เมื่อเห็นพวกเจิ้งจุนเซี่ยนสี่คนกระซิบกระซาบแล้วมองมาทางตนอย่างดูแคลน
เจิ้งจุนหลินอดไม่ได้ที่จะหลุดด่าออกมา “พวกชั้นต่ำ!”
เฉินตงอมยิ้มแล้วมองไปทางพวกของเจิ้งจุนเซี่ยนทั้งสี่คน แววตาของเขาเย็นเฉียบ
งานเลี้ยงของตระกูลเจิ้งจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ
แขกเหรื่อจำนวนมากพยายามมาที่นี่เพื่อร่วมอวยพร
ที่นั่งภายในโถงด้านในเต็มทุกที่อย่างรวดเร็ว
เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน
นอกคฤหาสน์ เสียงพลุดังสนั่นจนหูอื้ออึง
จากนั้นขั้นตอนสำคัญของพิธีก็เริ่มขึ้น มีเสียงประกาศเริ่มพิธี
เสียงปรบมือดังสนั่นขึ้น
บนเวที ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งสวมเสื้อคอจีนสีแดงเดินขึ้นมาบนเวทีช้าๆ
แขกในงานทั้งหมดยืนขึ้น ทุกสายตาจับจ้องไปที่ชายวัยกลางคนด้วยความเลื่อมใส
“นั่นพ่อของคุณหรอ”เฉินตงถามขึ้น
“อืม” เจิ้งจุนหลินพยักหน้าอย่างสงบ
และในเวลาเดียวกันนั้น
ชายวัยกลางคนบนเวทีขมวดคิ้วแน่นจ้องมองมาทางนี้
เมื่อสายตามาหยุดอยู่ที่ร่างของเจิ้งจุนหลิน สายตาก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความโมโห
เห็นได้ชัดเจนว่าการที่คุณชายใหญ่ตระกูลเจิ้งไม่ยอมนั่งโต๊ะวีไอพีร่วมกับพ่อ แต่กลับไปนั่งอยู่ตรงโต๊ะตรงประตูของโถงด้านในที่ถือว่าเป็นตำแหน่งระดับต่ำนั้น ทำให้ชายวัยกลางคนผู้นั้นไม่พอใจอย่างยิ่ง
หรือพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า ลูกชายคนนี้กำลังตบหน้าพ่อของตัวเอง!
“หึ! ตอนนี้รู้แล้วหรอว่าฉันเป็นลูกเขาอีกคนด้วย”
เจิ้งจุนหลินยิ้มอย่างไร้ความรู้สึกแล้วนั่งลงบนเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ จึงยิ่งทำให้แปลกแยกออกจากคนที่อยู่บริเวณรอบๆ
ชายวัยกลางคนผู้นั้นยืนสง่างามอยู่บนเวที สีหน้าของเขายิ้มแย้มและกล่าวบทพูดด้วยคำพูดที่เข้าใจง่ายเพื่อนำไปสู่การเริ่มงานเลี้ยง
แขกทั้งหมดจึงนั่งลงและเริ่มรับประทานอาหาร
ด้านหน้าเวที โต๊ะวีไอพีทั้งสามโต๊ะกลายเป็นที่จดจ้องของคนทั้งงาน
แขกที่เดินมาขอชนแก้วกับโต๊ะวีไอพีทั้งสามมีมาอย่างไม่ขาดตอนราวกับสายน้ำไหล
คนที่นั่งโต๊ะวีไอพีทั้งสามล้วนเป็นคนที่ได้รับการนับหน้าถือตาในตระกูลเจิ้งและหนุ่มสาวที่มีความสามารถโดดเด่นในรุ่นต่างเข้ามาชนแก้วกับเจ้าบ้านเจิ้ง
ส่วนโต๊ะของเฉินตงกัยเจิ้งจุนหลินกลับไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าไรนัก
และเพราะเจิ้งจุนหลิน ทำให้แขกคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะนี้เริ่มรู้สึกเกร็งและหวาดระแวง
ใครๆ ต่างก็รู้ว่าเจิ้งจุนหลินเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลเจิ้ง แถมยังโดนจับตามองจากเหตุการณ์เมื่อครู่นี้
