ในขณะที่เฉินตงกำลังมุ่งหน้าไปยังบ้านของกู้ชิงหยิ่ง
ข่าวการจี้เครื่องบิน กำลังเข้ายึดครองพื้นที่สื่อหลักอย่างรวดเร็ว
หลังจากเครื่องบินลงจอด เทียนอ้าย ซึ่งอยู่ในฐานะ “ผู้ช่วยให้รอด” ของเหตุการณ์นี้ ก็กลายเป็นจุดสนใจในการรายงานข่าวทันที
ภายในห้องนั่งเล่นที่กว้างขวาง
กู้ชิงหยิ่งกำลังนั่งเหม่อลอย และกดรีโมทคอนโทรลเพื่อเปลี่ยนช่องโทรทัศน์
กู้โก๋ฮั๋วและหลี่หวั่นชิงเดินออกมาจากห้องครัว และถือผลไม้ที่หั่นเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามาในห้องรับแขก
เมื่อเห็นท่าทีเหม่อลอย ไร้ชีวิตชีวาของกู้ชิงหยิ่ง สองสามีภรรยาก็รู้สึกสงสารจับใจ และในขณะเดียวกันก็ก่นด่าสาปแช่งเฉินตงเสียยกใหญ่
โดยเฉพาะกู้โก๋ฮั๋ว ที่แววตาเต็มไปด้วยความโกรธเคือง
กู้ชิงหยิ่งเปรียบเสมือนไข่มุกเม็ดงามในมือของเขา ตั้งแต่เล็กจนโตคอยประคบประหงมไว้ในฝ่ามือ ด้วยกลัวว่าจะหล่นแตก กลืนกินเอาไว้ในปาก ด้วยกลัวว่าจะหายไป
เพื่อเฉินตงแล้ว ตลอดระยะเวลาสามปีภายหลังจบการศึกษา ก็ได้ปฏิเสธคู่ดูตัวที่เหมือนเทพบุตรจากสวรรค์ ที่เขาหามาให้ทั้งหมด
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงที่เฉินตงสิ้นเนื้อประดาตัว ก็กลับไปอยู่ข้างกายเฉินตงโดยไม่ลังเล
ฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามมาตลอดทาง แต่ตอนที่ลูกสาวของเขาท้อง เฉินตงกลับนอกใจ ?
กู๋โก๋ฮั๋วไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ลูกสาวสุดที่รักของเขา จะต้องมาเจอกับฝันร้ายเช่นนี้
ในสายตาของเขา ต่อให้เฉินตงจะเป็นผู้สืบทอดมรดกตระกูลเฉิน จะเป็นลูกชายแท้ๆ ของเจ้าบ้านตระกูลเฉิน แต่เรื่องนี้ เฉินตงก็ยังคงเป็นเหมือนสัตว์เดรัจฉานอยู่ดี !
หลายวันมานี้ กู้ชิงหยิ่งมีภาวะซึมเศร้าและร่างกายซูบผอม อีกทั้งยังต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการแพ้ท้อง กู้โก๋ฮั๋วเมื่อเห็น ก็รู้สึกปวดใจยิ่งนัก
หากไม่ใช่เพราะหลี่หวั่นชิงคอยห้ามปรามเอาไว้หลายครั้ง เขาถึงขั้นมีความคิดที่จะบินไปหาเฉินตงเพื่อจัดการกับเขาสักครั้ง
“ลูกรัก แม่เพิ่งปอกผลไม้เสร็จ ทานสักหน่อยเถอะนะ”
กู้โก๋ฮั๋วแสร้งทำสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วยื่นจานผลไม้ไปตรงหน้าของกู้ชิงหยิ่ง
“ไม่อยากกินค่ะ โธ่ พ่อคะ อย่ามารบกวนเวลาดูโทรทัศน์ของหนูได้ไหมคะ”
กู้ชิงหยิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางบ่นพึมพำ
กู้โก๋ฮั๋วย้ายไปอยู่อีกด้านหนึ่งด้วยความโมโห จากนั้นจึงนั่งลง มองดูโทรทัศน์ที่เปลี่ยนช่องไม่หยุด และรู้สึกจนใจ
หลี่หวั่นชิงโอบกู้ชิงหยิ่ง แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า : “เสี่ยวหยิ่ง คืนนี้พ่อกับแม่ต้องไปร่วมงานเลี้ยงส่วนตัว ลูกไปกับพวกเราด้วยดีไหม ? ถือว่าออกไปผ่อนคลายอารมณ์”
กู้ชิงหยิ่งขมวดคิ้ว ส่ายหัวแล้วพูดว่า : “หนูไม่ไปค่ะ คนที่ร่วมทำธุรกิจกับพ่อแม่พวกนั้น หนูไม่อยากเจอ”
“ไม่ใช่คนที่ร่วมทำธุรกิจ แต่เป็นงานเลี้ยงภายในตระกูล”
หลี่หวั่นชิงยิ้มแล้วพูดอธิบาย : “ลูกยังจำเทียนอ้ายได้ไหม ? ตอนเด็กๆ เป็นเพื่อนสนิทกับเขาไม่ใช่หรือ ?”
