คืนฝนปรอย
จางซิ่วจือค่อมอยู่บนตัวหวางเต๋อ เธอตะโกนด่าพลางข่วนหน้าของเขาอย่างคลุ้มคลั่ง
หวางเต๋อยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาเพื่อป้องกันตน ใบหน้าของเขาปรากฏรอยข่วนเลือดซิบ และร้องโหยหวนออกมาอยู่ตลอดเวลา
ส่วนหวางเห้านั้นอยู่ท่ามกลางสายฝน เขากอดขาทั้งสองข้างของตนเอาไว้ ใบหน้าของเขาขาวซีดและร้องไห้โอดครวญ
ภาพเหตุการณ์นี้ทำเอาการ์ดทั้งสองคนที่กำลังบูดบึ้งเตรียมจะลงมือหยุดชะงัก ดวงตาเหม่อลอยอ้าปากค้าง
นี่มัน…คนบ้าหรือ?
ทั้งสองหันมาสบตากันแล้วเตรียมจะเดินผละออกไป
ที่ตรงนี้ห่างจากประตูใหญ่ของเขตวิลล่าพอสมควร ถ้าคนบ้าสองสามคนจะอาละวาดอยู่ตรงนี้ เสียงเอะอะก็คงจะเข้าไปไม่ถึงเจ้าของบ้านในเขตวิลล่า ขอแค่ไม่เข้าใกล้ประตูใหญ่เขตวิลล่า พวกเขาก็คงไม่ต้องยุ่ง
และในตอนที่ทั้งสองกำลังหันหลังกลับไปนั้น
“พวกแกหยุดเดี๋ยวนี้!”
จางซิ่วจือที่กำลังคลุ้มคลั่งลุกพรวดยืนขึ้นอยู่ด้านบนตัวหวางเต๋อ เธอออกคำสั่งการ์ดทั้งสองคนราวคนเสียสติ “หมาเฝ้าประตูสองตัวจะไปไหนเหรอ ให้พวกเราเข้าไปเดี๋ยวนี้ พวกเราคือพ่อตา แม่ยาย ของเฉินตง แถมเขาคนนั้นก็คือน้องสะใภ้ของเฉินตง!” ระหว่างพูดจางซิ่วจือก็ชี้นิ้วไปที่หวางเห้าที่กำลังนอนอยู่บนพื้น
การ์ดทั้งสองคนหยุดชะงักลงอีกครั้ง
หวางเต๋อไม่สนใจความเจ็บปวดที่ใบหน้า เขารีบร้อนลุกขึ้นเพื่อห้ามจางซิ่วจือ “เธอเลิกวุ่นวายได้แล้ว ขอร้องล่ะ อย่าวุ่นวายอีก…”
น้ำเสียงของเขาเศร้าสลดจนแทบเป็นการอ้อนวอน
แต่จางซิ่วจือหันขวับกลับมาอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสายฝน ดวงตาแดงฉานราวกับกำลังจะกินเลือดกินเนื้อของเธอจ้องเขม็งกลับไปที่หวางเต๋อ “หุบปากเดี๋ยวนี้! พวกเราไม่มีทางให้ถอยอีกแล้ว!”
หวางเต๋อชะงักไปด้วยความตกใจ
ทันใดนั้นในใจของเขาก็เต็มไปด้วยความขมขื่น
ใช่แล้ว ไม่มีทางให้ถอยแล้ว!
เงินหลายล้านเสียพนันไปจนไม่เหลือ แถมจางซิ่วจือยังติดหนี้นอกระบบอยู่อีกหลายแสน
ครอบครัวที่สมบูรณ์ครอบครัวหนึ่ง มีชีวิตร่ำรวยเพียงไม่กี่วันก็กลับมามีสภาพอย่างเก่าแล้ว แถมยังแย่กว่าเก่าด้วยซ้ำ
หวางหนันหนันขอตัดสัมพันธ์ไปแล้ว หากไม่สามารถหาแหล่งเติมเงินล้านได้ คนทั้งสามคงจะต้องกระโดดตึกตายจริงๆ
เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา หวางเต๋อก็รู้สึกราวกับตนเองกำลังฝันไป
จู่ๆ น้ำตาก็เอ่อล้นออกมาจากดวงตาของเขา
ไม่อย่างนั้นแล้วหลังจากที่เธอวางแผนทำร้ายเฉินตงแล้ว ทำไมเขาถึงไม่คิดจะแก้แค้น?