เมื่อคุณชายใหญ่ตระกูลเจิ้งนั่งอยู่ตรงนี้ด้วย แค่พวกเขาคิดจะไปขอชนแก้วคารวะเจ้าบ้านเจิ้งยังเกิดความลังเลใจ
“ในโอกาสงานฉลองวันเกิดของเจ้าบ้าน กระผมจุนเซี่ยนขอมอบของเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ให้เป็นของขวัญแก่เจ้าบ้าน”
ในตอนนั้นเอง เจิ้งจุนเซี่ยนที่นั่งอยู่ข้างๆ เจ้าบ้านเจิ้งก็ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
และประโยคนี้ยังสามารถดึงดูดความสนใจสายตาของทุกคนได้
ริมฝีปากของเฉินตงปรากฏรอยยิ้มแข็งกร้าว พลางคิดในใจว่า “ดึงดูดความสนใจเก่งเสียจริงนะ”
งานวันเกิดของเจ้าบ้าน รายการของขวัญวันเกิดทุกชิ้นต่างทุกจดเอาไว้ในบันทึกตั้งแต่ตอนที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์แล้ว
เจิ้งจุนเซี่ยนนำของขวัญมามอบให้กลางโต๊ะอาหารเช่นนี้ เห็นได้ชัดเจนว่าเขาต้องการเป็นที่สนใจ
จากนั้นเฉินตงจึงเหลือบไปมองเจิ้งจุนหลินโดยอัตโนมัติ
เห็นได้อย่างชัดเจนว่า
เจิ้งจุนหลินในเวลานี้สีหน้าเขียวคล้ำ และกัดฟันเอาไว้แน่น
ส่วนบริเวณโต๊ะวีไอพีด้านหน้า เจ้าบ้านเจิ้งกำลังยิ้มอย่างพออกพอใจโดยไม่ได้ขัดอะไร แถมยังมองเจิ้งจุนเซี่ยนด้วยสายตาชื่นชมอีกด้วย
จากนั้นจึงตามด้วยเสียงอ่านรายการของขวัญ
“พระพุทธรูปหยกหยกโฮตันหนึ่งองค์”
“หินทิเบต 3 ตาหนึ่งเม็ด”
“เจ้าแม่กวนอิมทองคำบริสุทธิ์99% หนึ่งองค์”
……
ในโถงด้านในมีเสียงฮือฮาดังขึ้น
บรรยากาศเต็มไปด้วยความโออ่า
“พระเจ้า ของขวัญพวกนี้มูลค่ารวมเกินหนึ่งล้านใช่ไหมน่ะ คุณชายจุนเซี่ยนใจกว้างมากเลย”
“ใจกว้างอะไรเล่า นี่คือการแสดงน้ำใจต่อเจ้าบ้านเจิ้ง เขามีน้ำใจเต็มเปี่ยมจริงๆ”
“ไม่เสียดายเลยที่คุณชายจุนเซี่ยนเป็นอันดับหนึ่งของคนรุ่นหนุ่มสาวตระกูลเจิ้ง จัดการทุกอย่างไม่เหมือนอย่างคนธรรมดา พอลองเทียบกันดูทำให้คนบางคนกลายเป็นคนอกตัญญูและใจแคบไปเลย!”
……
เสียงซุบซิบนินทาของแขกในงานดังระงม
ทำให้เฉินตงขมวดคิ้วเล็กน้อย และรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเจิ้งจุนหลินที่นั่งอยู่ข้างๆ กำลังตัวสั่น
โทสะที่กำลังเดือดดาลราวเปลวเพลิงที่ลุกโชน
“ดีๆๆ จุนเซี่ยน ไม่เสียแรงที่ฉันสั่งสอน เจ้าคือความภาคภูมิใจของคนในตระกูลเซี่ยน”
เจ้าบ้านเจิ้งหน้าตาเบิกบาน กล่าวชมออกมาด้วยเสียงดังฟังชัด ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดนี้ทำให้คนที่กำลังวางแผนบางอย่างค่อยๆ เดาความหมายได้
ส่วนเจิ้งจุนเซี่ยนกับพวก เมื่อได้ยินคำกล่าวชมเช่นนี้ก็ดีใจจนหน้าบาน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคำพูดเช่นนี้เป็นการบอกทางอ้อมถึงคนที่จะรับตำแหน่งเจ้าบ้านคนต่อไป!
