ย่านไชน่าทาวน์
บรรยากาศคึกคัก ผู้คนพลุกพล่าน
ในอีกซีกโลกหนึ่ง ทุกเมืองล้วนมีไชน่าทาวน์หนึ่งแห่ง
เป็นที่สำหรับคนที่จากบ้านมาไกล จะได้รำลึกถึงบ้านเกิดและปลดปล่อยความรู้สึกออกมา
ลัมโบร์กีนีขับอยู่บนถนนส่งเสียงดังสนั่น ทำให้เป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้ที่พบเห็น
เอี๊ยด !
ในที่สุด ลัมโบร์กีนีก็มาจอดอยู่ที่ด้านหน้า “สมาคมซานเหอ”
เป็นสมาคมที่ยิ่งใหญ่ ตั้งอยู่ในไชน่าทาวน์ เด่นตระหง่านอยู่ท่ามกลางฝูงชน และมีบรรยากาศที่เคร่งขรึม
เมื่อเปรียบเทียบกับถนนที่มีชีวิตชีวาและผู้คนพลุกพล่าน ดูเหมือนสมาคมจะดูเงียบเหงาและรกร้างกว่าไม่น้อย
ซุ้มประตูขนาดใหญ่ มีตัวอักษรคำว่า “สมาคมซานเหอ” เขียนเอาไว้ และมีภาพวาดเหล็กรูปมังกรกับนกฟีนิกซ์แขวนประดับตกแต่งอยู่
ชายคาประดับด้วยอิฐแขวนสีเขียว ตามแบบฉบับโบราณ
ภายใต้บรรยากาศที่มีฝนตกปรอยๆ แผ่นกระเบื้องดินสีน้ำเงินที่มีตะไคร่เกาะอยู่เล็กน้อย เผยให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงและความโบราณ
ตรงมุมมีถังน้ำวางอยู่ ในถังน้ำมีดอกบัวปลูกไว้ เมื่อมีฝนตกโปรยปรายลงมา ทำให้ภาพของดอกบัวช่างดูงดงามเป็นอย่างมาก
เทียนอ้ายลงจากรถ แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปใน “สมาคมซานเหอ”
“สถานที่ส่วนบุคคล ห้ามคนนอกเข้า !”
มีเสียงหนึ่งดังขึ้นด้วยความโกรธ ทำให้เทียนอ้ายหยุดฝีเท้าลงทันที
ดวงตาคู่งามของเธอเป็นประกาย แล้วหันมองตามเสียงนั้นไป
คนหนุ่มสี่คนที่แต่งกายด้วยเสื้อคอจีน กำลังเดินตรงเข้ามาหาเธอด้วยท่าทีเคร่งขรึม
“ฉันเพียงแค่เข้ามาดูเท่านั้น” เทียนอ้ายยิ้มเล็กน้อย “ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นคนบ้านเดียวกัน ทำไมจะต้องเข้มงวดขนาดนี้ด้วย ? ฉันเองก็ไม่ใช่ขโมยสักหน่อย”
“สถานที่ส่วนบุคคล ถ้าเธอยังไม่รีบออกไปอีกล่ะก็ อย่าหาว่าพวกเราเสียมารยาทก็แล้วกัน”
เด็กหนุ่มที่เป็นหัวหน้าพูดอย่างจริงจัง ไม่เหลือโอกาสให้เทียนอ้ายยืดเยื้อได้ต่อ
เทียนอ้ายยักไหล่ แล้วทำทีท่าไม่สนใจ จากนั้นจึงหันหลังเดินจากไป
หลังจากกลับเข้าไปในลัมโบร์กีนี เธอขยี้ผมของตัวเองด้วยความหงุดหงิด แล้วบ่นพึมพำ
“องค์กรใหญ่ของหงหุ้ยก็คือองค์กรใหญ่ของหงหุ้ย จะพูดว่าเป็นที่ส่วนบุคคลอะไรกัน ?”
หลังจากสตาร์ทรถ ลัมโบร์กีนีก็แล่นไปจนสุดถนน
ด้วยสถานะที่พิเศษของเทียนอ้าย หากต้องการให้องค์กรช่วยตรวจสอบจริงๆ ว่าองค์กรใหญ่ของหงหุ้ยอยู่ที่ไหน ก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายเหมือนพลิกฝ่ามือ
แต่ตอนนี้แม้แต่ประตูก็ยังเข้าไปไม่ได้ หากต้องการสืบหาความจริง คงจะเป็นเรื่องที่ยากพอดู !
