เสี่ยวหม่าไม่ได้ตอบออกไปตรงๆ
แต่กลับยื่นใบเสร็จปึกใหญ่ให้แก่เฉินตงอย่างลึกลับ
“กล้ารับประกันว่าพี่ตงจะต้องตกใจอย่างแน่นอน !”
เฉินตงหยิบใบเสร็จขึ้นมาดู จากนั้นจึงวางกลับลงไปบนโต๊ะด้วยท่าทีเรียบเฉย
จากนั้นจึงหันไปมองเสี่ยวหม่าที่กำลังตื่นเต้นอยู่ด้วยท่าทีที่สงบ : “แล้วอย่างไร ?”
เสี่ยวหม่า : “0? 0”
เสี่ยวหม่าผงะไปชั่วครู่ จากนั้นจึงเอ่ยถามออกมาอย่างประหลาดใจ : “พี่ไม่ตกใจ ? ไม่ตื่นเต้น ? ไม่ดีใจ ?”
“ตื่นเต้น ดีใจ”
เฉินตงพยักหน้าอย่างสงบ
เสี่ยวหม่าหมดคำพูด ที่คือท่าทางตื่นเต้นดีใจของพี่ตง ?
อย่ามาหลอกกันเสียให้ยาก !
จากนั้น เฉินตงก็นั่งพิงลงไปบนเก้าอี้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า : “พ่อฉันให้เงินฉันกินขนมครั้งหนึ่งก็เท่านี้”
เปรี้ยง !
เสี่ยวหม่ารู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า ใบหน้าบูดเบี้ยว ทำตัวไม่ถูก
การอวดรวยอย่างกะทันหันเช่นนี้ ทำให้ยากจะรับได้
ล้วนแล้วแต่มีพ่อเหมือนกัน แต่ทำไมถึงได้แตกต่างกันขนาดนี้ ?
เฉินตงโบกมือ : “เสี่ยวหม่า จริงๆแล้วฉันดีใจและตื่นเต้นมาก แต่ในสายตาของฉันตอนนี้ ไท่ติ่งยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ฉันแสดงความตื่นเต้นและดีใจออกมาได้”
“พวกเราขายตึกไปได้เพียงแค่สี่แห่ง หลังจากนี้ยังมีตึกอีกจำนวนมากที่รอการเปิดขายล่วงหน้าในอนาคต โครงการฟื้นฟูภาคตะวันตกของเมือง กินเนื้อที่เกือบครึ่งหนึ่งของเมืองนี้ !”
เสี่ยวหม่าดูเหมือนจะคิดอะไรออก เขาพยักหน้า แววตาเป็นประกาย
“พี่ตง ผมเข้าใจแล้ว ผมดีใจเร็วเกินไป รอให้ภาคตะวันตกของเมืองฟื้นฟูแล้วเสร็จเสียก่อน ถึงจะเป็นเวลาที่เราสามารถจะฉลองได้อย่างแท้จริง”
พูดจบ เขาก็เดินออกไปอย่างภาคภูมิใจ
เฉินตงนั่งพิงเก้าอี้แล้วยิ้มอย่างหดหู่
แค่ภาคตะวันตกของเมือง เพียงพอจริงหรือ ?
ไม่พอแน่นอน !
เขายังมีหนทางที่ต้องเดินอีกไกล
กระดาษคำตอบที่เขาต้องการจะส่ง ไม่ใช่กระดาษคำตอบที่ได้คะแนนเต็ม แต่เป็นกระดาษคำตอบที่จำเป็นจะต้องทำให้ได้คะแนนเต็มเท่านั้น
มีเพียงวิธีนี้ ถึงจะทำให้พวกชนชั้นสูงของตระกูลเฉินยอมก้มหัวได้ ถึงจะทำให้ “ลูกนอกสมรส” ที่ถูกทุกคนรังเกียจอย่างเขา สามารถเดินเข้าตระกูลเฉินได้อย่างสง่างาม และขึ้นนั่งบนบัลลังก์ของราชาได้
และทวงคืนเกียรติยศศักดิ์ศรีที่ควรจะเป็นของแม่ กลับคืนให้แก่แม่ได้ !
พวกชนชั้นสูงของตระกูลเฉินไม่ใช่คนโง่
หากบกพร่องเพียงเล็กน้อย ก็จะต้องถูกกำจัดออกไป
เวลาเดียวกันนี้
ภายในคลับสี่ยิ่น
คุณท่านใหญ่หลี่สีหน้าหมองคล้ำ ราวกับราชสีห์ที่กำลังโกรธเกรี้ยว เขากัดฟันกรอด
เขาในตอนนี้ รู้สึกคลื่นไส้ราวกับกินสิ่งปฏิกูลเข้าไป
“นายท่าน เก็บกระเป๋าเดินทางเรียบร้อยแล้วครับ” บอดี้การ์ดคนหนึ่งเดินเข้ามา
“ไสหัวไป !”
