“นายรู้ได้ยังไง” เจิ้งจุนหลินที่ยังไม่ค่อยสร่างเมา มองเฉินตงอย่างประหลาดใจ
เฉินตงลูบจมูกแล้วอมยิ้ม “อันที่จริงผมก็ต่างกับคุณไม่มากนัก”
“จริงเหรอ”
ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเจิ้งจุนหลินปรากฏความยินดี
ความรู้สึกในการเผชิญหน้ากับเฉินตงตอนนี้เปลี่ยนเป็นความรู้สึกเห็นอกเห็นใจกันขึ้นมา
เฉินตงหันไปมองเจิ้งจุนหลินแล้วยิ้มอ่อนๆ
“ใช่ แต่ผมเป็นฝั่งเครือญาติที่เอาชนะพวกสายเลือดตรงมาได้”
เจิ้งจุนหลินชะงัก ตอนนั้นรู้สึกราวกับร่างกายของตัวเองโหวงเหวง
คำพูดของเฉินตง ทำให้ความรู้สึกเป็นพวกเดียวกันหายไป แถมยังรู้สึกราวกับจะกระอักเลือดออกมา
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับงานเลี้ยงวันเกิดของพ่อนาย” เฉินตงถาม
เจิ้งจุนหลินถอนใจ “ทุกครั้งที่มีงานเลี้ยงรวมญาติ คุณชายใหญ่อย่างฉันมักจะกลายเป็นเป้าให้ทุกคนหัวเราะเยาะ นายว่าฉันจะแฮปปี้ได้ยังไง”
“พวกเครือญาติที่พยายามจนมีความสามารถโดดเด่น ไม่เคยเห็นคุณชายใหญ่อย่างฉันอยู่ในสายตาเลย ทุกครั้งฉันเลยโดนดูถูกตลอด”
เฉินตงรู้สึกเข้าอกเข้าใจทันที การเป็นที่รังเกียจของคนอื่นไม่ว่าใครเจอเรื่องนี้ต่างก็ยากจะรับได้
ยิ่งไปกว่านั้น เจิ้งจุนหลินยังเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลเจิ้งที่คนภายนอกต่างจับตามอง
คนนอกยกย่องสรรเสริญ แต่เมื่อกลับถึงบ้านกลับกลายเป็นตัวตลกของครอบครัว
เมื่อสถานการณ์แตกต่างกันเช่นนี้ การที่เจิ้งจุนหลินมีสภาพแบบนี้จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
บรรยากาศในรถเงียบสงบลงอยู่สองสามวินาที
เฉินตงจึงค่อยๆ กล่าวออกมาว่า “พรุ่งนี้ผมขอไปร่วมงานเลี้ยงที่บ้านคุณด้วยได้ไหม”
“นาย?”
เจิ้งจุนหลินมองเฉินตงด้วยสายตาแปลกประหลาด “ฉันจำคนมีหน้ามีตาในเมืองนี้ได้หมด ฉันไม่คุ้นหน้านาย คงจะเป็นคนต่างเมืองล่ะสิ”
ก็ไม่ได้โง่จนเกินไป
เฉินตงยิ้มเย็น เขานึกว่าเจิ้งจุนหลินอายุน้อยแล้วจะพูดเออออไปตามน้ำ
“นายเป็นคนนอก แต่อยากจะมาร่วมงานวันเกิดของพ่อฉัน นายรู้ไหมว่าในเมืองนี้งานวันเกิดของพ่อฉันมันหมายถึงอะไร”
สายตาที่เจิ้งจุนหลินใช้มองเฉินตงเริ่มแปลกขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้เขาสร่างเมาขึ้นพอสมควรแล้ว สติสัมปชัญญะของเขาจึงเริ่มฟื้นฟูกลับมา
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนนี้ พอลองกลับมาคิดดีๆ จะเห็นว่ามีแต่ความแปลกประหลาด
คนแปลกหน้าคนหนึ่งต่อยเขาจนสลบ เพื่อที่จะชวนเขาคุย
แถมตอนนี้ยังอยากจะร่วมงานวันเกิดของพ่อตนอีก
แน่นอนว่าความสามารถของเขาอาจจะไม่ค่อยมี แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะโง่
“เป็นสถานที่ที่ทุกคนอยากไป?”
เฉินตงเอ่ยประโยคนี้ออกมา
“ใช่ ทุกคนอยากไปทั้งนั้น!”
