่าทางของคุณเมื่อกี้จะตายไป เดินมาตั้งครึ่งวันแล้ว ฉันเองก็เหนื่อยแล้ว กลับบ้านไปพักผ่อนกันเถอะ”
กู้ชิงหยิ่งโอดครวญและกะพริบตาปริบๆ : “ที่รัก เมื่อกี้คุณหล่อมากเลยนะ ฉันจะให้รางวัลคุณ !”
เฉินตงผงะไป จากนั้นเขาก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก
เมื่อกลับถึงบ้าน
ท่านหลง คุนหลุน และฟ่านลู่กำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น
โทรทัศน์กำลังเสนอข่าวของวงการบันเทิง เป็นเรื่องเกี่ยวกับเฉินหยู่เฟย
ในขณะที่ท่านหลงและคุนหลุนกำลังง่วนอยู่กับการจัดระเบียบข้อมูล ฟ่านลู่เองก็คอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ
ข่าวบันเทิงที่นำเสนออยู่ในโทรทัศน์ เป็นสิ่งที่ไม่สลักสำคัญอีกต่อไป
ในสายตาของพวกเขา เฉินหยู่เฟยในตอนนี้ ก็เป็นเพียงแค่ตัวตลกเท่านั้น
ต้องการเอาเปรียบผู้อื่นแต่กลับขาดทุนเสียเอง เป็นสิ่งที่ใช้อธิบายสถานการณ์ของเฉินหยู่เฟยได้ดีที่สุด
“คุณชาย คุณผู้หญิง ทำไมกลับมาเร็วขนาดนี้ล่ะครับ ?”
ท่านหลงเงยหน้าขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นเฉินตงและกู้ชิงหยิ่งแนบซบกันไปมา เธอพิงฉัน ฉันพิงเธอ
ท่านหลงก็พอเข้าใจได้ในทันที
เขากระแอมเบาๆ : “เอ่อ คุนหลุนกับฟ่านลู่ยุ่งกันมาตลอดทั้งเช้าแล้ว ไปพักผ่อนกันสักเดี๋ยวเถอะ ออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนฉันหน่อย”
เมื่อเห็นทั้งสามคนเดินออกไปแล้ว กู้ชิงหยิ่งก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย
เธอบ่นพึมพำออกมาเบาๆ : “แหม ทำไมท่านหลงถึงรู้ทันไปหมดเลยนะ ?”
“คนอายุมากขนาดนั้นแล้ว ถ้าเป็นขิงก็คงจะเผ็ดน่าดู”
เฉินตงยิ้มอย่างเบิกบาน : “ไปกันเถอะ ต้องรีบผลิตเฉินตงน้อยแล้ว”
“คนบ้า !”
กู้ชิงหยิ่งมองอย่างตำหนิ
ตอนเที่ยงที่ร้อนจ้า
ปล่อยอารมณ์ไปตามอำเภอใจ
หลังจากที่ได้พักผ่อนอย่างเต็มอิ่มมาทั้งคืน ความอัดอั้นตลอดหลายวันที่ผ่านมา ก็ถูกปลดปล่อยออกมาจนหมดสิ้น
พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้สึกซึ่งกันและกัน แสดงออกถึงความโหยหาซึ่งกันและกัน
ครั้งแล้ว……ครั้งเล่า……อย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่าย……
จนกระทั่งถึงพระอาทิตย์ตกดิน และพระจันทร์ลอยเคลื่อนเข้ามาแทนที่
เฉินตงกับกู้ชิงหยิ่งจึงเปลี่ยนเสื้อผ้า และเดินลงมาชั้นล่าง
ในห้องอาหาร ฟ่านลู่ได้จัดเตรียมอาหารอันโอชะเอาไว้เต็มโต๊ะเรียบร้อยแล้ว กลิ่นหอมลอยตลบอบอวลไปทั่ว
เฉินตงที่ทำภารกิจมาตลอดทั้งบ่าย เมื่อได้กลิ่นหอมของอาหาร ก็น้ำลายไหลทันที
“พี่ฟ่านลู่ วันนี้ทำของอร่อยอะไรหรือครับ ?”