“เทียนอ้าย ?”
แววตาที่มืดมนของกู้ชิงหยิ่ง เริ่มมีประกายขึ้นมาเล็กน้อย เธอบ่นพึมพำออกมา : “ไม่ได้ติดต่อกันหลายปีแล้ว ตอนนั้นเธอพูดทิ้งท้ายไว้ว่าจะไปตามหาความฝัน จากนั้นก็ไม่ติดต่อกับหนูอีกเลย”
“ฮ่าฮ่า เด็กคนนั้นก็มีนิสัยแบบนั้น ไม่ชอบแต่งกายสวยงามแต่ชอบอยู่ในเครื่องแบบ แต่ตอนนี้ดีแล้ว วันนี้เธอกลับมา ได้ยินคุณลุงกับคุณป้าพูดว่า ในที่สุดก็ดูเหมือนว่าตอนนี้เด็กคนนั้นจะทำตามความฝันสำเร็จแล้ว”
หลี่หวั่นชิงพูดด้วยรอยยิ้ม : “ดูเหมือนว่าจะได้เป็นตำรวจสากลแล้ว กลับมาครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสเหมาะที่ลูกทั้งสองจะได้พบหน้ากัน ตอนนั้นที่ลูกแต่งงาน เด็กคนนั้นก็ไม่มีเวลาว่างมาร่วมงาน”
เมื่อได้ยินคำว่า “แต่งงาน” สองคำ
จู่ๆ สีหน้าของกู้ชิงหยิ่งก็มืดมนลง ประกายที่ปรากฏขึ้นมาในแววตาก็สูญหายไปอีกครั้ง
ภาพนี้ ปรากฏขึ้นในสายตาของหลี่หวั่นชิงและกู้โก๋ฮั๋ว
ทั้งสองรู้สึกกังวลใจขึ้นมาทันที กู้โก๋ฮั๋วรีบผลักไหล่ของหลี่หวั่นชิง เพื่อส่งสัญญาณว่าเธอพูดผิดไปแล้ว
หลี่หวั่นชิงมองดูท่าทางของกู้ชิงหยิ่ง ก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกทันที ไม่รู้ว่าควรแก้ไขสถานการณ์อย่างไร
ยังดีที่กู้โก๋ฮั๋วมีการตอบสนองที่เร็ว จึงได้รับรีโมทคอนโทรลที่อยู่ในมือของกู้ชิงหยิ่งมา
“โธ่ ลูกสาวสุดที่รัก ลูกเลิกเปลี่ยนช่องได้แล้ว พ่อดูจนตาลายไปหมดแล้ว”
ประจวบเหมาะที่ช่องโทรทัศน์ไปหยุดอยู่ที่สถานีข่าวท้องถิ่น
อีกทั้งการรายงานข่าว ก็นำเสนอเกี่ยวกับเหตุการณ์จี้เครื่องบินพอดี หลังจากเทียนอ้ายลงจากเครื่องบิน ก็ถูกสื่อมวลชนมากมายห้อมล้อมเข้าสัมภาษณ์
“เฮ้ย !” กู้โก๋ฮั๋วโพล่งคำอุทานออกมา
เขาขยี้ตาราวกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น : “ที่รัก ลูกรัก รีบดูเร็วเข้า นี่ใช่เทียนอ้ายหรือไม่ ?”
กู้ชิงหยิ่งกับหลี่หวั่นชิงหันมองหน้าจอโทรทัศน์
สองแม่ลูกนิ่งอึ้งไปพร้อมกัน
ถึงแม้กู้ชิงหยิ่งจะไม่ได้พบหน้าเทียนอ้ายมาหลายปี แต่เธอยังคงรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาจากใบหน้าที่ปรากฏให้เห็นได้
“ใช่จริงด้วย !” หลี่หวั่นชิงพยักหน้า และพูดออกมาด้วยไปหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ : “เหตุการณ์จี้เครื่องบิน ? ให้ตายเถอะ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เทียนอ้ายสามารถจัดการได้ด้วยตัวคนเดียวอย่างนั้นหรือ ?”
“เด็กคนนี้ เพิ่งจะกลับมาก็กลายเป็นฮีโร่ไปเสียแล้ว !” กู้โก๋ฮั๋วอุทานออกมา
สองสามีภรรยารีบหันไปดูข่าวด้วยความสนใจทันที
ทั้งสองคนไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่า กู้ชิงหยิ่งเองก็กำลังจ้องหน้าจอโทรทัศน์อย่างตั้งใจเช่นเดียวกัน
เพียงแต่สิ่งที่เธอให้ความสนใจนั้น แตกต่างออกไปจากพวกกู้โก๋ฮั๋ว สายตาของกู้ชิงหยิ่งเอาแต่จับจ้องอยู่ตรงมุมของหน้าจอโทรทัศน์ ตรงนั้นเป็นบันไดที่ใช้ลงจากเครื่องบิน
ผู้โดยสารแต่ละคนค่อยๆ เดินลงมาจากบันได และในฝูงชนก็มีร่างร่างหนึ่งที่ดูคุ้นเคยปะปนอยู่ด้วย กู้ชิงหยิ่งรู้สึกราวกับมีค้อนหนักๆ ทุบเข้าที่ดวงตาของเธออย่างแรง
เขา……มาแล้วหรือ ?