ทว่ากลับไม่มีใครสังเกตเห็นว่าระหว่างที่เจ้าบ้านเจิ้งกำลังกล่าวคำพูดเช่นนี้นั้น สายตาของเขาแอบเหลือบไปมองเจิ้งจุนหลินที่กำลังนั่งกัดฟันกรอดอยู่
เมื่อดื่มกินกันไปจนถึงช่วงท้ายของมื้ออาหารแล้ว
คนในงานก็เริ่มชนแก้วกับแขกคนอื่นๆ และพูดคุยกันอย่างครึกครื้น
เจ้าบ้านเจิ้งเป็นจุดสนใจตลอดงานเลี้ยงนี้ ทำให้เขาดื่มเข้าไปมากจนตอนนี้สายตาเริ่มพร่าจากอาการเมา
และด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์นี้เองที่ทำให้เจ้าบ้านเจิ้งลุกขึ้นยืน
“จุนเซี่ยน พวกเธอคือความภาคภูมิใจของตระกูลเจิ้ง ดังนั้นไปชนแก้วกับแขกเหรื่อคนอื่นๆ ในงานด้วยกันเถอะ”
แขกภายในโถงด้านใน ล้วนเป็นคนที่มีหน้ามีตาใหญ่โตในเมืองนี้
เดิมทีเจ้าบ้านเจิ้งก็เป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ชอบนั่งอยู่กับที่เฉยๆ เพื่อรอให้คนอื่นมาอวยพรและขอดื่มคารวะด้วย นี่คือกฎของเขา
เจ้าบ้านเจิ้งเดินไปขอชนแก้วกับทุกโต๊ะด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเบิกบาน
ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เขาก็พาพวกเจิ้งจุนเซี่ยนเดินมายังโต๊ะที่อยู่ตรงประตูใหญ่ และหยุดยืนอยู่ด้านหน้าเฉินตง
ทว่ารอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเจ้าบ้านเจิ้งก็หายไปเป็นปลิดทิ้งด้วยเมื่อหันไปมองเจิ้งจุนหลิน
“ลูกเนรคุณ!”
จู่ๆ เจ้าบ้านเจิ้งก็กัดฟันและต่อว่าเจิ้งจุนหลิน “งานเลี้ยงวันเกิดของพ่อแกแท้ๆ แกไม่ใช้ฐานะคุณชายใหญ่ของตัวเองไปต้อนรับแขกในงานก็แย่แล้ว แต่นี่ยังไม่ยอมไปนั่งร่วมโต๊ะกับพ่อตัวเอง กลับมานั่งอยู่โต๊ะติดประตูแบบนี้อีก แกอยากทำให้ฉันปวดหัวใช่ไหม ได้ๆๆ ตอนนี้ในฐานะที่ฉันเป็นพ่อจะขอมาดื่มคารวะแกสักหน่อย!”
คำพูดประโยคนี้ทำให้บรรยากาศบนโต๊ะเย็นยะเยือก
แขกคนอื่นๆ เกิดความหวาดหวั่นรู้สึกราวนั่งไม่ติดเก้าอี้
ส่วนพวกของเจิ้งจุนเซี่ยนกลับยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มยินดีที่เห็นคนเดือดร้อน
เจิ้งจุนหลินตัวสั่นระริก จู่ๆ ความโกรธบนใบหน้าของเขาพลันหายไป
แต่กลับนั่งเอนกายสบายๆ อยู่บนเก้าอี้ “ผมพอใจที่จะนั่งเป็นเพื่อนกับเพื่อนผม”
“เพื่อน?”