คุณท่านใหญ่หลี่มือไม้สั่น เขาโยนไม้เท้าลงบนพื้น
บอดี้การ์ดตกใจรีบเอามือกุมหัว ในห้องเหลือเพียงแค่เขาคนเดียว
เมื่อครู่
คนของคลับสี่ยิ่น มาเชิญให้เขาย้ายไปพักที่โรงแรมไท่ซาน
กล่าวว่าที่นั่นเป็นโรงแรมห้าดาว อีกทั้งยังอยู่ในเมือง จึงสะดวกในการทำธุระของเขา
เป็นคำพูดที่ฟังดูไพเราะ แต่ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้น มีใครไม่เข้าใจบ้าง ?
ถึงแม้โรงแรมห้าดาวจะมีมาตรฐานสูงก็ตาม
แต่สำหรับเขาแล้ว มันมีความหมายอะไร ? เทียบกับคลับสี่ยิ่นได้อย่างนั้นหรือ ?
นี่เห็นอยู่ชัดๆ ว่า……ต้องการไล่เขาออกไป !
ตระกูลหลี่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหลวง ในฐานะของคุณท่านใหญ่หลี่ที่เป็นถึงเจ้าบ้าน ไม่ว่าจะไปไหนก็มีแต่คนนับหน้าถือตาและให้การต้อนรับ
แต่ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ไม่สามารถอยู่ต่อในลานเล็กๆ ในคลับที่หรูหราที่สุดยังไม่พอ ตอนนี้กลับถูกไล่อีกด้วย !
สมควรตายจริงๆ !
“ไป ! ในเมื่อไล่ฉันแล้ว ฉันจะอยู่ต่อให้อับอายทำไม ?”
คุณท่านใหญ่หลี่หายใจฟึดฟัดราวกับวัวกระทิง ถึงแม้จะตัดสินใจแล้ว แต่คำพูดของเขายังคงอัดแน่นไปด้วยความคับแค้นใจ
คนที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหลวง ต้องตกมาอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอายเช่นนี้เป็นครั้งแรก !
และทั้งหมดนี่ ก็เป็นเพราะเฉินตง
เขารู้ดีว่า ถ้าไม่เพราะเฉินตง ท่านไม่ไม่มีทางกล้าเสียมารยาทเช่นนี้
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป
คุณท่านใหญ่หลี่เดินขึ้นรถไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
รถเบนซ์สองคันขับออกไป
ในฐานะที่เขาเป็นคุณท่านใหญ่หลี่ ทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยวเป็นอย่างมาก
ข้างๆ ประตูใหญ่ของคลับสี่ยิ่น
ท่านเมิ่งที่กำลังมองดูรถเบนซ์สองคันเคลื่อนตัวออกไป ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า : “น้องกู้ พอใจแล้วใช่ไหม ?”
“พอใจสิ ในเมื่อลูกเขยของผมไม่ชอบเจ้าแก่นี่ ให้เขาไปเป็นการดีที่สุดแล้ว”
ใบหน้าของกู้โก๋ฮั๋วเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาพูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองว่า : “ถ้าเขายังจะกล้าทำให้ลูกเขยของผมไม่พอใจอีกล่ะก็ ให้ไล่เขาออกจากเมืองนี้ไปซะ !”
“นายนี่มันอันธพาลจิงๆ”
ท่านเมิ่งยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ : “ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่นร่ำรวยที่สุดในเมืองหลวงนะ”
กู้โก๋ฮั๋วยิ้มเยาะ : “พี่คิดว่าผมอยู่ต่างประเทศมาหลายปี แล้วจะไม่รู้ความเคลื่อนไหวของเหตุการณ์ภายในประเทศอย่างนั้นหรือ ?”
กู้โก๋ฮั๋วเงียบไปสักครู่แล้วพูดต่อว่า : “ตระกูลหลี่แห่งเมืองหลวง ตอนนี้หลังบ้านลุกเป็นไฟแล้ว”
ท่านเมิ่งยิ้มโดยไม่พูดอะไร
ครู่หนึ่ง ท่านเมิ่งก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า : “แล้วนายจะไปตระกูลเฉินเมื่อไหร่ ?”
“พรุ่งนี้”
ใบหน้าของกู้โก๋ฮั๋วเต็มไปด้วยรอยยิ้ม : “ลูกสาวของผมช่วยงานใหญ่ของผมได้สำเร็จ หาลูกเขยอย่างเฉินตงให้ผมได้ ท่านหลงรับประกันกับผมแล้วว่า ตอนนี้ประตูใหญ่ของตระกูลเฉินเปิดรับผมแล้ว เจ้าบ้านจะเป็นคนมาต้อนรับผมด้วยตัวเอง”
“ถ้าเช่นนั้นความใฝ่ในของนายตลอดหลายปีมานี้ ในที่สุดก็เป็นความจริงแล้ว” ท่านเมิ่งกล่าว
“ต้องขอบคุณตงเอ๋อ ไม่อย่างนั้นชาตินี้ความฝันของผมคงไม่อาจเป็นจริงได้” กู้โก๋ฮั๋วรู้สึกโล่งใจ
หลายปีมานี้ เขาพยายามขอเข้าพบนับครั้งไม่ถ้วน ทุกครั้งท่านหลงจะเป็นผู้ที่คอยให้การต้อนรับ ถ้าหากทำเช่นนี้ต่อไป ก็คงจะยังเป็นเช่นนี้อยู่
บริษัทชิงหยิ่งไม่ได้อยู่ในสายตาของตระกูลเฉินเลยแม้แต่น้อย
ที่วันนี้มีโอกาสเช่นนี้ได้ ก็เป็นเพราะเฉินตง !