ขอแค่หาตัวเฉินตงให้พบ แล้วลงไปนอนดิ้นพล่านร้องไห้ร้องห่ม เธอแน่ใจว่าจะต้องรีดเอาเงินออกมาจากกระเป๋าของคนหัวอ่อนไร้ประโยชน์เช่นเฉินตง เพื่อเอามาใช้หนี้หลายแสนของตนได้ เผลอๆ อาจจะได้ถึงสิบล้านด้วยซ้ำ
ด้วยความมั่นใจนี้เอง จางซิ่วจือจึงไม่สนใจคำทักท้วงของหวางเต๋อและหวางเห้าและตรงมาที่วิลล่าเขาเทียนซานอย่างแน่วแน่
ในความคิดของเธอ เฉินตงเป็นคนรวย เงินแค่สิบล้านคงเป็นเงินเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น แค่กระตุกคนหัวอ่อนคนนี้ให้ได้ จะต้องสามารถขุดทองออกมาจากเหมืองทองคำได้อย่างแน่นอน
แต่คำตอบของการ์ดที่เอ่ยออกมานั้นเปรียบเสมือนหมัดหนักๆ ที่ทำให้ความฝันของเธอต้องพังทลาย
ถ้าไม่ได้คนเส็งเคร็งอย่างเฉินตงคอยช่วยเหลือ เมื่อคนทวงหนี้มาถึง…
ในหัวของจางซิ่วจือปรากฏภาพที่น่าสยดสยอง จนทำให้เธอตัวสั่น
ใบหน้าของเธอถมึงทึงขึ้น เธอกัดฟันแน่นมองไปที่การ์ดทั้งสองคนเตรียมจะระเบิดอารมณ์อีกครั้ง
หวางเต๋อดึงสติกลับมาได้จึงรีบเข้าไปรั้งจางซิ่วจือเอาไว้จากทางด้านหลัง
“พอได้แล้ว! จำเรื่องน่าอับอายที่นี่ในตอนนั้นไม่ได้หรือไง เขาย้ายหนีออกไปแล้ว เธอยังจะทำอะไรอีก?”
ตัวของจางซิ่วจือสั่น เธอเห็นภาพที่ตัวเองถูกจับมัดออกมาจากวิลล่าเขาเทียนซานแล้วโยนทิ้งลงเขาไป เธอจึงอดมองการ์ดทั้งสองคนด้วยความหวาดกลัวไม่ได้
ตอนนี้ไม่เหมือนอย่างเมื่อก่อนแล้ว ตอนนั้นพวกการ์ดกล้าโยน ตอนนี้คงจะยิ่งกล้าทำเข้าไปใหญ่
ด้วยความพยายามทั้งห้ามทั้งเตือนของหวางเต๋อ ทำให้จางซิ่วจือยอมถอยออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก ส่วนหวางเห้าก็หยุดร้องโอดครวญไปแล้ว
เงาของคนทั้งสามเริ่มไกลออกไป
การ์ดทั้งสองคนถอนหายใจออกมาพร้อมๆ กัน
“แม่งเอ๊ย คนบ้าสามคนนี้ก็เข้าใจเลือกสถานที่นะ จะไปก่อเรื่องที่อื่นก็ไม่ได้ จะต้องมาก่อเรื่องถึงที่นี่?”
“เฮ้อ คิดซะว่าดวงซวยละกัน ช่วงเวลาแบบนี้ใครไม่เคยผ่านกันบ้าง? แต่ยังโชคดีที่ตาแก่นั่นคอยห้ามยายบ้านั่นอยู่ ไม่อย่างนั้นแล้วฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะห้ามยังไงดี คู่มือการทำงานไม่ได้เขียนเรื่องนี้เอาไว้ซะด้วย”