เจิ้งจุนหลินพยักหน้าอย่างหนักแน่น และแอบวางท่าอวดเบ่ง “ในเมืองนี้ จุนหลิน กรุ๊ปของพวกเราร่ำรวยที่สุด บรรดาไฮโซที่นี่ต่างต้องเข้ามามีส่วนร่วม งานฉลองวันเกิดทุกปีของพ่อเป็นข่าวใหญ่ไปทั้งเมือง”
ร่ำรวยที่สุด?
ไฮโซของที่นี่?
เฉินตงฟังแล้วก็ยิ้มอย่างแข็งกร้าว ไฮโซของเมืองเล็กๆ แห่งนี้นับว่าเป็นไฮโซตัวจริงด้วยหรือ
จุนหลิน กรุ๊ปสามารถเอาตัวเข้ามาแทรกตอนที่ตัวท็อปของตลาดหุ้นกำลังแข่งขันกันและหอบกำไรกลับไปได้ จะไม่ให้บรรดาไฮโซในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ยกย่องสรรเสริญได้อย่างไร
นี่ไม่ใช่ความแตกต่างระหว่างชนชั้น
แต่เป็นระดับของเมืองที่แตกต่าง!
“ก็เพราะอย่างนี้ ผมถึงอยากไปร่วม”
เฉินตงยักไหล่ “ยังไงผมก็มาเที่ยวอยู่แล้ว พอได้ยินความยิ่งใหญ่ของจุนหลิน กรุ๊ปก็อดไม่ได้ที่อยากจะไปร่วมงานด้วย ดังนั้นผมขอเข้าร่วมงานในฐานะเพื่อนของคุณได้ไหม”
“เชอะ นายคิดว่าฉันโง่ล่ะมั้ง บ๊ายบาย”
เจิ้งจุนหลินหัวเราะเย้ยก่อนจะเปิดประตูและลงจากรถไป
คุนหลุนเตรียมจะเข้ามาขวางไว้โดยอัตโนมัติ แต่เฉินตงกลับเอ่ยอย่างสงบ “คุนหลุน ปล่อยเขาไป”
เมื่อเจิ้งจุนหลินเห็นว่าคุนหลุนปล่อยเขาไป เขาก็รู้สึกหายใจทั่วท้อง
จากนั้นจึงหันมาเหล่มองเฉินตง “ลืมคำพูดเมื่อครู่นี้ที่ฉันพูดกับแกไปซะ ไม่งั้นฉันไม่รับประกันสวัสดิภาพของแกแน่”
คำพูดนี้เอ่ยเพื่อตั้งใจข่มขู่อย่างชัดเจน
ทำให้คุนหลุนกำมือขวาเอาไว้แน่น พยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้พลั้งหมัดออกไป
เฉินตงกลับอมยิ้มพลางพยักหน้า
เมื่อเจิ้งจุนหลินห่างออกไปแล้ว คุนหลุนจึงกลับขึ้นรถ “คุณชาย มันอวดดีขนาดนี้ ทำไมยังยิ้มอยู่อีก”
“เด็กน้อยอายุแค่ยี่สิบ ที่หยิ่งผยองจนเคยตัว พอโดนตบหน้าแบบนี้ จะไม่ให้พูดจาโหดๆ เพื่อกู้หน้าตัวเองกลับไปบ้างหรือ”
เฉินตงไม่ถือสาอะไร เขาลูบจมูกพลางยิ้ม “ยิ่งกว่านั้น ผมได้ข้อมูลที่อยากได้มาแล้ว”
“ข้อมูลอะไรหรือครับ” แววตาของคุนหลุนเป็นประกาย
“พรุ่งนี้เป็นงานฉลองวันเกิดของเจ้าของจุนหลิน กรุ๊ป คนมีหน้ามีตาในเมืองนี้จะไปรวมตัวกันที่นั่น ถึงเวลานั้นฉันก็จะไปด้วย” เฉินตงกล่าว
“พวกเราจะไปกันได้ยังไงครับ” คุนหลุนไม่เข้าใจ
“ไปมอบของขวัญไง พวกเขาจะถึงขั้นไล่ผมออกมาเลยหรือ”
เฉินตงหยักไหล่ด้วยสายตาล้ำลึก “พี่ว่า ผมจะได้เจอพ่อที่งานเลี้ยงไหม”
คุนหลุนตะลึง และไม่ได้ตอบอะไรออกมา
เฉินตงกลับหัวเราะเบาๆ แล้วเอนตัวพิงเก้าอี้