กู้โก๋ฮั๋วแสดงออกถึงแววตาที่แน่วแน่ : “การเดิมพันครั้งนี้ ผมพนันว่าตงเอ๋อจะต้องเป็นผู้ชนะ ดังนั้นต่อจากนี้ไปขอให้พี่เมิ่งช่วยดูแลและสนับสนุน ต่อให้ผมต้องแลกด้วยชีวิต ผมก็จะต้องปกป้องตงเอ๋อให้ก้าวเข้าไปในตระกูลเฉินให้ได้”
“วางใจเถอะ ฉันจะดูแลให้เอง อย่างน้อยในเมืองนี้ ก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องเขา” ท่านเมิ่งยิ้มพลางพยักหน้า
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น
กู๋โก๋ฮั๋วและหลี่หวั่นชิงเดินทางออกจากคลับสี่ยิ่น
มีเพียงกู้ชิงหยิ่งที่อยู่ต่อ แต่ก็ย้ายออกมาจากคลับสี่ยิ่น
ในเมื่อพ่อแม่เดินทางออกไปแล้ว จะให้เธออยู่ที่คลับสี่ยิ่นคนเดียวก็ดูจะเป็นเรื่องน่าเบื่อ ไม่สู้ย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองจะสะดวกกว่า
แน่นอนว่าเธออยากจะอยู่ใกล้ชิดกับเฉินตงให้มากขึ้นด้วย
บ่ายวันนั้น กู้ชิงหยิ่งย้ายบ้านจนแล้วเสร็จ
เธอเลือกบ้านใหม่ที่อยู่ใกล้ๆ กับบริษัทวัสดุก่อสร้างยิงลี่
ตอนนี้กู้ชิงหยิ่งยังเป็นเจ้าของบริษัทวัสดุก่อสร้างยิงลี่อยู่ หากพักอยู่ใกล้ๆ กับบริษัท ก็สะดวกแก่การเดินทางไปทำงาน
เธอรู้สึกคิดถึงเฉินตง แต่เป็นเพราะได้รับการอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เธอไม่อาจใช้ชีวิตอย่างไม่ต้องสนใจอะไรได้
ผู้หญิง ต่อให้ผู้ชายของตนเองจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน อย่างน้อยตนเองก็ควรจะมีงานทำ ถึงจะสามารถเอาตัวรอดได้
เธอไม่ต้องการที่จะเป็นเบี้ยล่างของเฉินตง
หลังจากย้ายบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว
กู้ชิงหยิ่งเหนื่อยจนเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว เธอนอนอยู่บนเตียง ยิ้มพลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา จากนั้นจึงส่งข้อความไปหาเฉินตง
“คนโง่ พ่อกับแม่ของฉันไปแล้ว ฉันย้ายออกมาจากคลับสี่ยิ่นแล้ว”
บริษัทอสังหาริมทรัพย์ไท่ติ่ง
เฉินตงที่กำลังยุ่งอยู่ เมื่อเห็นข้อความของกู้ชิงหยิ่งก็นิ่งไปชั่วขณะ
ยังไม่ทันจะรอให้เขาตอบกลับ กู้ชิงหยิ่งก็ส่งข้อความเข้ามาอีกหนึ่งข้อความ
“คนโง่ คืนนี้มานั่งเล่นที่บ้านฉันสิคะ ฉันอยากทำอาหารให้คุณทาน”
เฉินตงยิ้มออกมา
ดวงตาของเขาเหมือนมีประกายไฟค่อยๆ ลุกโชนขึ้น
เขานึกไปถึงคำพูดที่เขาพูดหยอกล้อกับกู้ชิงหยิ่งในคลับสี่ยิ่น
เป็นจริง……เร็วขนาดนี้เลยหรือ ?
แต่นี้มันจะดูไม่ดีหรือเปล่านะ ?
ถึงแม้จะขอแต่งงานแล้ว แต่อย่างไรเสียก็ยังไม่ได้แต่งงาน
อีกทั้ง พ่อแม่ของกู้ชิงหยิ่งเองก็เพิ่งจะเดินทางออกไปได้ไม่นาน แล้วจู่ๆ หมาป่าตัวใหญ่ก็จะมาเขมือบลูกกระต่ายน้อยทันทีเช่นนี้ รู้สึกว่าจะใจร้ายไปเสียหน่อย
เขาสูดหายใจเข้า
จากนั้นเฉินตงจึงหุบยิ้ม
แล้วพิมพ์ข้อความตอบกลับกู้ชิงหยิ่งไปอย่างจริงจังและเคร่งขรึม
“ได้ !”