เฉินตงจูงกู้ชิงหยิ่งเดินไปที่ห้องอาหาร
ท่านหลงกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ข้างๆ ส่วนคุนหลุนและฟ่านลู่ยังคงง่วนอยู่ในห้องครัว
แต่เมื่อเฉินตงได้เห็นอาหารอันโอชะที่จัดวางอยู่บนโต๊ะอาหาร ก็ผงะไปทันที
ตะพาบน้ำตุ๋นโสม
หอยนางรมสดตัวอวบอิ่ม
……
นี่ดูเหมือนจะบำรุงมากเกินไปหรือเปล่า ?
เฉินตงรู้สึกตกใจมาก
ส่วนกู้ชิงหยิ่งกลับมีสีหน้างงงวย
ท่านหลงค่อยๆ วางหนังสือพิมพ์ลง แล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย : “คุณชายต้องบำรุงร่างกายสักหน่อยนะครับ”
เฉินตง : “……”
กู้ชิงหยิ่ง : “……”
พอดีกับที่คุนหลุนและฟ่านลู่เดินออกมาจากห้องครัวพอดี
หลังจากที่วางผัดกุยช่ายจานสุดท้ายลงบนโต๊ะ ฟ่านลู่ก็ไม่ลืมที่จะเอาเก๋ากี๋ออกมาโรยตกแต่งบนจานอย่างพิถีพิถันอีกด้วย
ให้ตายเถอะ……นี่มันบำรุงกันเกินไปแล้ว !
จะพูดว่ามากเกินไปก็ได้ !
“คุณชาย ทานข้าวได้แล้วครับ” คุนหลุนพูดด้วยรอยยิ้ม
“ทำไมเหรอ ?” กู้ชิงหยิ่งหันไปมองเฉินตงด้วยความสงสัย
เฉินตงลูบจมูก แล้วยิ้มออกมาอย่างเก้อเขิน แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว แล้วจึงนั่งลงทานอาหารพร้อมกับกู้ชิงหยิ่ง
กู้ชิงหยิ่งไม่รู้ถึงความหมายของอาหารมื้อนี้
เขาจึงไม่กล้าที่จะพูดออกมาตรงๆ
เพียงแต่อาหารมื้อนี้ เฉินตงไม่เพียงรู้สึกเก้อเขินที่จะต้องรับประทานเท่านั้น ต่อให้มีอาหารรสเลิศวางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ เขากลับรู้สึกตกตะลึงจนแทบจะกินไม่ลง
การบำรุงเช่นนี้ ดูจะโจ่งแจ้งเกินไปหน่อย
หลังจากทานอาหารมื้อนี้เสร็จ
เฉินตงรู้สึกอึดอัดใจมาก เขารีบจูงกู้ชิงหยิ่งออกจากวิลล่าไปเดินเล่นอยู่ด้านนอก
ท่านหลงมองดูคนทั้งสอง ที่เหมือนกับกำลังพยายามเดินหนี ก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนและเอ็นดู
กลับเป็นคุนหลุนที่ไม่อาจทนได้ : “ท่านหลง คุณให้เสี่ยวลู่ทำของบำรุงให้คุณชายขนาดนี้ จะเป็นการบำรุงคุณชายมากเกินไปจนเกิดผลเสียหรือเปล่า ?”
“พูดเหลวไหล !”