เจ้าบ้านเจิ้งขมวดคิ้วแน่น แล้วมองไปที่เฉินตง ท่านหลงและคุนหลุน
ในตอนนั้นเอง
เจิ้งจุนเซี่ยนพลันเอ่ยออกมาอย่างนอบน้อมว่า “ท่านเจ้าบ้าน เป็นความผิดของผมเอง คนต่างถิ่นทั้งสามคนนี้เป็นเพื่อนกับจุนหลิน เมื่อครู่นี้คิดอยากจะนั่งกับจุนหลินที่โต๊ะวีไอพี จุนเซี่ยนรู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้ออกจะไร้มารยาทเกินไป จึงเชิญคนต่างถิ่นทั้งสามคนนี้มานั่งตรงนี้ จุนหลินไม่พอใจขึ้นมาก็เลยออกมานั่งร่วมโต๊ะกับพวกเขาตรงนี้”
“ไร้สาระ!”
ปัง!
เจิ้งจุนหลินโกรธจัดจนใช้ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะ “เพื่อนผมนั่งโต๊ะวีไอพีด้วยมันไร้มารยาทตรงไหน เป็นเพราะผมไม่พอใจหรือว่าพวกแกที่พยายามรังแกเพื่อนของฉันกันแน่”
เพี๊ยะ!
เจ้าบ้านเจิ้งตบหน้าเจิ้งจุนหลิน
“แกมันลูกเนรคุณ แกทำแบบนี้ในงานเพราะต้องการจะทำลายงานวันเกิดของฉันใช่ไหม”
“พ่อ……”
ตอนนั้นเจิ้งจุนหลินอึดอัดใจอย่างถึงที่สุด เขาเอามือกุมใบหน้าอย่างโกรธแค้น
“เฮ้อ……”
เฉินตงถอนหายใจออกมาแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เขากดไหล่ของเจิ้งจุนหลินเอาไว้ “นายมันบ้าบิ่นเกินไป”
เหตุการณ์เมื่อครู่นี้ หากเจิ้งจุนหลินใจเย็นสักหน่อย ทำตัวนอบน้อมต่อหน้าเจ้าบ้านเจิ้งก็คงจะไม่เกิดเรื่องวุ่นวายถึงขั้นยากจะแก้ไขภายในชั่วเวลาพริบตาเดียวแบบนี้
ถึงอย่างไรก็เป็นพ่อลูกกัน เจ้าบ้านเจิ้งคงจะปกป้องเขาบ้าง
เพราะความบุ่มบ่ามใจร้อนของเจิ้งจุนหลินแท้ๆ ที่เอาความลำเอียงของเจ้าบ้านเจิ้งมาจุกอยู่ที่อก
“ฉัน…”
เจิ้งจุนหลินอ้าปากเตรียมจะตอบโต้
แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรออกไป
เจิ้งจุนเซี่ยนพลันก้าวออกมาด้านหน้า แล้วปัดมือของเฉินตงที่วางอยู่บนไหล่เจิ้งจุนหลินออก
จากนั้นเขาจึงหันไปจ้องหน้างเฉินตงอย่างเอาเรื่อง
แล้วเอ่ยเสียงแข็งว่า “พวกแกสามคนเป็นสุนัขต่างถิ่น คบกับจุนหลินเพื่อเป็นเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวกับเขาก็เท่านั้น คิดว่าพวกแกมีสิทธิ์ที่จะสอดปากเข้ามาพูดเรื่องนี้งั้นหรือ”
“เจ้าบ้านของพวกเราจะสั่งสอนลูกบ้าง มันเกี่ยวอะไรกับพวกแก ถ้าไม่ถือว่าพวกแกเป็นแขกของเจ้าบ้าน สุนัขต่างถิ่นอย่างพวกแกคงโดนลากตัวออกไปนานแล้ว ฉันขอเตือนให้พวกแกเจียมตัวหน่อย หัดสำนึกบุญคุณของคนอื่นเสียบ้าง!”
และตอนนั้นเอง
มือถือของเจ้าบ้านเจิ้งที่กำลังโกรธจัดส่งเสียงดังขึ้น
เขาหยิบมือถือออกมาด้วยอาการมึนเมา แต่เมื่อเห็นเบอร์มือถือท่าทางของเขาก็สำรวมขึ้นทันทีและรีบรับโทรศัพท์