เมื่อได้รู้ว่าตระกูลเจิ้งของจุนหลิน กรุ๊ปใช้วิธีการให้ผู้ชนะเป็นผู้สืบทอดเพื่อเลือกคนที่มาทำงานต่อนั้น การคาดเดาในหัวเขาก็ยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้น
ตระกูลเศรษฐีทั่วๆ ไปยากที่จะมีความกล้าหาญเลือกใช้วิธีการนี้ ไม่แต่งตั้งสายเลือดตรงแต่เลือกเครือญาติแทน
“ขับรถกลับโรงแรมกันเถอะ”
เฉินตงตบไหล่คุนหลุน
“แล้วท่านหลงล่ะครับ” คุนหลุนถามขึ้น
เฉินตงส่ายหัว “คืนนี้เขาคงจะยุ่งน่ะ”
……
วันต่อมา
เมื่อตะวันลับขอบฟ้า
บรรยากาศของเมืองทั้งเมืองก็เข้าสู่ความครื้นเครง
บรรดาไฮโซในเมืองนี้ต่างแห่แหนกันไปยังสถานที่เดียว
ทำให้เกิดขบวนรถยาวเหยียดที่มองลงมาจากบนฟากฟ้าก็ยังเห็นอย่างชัดเจน
ในคฤหาสน์นอกเมือง
คฤหาสน์ใหญ่โตโอ่อ่ามีเนื้อที่กว้างขวางทำให้ดูยิ่งใหญ่ตระการตา
เวลานี้โคมไฟถูกเปิดระยิบระยับ เต็มไปด้วยความรื่นเริง
คฤหาสน์หลังใหญ่นี้ตั้งตระหง่านอยู่บนทะเลทรายกว้างใหญ่ ตัดกับทะเลทรายที่อยู่ห่างไกลอย่างชัดเจน
มีเส้นแบ่งแยกความอ้างว้างกับความคึกคักออกจากกันอย่างชัดเจน
ผู้คนเคลื่อนตัวกันมาที่ประตูใหญ่
พื้นที่ว่างด้านนอกมีรถหรูจอดเต็มพื้นที่ และยังมีขบวนรถที่มุ่งหน้าเข้ามาสู่ที่นี่อย่างไม่ขาดสาย
มีเสียงตามสายประกาศข่าวสารเป็นช่วงๆ
มีการต้อนรับแขกเข้าไปด้านในอย่างมีลำดับขั้นตอน โดยนำแขกทีละคนเข้าไปร่วมงานในคฤหาสน์
รถเบนซ์จีคลาสคันหนึ่งขับผ่านทะเลทรายเข้ามาจอดในลานจอดรถด้านนอกคฤหาสน์
หลังจากลงจากรถ
เฉินตงที่สวมใส่ชุดสูทกับรองเท้าหนังก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับภาพตรงหน้าเช่นกัน
“งานยิ่งใหญ่ขนาดนี้ในเมืองอย่างโม่เป่ย คงจะยากที่จะได้เจอพวกผู้ดีตัวจริงแล้วล่ะมั้ง”
“เป็นเช่นนั้นล่ะครับ ได้ยินมาว่าตระกูลเจิ้งไม่ปฏิเสธแขกที่มา แค่เป็นคนที่ประสบความสำเร็จอยู่บ้างมาร่วมอวยพรก็คงจะต้อนรับไว้หมด” ท่านหลงหาววอดด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า
เฉินตงมองอย่างเอือมระอา “อายุเยอะขนาดนี้แล้ว รู้จักบริหารเวลาซะบ้าง”
จากนั้นจึงหันไปพูดกับคุนหลุนว่า “เตรียมของขวัญไว้แล้วรึยัง”
คุนหลุนพยักหน้า จากนั้นจึงถือของขวัญพลางเดินตามเฉินตงกับท่านหลงมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์
ไม่นานนัก พนักงานต้อนรับสาวก็เดินเข้ามา
“สวัสดีค่ะคุณผู้ชาย ยินดีต้อนรับสู่งานเลี้ยงฉลองของตระกูลเจิ้งค่ะ”
เฉินตงพยักหน้านิ่งๆ แล้วหันไปส่งสัญญาณให้คุนหลุนมอบของขวัญ