เมื่อเห็นลัมโบร์กีนีแล่นออกไปไกล ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้าก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า : “ให้สองคนคอยยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก ช่วงนี้ในสมาคมของเรามีแขกคนสำคัญที่เราช่วยขึ้นมาจากทะเล จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด หากไม่ใช่คนของหงหุ้ย ห้ามเข้าไปในสมาคมซานเหอ และสมาชิกรุ่นเยาว์ทั้งหมด ห้ามเข้าไปในตงหย่วน”
“เข้าใจแล้วครับ”
ชายหนุ่มกำชับอีกครั้ง แต่จงใจลดเสียงให้เบาลง
“อย่าหาว่าฉันไม่เตือนพวกนาย ฉันได้ข่าวมาเล็กน้อย แขกคนสำคัญที่ถูกช่วยขึ้นมานั้น แม้แต่ท่านเย่และหลงโถวยังต้องให้ความเคารพ ช่วงนี้ท่านเย่ให้หงกุ้นเย่หลิงหลงเป็นคนดูแลแขกพิเศษท่านนั้น หากทำอะไรที่เป็นการรบกวนไปถึงแขกคนสำคัญท่านนั้น พวกนายน่าจะรู้ผลที่จะตามมาดีใช่ไหม”
เมื่อได้ยินดังนั้น
อีกสามคนที่เหลือก็รู้สึกตกใจ และมีท่าทีที่เคร่งขรึมลง
ภายในตงหย่วน สมาคมซานเหอ
พรวด……
เย่หลิงหลงเทน้ำเรียบร้อยแล้ว ก็เดินกลับมาที่ห้อง
ผลักเปิดประตูห้องที่ปิดสนิทอยู่ แล้วหันมองเฉินตงที่นอนอยู่บนเตียง
ใบหน้าอันงดงามของเธอ ปรากฏสีหน้าของความเป็นห่วงเป็นใยขึ้นมา
“ตอนที่พวกเราจากกัน คุณยังไม่ได้มีสภาพเช่นนี้ นี่เพิ่งจะผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ทำไมคุณถึงต้องทรมานตัวเองจนกลายเป็นแบบนี้ด้วย บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกล เพื่อมาหาเธอ น่าอิจฉาภรรยาของคุณจริงๆ คุณปู่พูดถูกต้อง เรื่องของพรหมลิขิต ช้าหรือเร็วไปเพียงวินาทีเดียวก็ไม่ได้ ต้องโทษที่ฉันไม่อาจเข้ามาในเวลาที่เหมาะสมได้”
ขณะที่พูด เย่หลิงหลงมีท่าทีโทษตัวเองและรู้สึกผิด
“และต้องโทษฉัน ที่ทำให้คุณต้องเดินทางมาไกลและต้องพบกับอันตรายเช่นนี้”
ด้วยความสามารถของหงหุ้ย หากต้องการสืบหาจุดประสงค์ในการเดินทางของเฉินตงในครั้งนี้ ถือว่าไม่ใช่เรื่องยาก
ยิ่งไปกว่านั้น เย่หยวนชิวและเย่หลิงหลงเองก็รู้แก่ใจดีว่า เฉินตงกับกู้ชิงหยิ่งเข้าใจผิดกันด้วยเรื่องใด
แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายของสองปู่หลานก็คือ พวกเขาฟังคำขู่ของเขาคนนั้นและยอมเดินทางกลับมายังอีกซีกโลกหนึ่งแล้ว
แต่ไม่ช้า เฉินตงกลับตามมาติดๆ
มิหนำซ้ำยังกลายมามีสภาพอย่างเช่นตอนนี้อีก
เดิมที เธอตั้งใจที่จะติดต่อกู้ชิงหลินให้มารับเขา
แต่คุณปู่และหลงโถวห้ามเอาไว้
การลอบสังหารนี้ไม่ปกติ หากส่งตัวเฉินตงไปที่ตระกูลกู้อย่างง่ายดาย เกรงว่าจะเกิดการลอบสังหารอีกครั้งหนึ่งขึ้น ถึงขั้นอาจทำให้ตระกูลกู้ต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย
เย่หลิงหลงค่อยๆ เดินเข้าไปที่เตียง มองดูเครื่องมือการรักษาที่วางอยู่รอบๆ แล้วถอนหายใจออกมา
หลังจากนั่งลงข้างๆ เฉินตง เธอก็มองดูใบหน้าของเฉินตงแล้วเหม่อลอยไป
ภายในเขตวิลล่าเขาเทียนซาน ตอนนี้เป็นเวลาใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว
“อะไรนะ ? !”
ท่านหลงที่กำลังง่วงนอน กระโดดโหยงขึ้นจากเตียงทันที ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ : “คุณชายของฉัน……ใครเป็นคนทำ ? เป็นฝีมือของใครกันแน่ ?”
นิ่งเงียบไปสักพัก
ใบหน้าของท่านหลงก็แสดงความโกรธแค้นออกมา
เขาผู้ซึ่งปกติแล้วนิ่งสงบดั่งขุนเขา และเยือกเย็นดั่งสายน้ำ บัดนี้กลับมีใบหน้าที่ดุร้ายราวกับสัตว์ป่าที่กำลังโกรธจัดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ไม่ต้องติดต่อนายท่านของเรา เรื่องนี้ผมจะจัดการด้วยตัวเอง !”
ตู้ด !