ท่านหลงเหลือบมอง แล้วพูดอย่างเคร่งขรึม : “นี่เป็นความประสงค์ของนายท่าน ของอยากจะอุ้มหลานจนเต็มแก่แล้ว”
“เฮ้อ~”
คุนหลุนและฟ่านลู่หันมองหน้ากัน แล้วจึงถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
อากาศยามค่ำคืนเย็นเยือกราวกับน้ำ
เฉินตงและกู้ชิงหยิ่งเดินจูงมือกัน แล้วค่อยๆ เดินไปบนทางเดินอย่างช้าๆ มีสายลมยามค่ำคืนโชยพัดมา และดื่มด่ำกับบรรยากาศที่สงบ
เฉินตงไม่ได้สัมผัสกับชีวิตที่ผ่อนคลายเช่นนี้มาเป็นเวลานานแล้ว
การปรากฏตัวของท่านหลง ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไป ทำให้เขาได้ครอบครองโอกาสที่จะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
เพื่อโอกาสครั้งนี้ เขาแทบจะยุ่งอยู่กับงานตลอดทั้งวันทั้งคืน
แต่ในช่วงที่ผ่านมานี้ มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมากมาย ทำให้เขารู้สึกเครียดอยู่ตลอดเวลา
ตอนนี้ได้ซึมซับกับบรรยากาศที่สงบเช่นนี้ โดยไม่ต้องรับรู้อะไร
เวลาครึ่งเดือนหลังจากนี้
จะเป็นวันเวลาที่ใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายและสบาย
ทุกวันที่เฉินตงคอยอยู่เป็นเพื่อนกู้ชิงหยิ่ง ก็จะจัดการกับงานของบริษัทที่อยู่ในมือไปด้วยในเวลาเดียวกัน
หลังจากที่เฉินหยู่เฟยลาออกจากวงการบันเทิง ความคิดเห็นของผู้คนที่มีต่อเฉินตง ก็จางหายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
บนโลกอินเทอร์เน็ตก็เช่นเดียวกัน ความคิดเห็นของผู้คนมาเร็วก็ไปเร็ว
ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนสั้นๆ สามารถทำให้คนลืมเรื่องราวได้มากมาย
หลังจากที่ความคิดเห็นของผู้คนเบาบางลง บริษัทขนาดใหญ่ต่างๆ ที่อยู่ในมือของเฉินตง ก็ค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมาสู่ภาวะปกติ
บริษัทการเงินของฉินเย่และฉินเสี่ยวเชียน บริษัทด้านความบันเทิงของฉู่เจียนเจีย ต่างก็เริ่มดำเนินธุรกิจอย่างรวดเร็วเช่นกัน
มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ก็คือ
เป็นเพราะเรื่องความคิดเห็นของประชาชนเรื่องนี้ ทำให้ตระกูลจางต้องใช้ความพยายามอย่างมาก และเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างจางหยู่หลันและฉินเย่
เฉินตงจึงได้รับปากกับจางหยู่หลันและฉู่เจียนเจียว่า จะร่วมมือกันก่อตั้งบริษัทด้านบันเทิงขึ้น แต่ผู้นำยังคงต้องเป็นฉู่เจียนเจียอยู่
เขารู้ดีว่า ในตลาดการแข่งขันทางธุรกิจ ฉู่เจียนเจียและจางหยู่หลันไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลยด้วยซ้ำ
เช้าตรู่วันนี้ หลังจากที่เฉินตงส่งกู้ชิงหยิ่งไปทำงานที่บริษัทวัสดุก่อสร้างยิงลี่แล้ว เขาก็ขับรถปอร์เช่ 911 ของกู้ชิงหยิ่งมุ่งหน้าไปยังไท่ติ่ง
เขาไม่ได้เข้ามาที่ไท่ติ่งหลายวันแล้ว มีเพียงแค่เสี่ยวหม่าและกูหลังคอยอยู่ดูแล
ตอนนี้ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่แล้ว ถึงเวลาที่จะต้องออกเดินทางใหม่อีกครั้งเสียที
แต่ทว่า เมื่อเฉินตงมาถึงชั้นล่างของไท่ติ่ง
มีโทรศัพท์สายหนึ่งดังขึ้น ซึ่งทำให้เขาต้องเหยียบเบรก และจอดรถที่ถนนด้านหน้าตึกใหญ่ของบริษัททันที
จากนั้น เขาก็เลี้ยวหัวกลับอย่างรวดเร็ว และขับออกจากบริษัทไป……