พนักงานต้อนรับสาวรับของแล้วส่งต่อให้พนักงานอีกคน
จากนั้นจึงเชิญทั้งสามคนเดินเข้าไปด้านใน
เฉินตงแอบดีใจเพราะคิดว่างานฉลองวันเกิดของตระกูลเจิ้งน่าจะเข้ายาก แต่คิดไม่ถึงว่าจะเข้าไปง่ายดายขนาดนี้
“คุณผู้ชายคะ ดูจากท่าทางของคุณแล้ว คุณไม่ใช่คนแถวนี้ใช่ไหมคะ ไม่ทราบว่าทำธุรกิจอะไร ประสบความสำเร็จเรื่องไหน ค่าตัวเท่าไหร่คะ”
คำถามเช่นนี้ของพนักงานต้อนรับสาวทำเอาเฉินตงยิ้มไม่ออก
“พวกคุณถามกันตรงๆ แบบนี้เลยหรือ”
พนักงานต้อนรับสาวอมยิ้ม “พูดตามตรงนะคะ คุณท่านของพวกเราคบค้ากับคนกว้างขวาง ไม่เคยปฏิเสธผู้มาเยือน แม้ว่าคุณผู้ชายจะดูไม่ใช่คนที่นี่ แต่เมื่อมาร่วมอวยพรด้วยแล้ว พวกเราก็ควรต้อนรับ”
เมื่อเห็นเฉินตงและพวกยังคงขมวดคิ้ว พนักงานต้อนรับสาวจึงกล่าวต่อ “การถามถึงธุรกิจ ความสำเร็จและค่าตัว จึงไม่ถือว่าเป็นเรื่องเสียมารยาท แต่เป็นกฎของตระกูลเจิ้ง เรื่องนี้คนแถวนี้ต่างรู้ดี และจะได้ง่ายต่อการจัดที่นั่งให้ด้วยค่ะ”
เดินมาไม่กี่ก้าวก็เข้ามาด้านในของคฤหาสน์แล้ว
พนักงานต้อนรับสาวชี้ไปยังลานที่มีโต๊ะอาหารวางเต็มพื้นที่ “ตรงนี้คือโต๊ะด้านนอก เอาไว้ต้อนรับแขกเหรื่อทั่วๆ ไป ส่วนด้านในต่างหากถึงจะเป็นโต๊ะสำหรับผู้มาร่วมฉลองงานที่เป็นพวกไฮโซของเมืองนี้”
“อีกอย่าง ตำแหน่งที่นั่ง ยังจัดตามค่าตัวของแขกที่มาร่วมงานด้วยค่ะ”
คำพูดเรียบง่ายที่ถือว่าเป็นคำถามที่เสียมารยาท เมื่อหลุดออกมาจากปากของพนักงานต้อนรับสาวแล้วกลับดูเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
นี่คือจุนหลิน กรุ๊ป และยังถือเป็นสิ่งที่แสดงฐานะทรงเกียรติและเป็นความภาคภูมิใจของตระกูลเจิ้งในเมืองแห่งนี้
“ผมไม่ควรได้นั่งด้านนอก” เฉินตงตอบ
“ไม่มีปัญหา ไปดูด้านในก็ได้ค่ะ” พนักงานต้อนรับสาวเดินนำไปข้างหน้า
เมื่อเดินเข้าไปยังโถงด้านใน จำนวนโต๊ะลดลงอย่างชัดเจน แถมรูปแบบยังดูหรูหรากว่าด้านนอกมาก
“คุณผู้ชายดูนี่สิคะ ตรงนี้ใกล้ประตูโถงด้านในมากที่สุดและเป็นที่สำหรับคนที่มีค่าตัวหนึ่งล้านขึ้นไป ส่วนด้านในเข้าไปอีกก็ขึ้นอยู่กับว่ามีค่าตัวเท่าไหร่ และยิ่งลึกเข้าไปค่าตัวก็ยิ่งแพง คนที่จะได้อยู่ใกล้กับประธานต้องเป็นคนที่มีค่าตัวร้อยล้านขึ้นไปค่ะ”
เมื่อเอ่ยจบพนักงานต้อนรับสาวก็หันมามองเฉินตง
“ยุ่งยากหน่อยนะคะ”
เฉินตงถูมือก่อนจะเข้าไปใกล้ๆ พนักงานต้อนรับสาวแล้วเอ่ยถามเบาๆ ว่า “ขอโทษนะครับ คนที่ค่าตัวแสนล้านต้องนั่งโต๊ะไหนครับ”