วางสายโทรศัพท์
ใบหน้าของท่านหลงดุร้ายอย่างมาก ดวงตาของเขาส่องประกายความอำมหิตออกมา
ในขณะที่เขากำลังกัดกระพุ้งแก้มอย่างแรง มือขวาของเขาก็บีบโทรศัพท์จนเกิดเสียงดังกรอบแกรบขึ้น
“หานายท่าน ? ตอนนี้ฉันติดต่อกับนายท่านไม่ได้ ! ตอนนี้คุณชายมาเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก……เป็นความผิดของฉันจริงๆ !”
แววตาของท่านหลงสั่นคลอน และรู้สึกโทษตัวเอง
เป็นเวลาที่ประจวบเหมาะพอดี
ฟ่านลู่ที่เพิ่งกลับจากโรงพยาบาลเดินเข้ามา และเห็นท่าทีของท่านหลง
เธอรู้สึกสงสัยในทันที : “ท่านหลง เกิดเรื่องอะไรขึ้น ?”
ท่านหลงพูดด้วยท่าทีเคร่งขรึม : “ฟ่านลู่ ทุกอย่างทางนี้ฝากเธอด้วยนะ ฉันมีเรื่องด่วนอย่างมากที่ต้องออกไปจัดการ”
พูดจบ เขาก็ทิ้งฟ่านลู่ให้อยู่กับความสงสัย แล้วเดินขึ้นไปเก็บสัมภาระด้านบน
ผ่านไปสิบนาที
ท่านหลงก็ออกจากวิลล่าเขาเทียนซาน
ส่วนอีกทางด้านหนึ่ง
ในสมาคมซานเหอ
เย่หลิงหลงยังคงนั่งเหม่อลอยอยู่
ภาพที่เห็น เหมือนใบหน้าของเฉินตง เข้ามาประทับอยู่ในดวงตาของเธอ
บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัด มีเพียงเสียงตี๊ดๆๆ ของอุปกรณ์ในการรักษาดังขึ้นเบาๆ เท่านั้น
พักใหญ่
“เมื่อไหร่คุณจะลืมตามามองฉันได้สักที ?”
ในขณะที่เย่หลิงหลงกำลังเหม่อเลย จู่ๆ ก็พูดออกมาหนึ่งประโยค
เมื่อพูดคำพูดนี้ออกไป แม้แต่ตัวเธอเองก็ตกตะลึง
เย่หลิงหลงตบหน้าตัวเองด้วยความรู้สึกทั้งอับอายและโกรธ จากนั้นจึงกล่าวโทษตัวเอง : “สวรรค์ เย่หลิงหลง เธอพูดบ้าอะไรออกมาเนี่ย ? เขาแต่งงานแล้วนะ หรือเธอเป็นคนไร้ยางอาย ?”
ขณะที่พูด เย่หลิงหลงก็รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัว
เธอรีบลุกขึ้นแล้วเดินออกไปด้านนอก : “ตื่นได้แล้ว เย่หลิงหลง เธอควรรู้ตัวสักที ไปอาบน้ำเย็นๆ สักครั้ง ใช่แล้ว ไปอาน้ำเย็นๆ สักครั้งน่าจะทำให้ฉันรู้สึกตัวขึ้นได้”
ส่วนบนเตียงผู้ป่วย
ดวงตาของเฉินตงขยับเล็กน้อย
ขณะที่เย่หลิงหลงเหม่อลอยไปเมื่อครู่ อันที่จริงตัวเขาเองรู้สึกตัวขึ้นมาแล้ว
เพียงแต่ร่างกายอ่อนแออย่างมาก ทำให้เขาไม่อาจแสดงท่าทีให้คนอื่นสังเกตเห็นได้ว่าเขาฟื้นแล้ว
“เฮ้อ……”
ได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของเย่หลิงหลง ทำให้เฉินตงถอนใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้
เย่หลิงหลงเดินออกจากห้องไป ก็ตรงไปยังก๊อกน้ำ จากนั้นก็สาดน้ำใส่หน้าของตนเองสองสามครั้ง แต่ความคิดที่สับสนวุ่นวายก็ยังไม่เลือนหายไป
“คงต้องอาบน้ำเย็นสักครั้งแล้วจริงๆ ใช่ไหม ?”
เย่หลิงหลงลังเล แล้วค่อยๆ ตบหน้าตัวเองเบาๆ
ในเวลาเดียวกันนี้
ด้านนอกสมาคมซานเหอ
หลังจากเทียนอ้ายออกจากไชน่าทาวน์ เธอก็ขับลัมโบร์กีนีไปจอดในลานจอดรถใกล้ๆ จากนั้นจึงเดินกลับเข้าไปในไชน่าทาวน์ด้วยตัวเอง แล้วอ้อมไปทางด้านข้างของสมาคมซานเหอ
เธอยืนมองกำแพงที่สูงตระหง่าน
เทียนอ้ายยิ้มออกมาอย่างภูมิใจ : “กำแพงเตี้ยแค่นี้ คิดจะขวางฉันหรือ ? เข้าทางประตูใหญ่ไม่ได้ แล้วคิดว่าฉันจะปีนกำแพงเข้าไปไม่ได้หรืออย่างไร ?”