กู้ชิงหยิ่งจ้องหน้าจอโทรทัศน์ตาเขม็ง ตอนนี้หัวใจของเธอเต้นแรงและเร็ว
ในขณะที่กำลังตั้งตารอคอยด้วยความประหลาดใจ แต่กลับมีความโกรธผุดขึ้นมาในเวลาเดียวกัน
เขา เขายังมีหน้ามาอีกหรือ ?
เมื่อมองดูร่างที่ปะปนมากับฝูงชน ค่อยๆ เดินลงจากบันได และท้ายที่สุดก็หายลับตาไป
จู่ๆ ความรู้สึกของกู้ชิงหยิ่งก็เกิดความซับซ้อนขึ้นทันที
มือทั้งของข้างของเธอกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว
จู่ๆ เธอก็พูดขึ้นมาว่า : “พ่อคะ แม่คะ คืนนี้หนูจะไปด้วยนะคะ ไม่ได้เจอเทียนอ้ายมาหลายปีแล้ว”
“จริงหรือ ?”
กู้โก๋ฮั๋วหันมองกู้ชิงหยิ่งด้วยความประหลาดใจ
“ดี ดี วันนี้จะได้พูดคุยกับเทียนอ้าย เด็กคนนี้เพิ่งจะกลับมาก็กลายเป็นฮีโร่ไปเสียแล้ว ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ”
หลี่หวั่นชิงเองก็ยิ้มพร้อมตบไหล่กู้ชิงหยิ่ง
กลับมาตั้งหลายวันแล้ว แต่กู้ชิงหยิ่งเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง สิ่งนี้ทำให้กู้โก๋ฮั๋วสองสามีภรรยารู้สึกทุกข์ใจเป็นอย่างมาก
ตอนนี้กู้ชิงหยิ่งอยากจะออกไปเปิดหูเปิดตา ทำให้สองสามีภรรยารู้สึกสบายใจขึ้นมาก
หากคนเรามัวแต่กักขังตัวเอง สุดท้ายจะต้องเกิดปัญหาขึ้นอย่างแน่นอน
ออกไปเปิดหูเปิดตา ผ่อนคลายความเครียด เชื่อว่าอารมณ์ของลูกสาวน่าจะดีขึ้นไม่น้อย
“ไปกันเถอะค่ะ พวกเรารีบไปกันเดี๋ยวนี้ นี่ถือเป็นเรื่องน่ายินดีของเทียนอ้าย พวกเราจะต้องเตรียมของขวัญไปสักหน่อย”
กู้ชิงหยิ่งยิ้ม พลางลุกขึ้นและพูดออกมา
กู้โก๋ฮั๋วและหลี่หวั่นชิงรู้สึกสบายใจขึ้นมาไม่น้อย จากนั้นจึงตอบรับด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสามคนเตรียมตัวเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว และขับรถมุ่งหน้าไปยังบ้านของเทียนอ้าย
……
“นี่คือบ้านของเสี่ยวหยิ่งหรือ ?”
หลังจากเฉินตงออกจากสนามบิน ก็นั่งรถมาเป็นเวลาสองชั่วโมง จึงในที่สุดก็มาถึงบ้านของกู้ชิงหยิ่ง
หากจะพูดว่าเป็นบ้าน ไม่สู้พูดว่าเป็นคฤหาสน์ปราสาทจะดีกว่า
ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า บ้านของกู้ชิงหยิ่งนั้นร่ำรวยขนาดไหน
ถึงแม้ในตอนแรกที่เขาและหวางหนันหนันหย่าร้างกัน และใช้ชีวิตร่วมกับกู้ชิงหยิ่ง เขาก็ยังไม่เคยเดินทางมาที่บ้านของกู้ชิงหยิ่งด้วยตัวเองมาก่อน
ถึงแม้ตอนนี้เฉินตงจะประสบความสำเร็จอย่างมากแล้วก็ตาม แต่ครั้งแรกที่มาบ้านของกู้ชิงหยิ่ง เขาก็ยังรู้สึกตกใจไม่น้อย
เมื่อมองตรงไปยังคฤหาสน์ปราสาท ก็พบว่ามีขนาดที่ใหญ่กว่าวิลล่าเขาเทียนซานเป็นอย่างมาก
ภายในคฤหาสน์มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยลาดตระเวนอยู่ และมีระบบรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมเป็นอย่างมาก
จู่ๆเสียงข้อความในโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
เขาหยุดเดิน แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู
ทันใดนั้น ม่านตาของเขาก็หดลงทันที ใจของเขาเต้นระส่ำ
เป็นข้อความที่ส่งมาจากกู้ชิงหยิ่ง
มีเนื้อหาว่า : คุณไปซะเถอะ ฉันไม่อยากพบคุณ