“เฮ้อ……อันตรายจริงๆ”
เทียนอ้ายกลับเข้าไปนั่งในลัมโบร์กีนี เธอหายใจเหนื่อยหอบและตบหน้าอกตัวเอง : “ยังดีที่ฉันมีไหวพริบ”
เพียงแต่ หลังจากเธอตบโดนตำแหน่งที่ถูกเย่หลิงหลงชกมาเมื่อครู่ ก็รู้สึกเจ็บจนหน้าถอดสีทันที จึงรีบสูดหายใจเข้า แล้วก่นด่าออกมาด้วยความโกรธหนึ่งประโยค : “ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนดีจริงๆ”
เพียงแต่เมื่อก้มหน้าลงมอง เทียนอ้านก็รู้สึกลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็ยกมือขึ้นหนึ่งข้างมาวางอีกด้านหนึ่ง
หรือว่า……
“เฮ้อ เทียนอ้าย เธอกำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย ?”
เทียนอ้ายส่ายหัวอย่างแรง แล้วระงับความกล้าหาญที่อยู่ในใจ
สตาร์ทรถ ลัมโบร์กีนีแล่นออกจากไชน่าทาวน์อย่างรวดเร็วปานสายฟ้า
หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครตามมา เทียนอ้ายจึงลดระดับความเร็วให้ช้าลง
ขมวดคิ้วแล้วพูดออกมาอย่างครุ่นคิด : “คิดจะสืบหาความจริงว่าคืนนั้นหงหุ้ยงมอะไรขึ้นมาจากทะเลกันแน่ ช่างเป็นเรื่องยากจริงๆ แต่ถ้าหากไม่สืบหาจากเบาะแสนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะหาเฉินตงไม่พบก็ได้ ?”
ก่อนที่จะไป สิ่งที่เธอบอกกู้โก๋ฮั๋วและหลี่หวั่นชิง เป็นเพียงคำพูดปลอบใจเท่านั้น
ด้านหนึ่งก็ต้องการปลอบใจผู้ใหญ่ทั้งสอง ส่วนอีกด้านหนึ่งก็อยากปลอบใจกู้ชิงหยิ่ง
การที่จะลอบสังหารในระดับนี้ได้ เห็นได้ชัดว่าต้องมีอิทธิพลอย่างมาก
แม้แต่เทียนอ้ายเองก็ไม่กล้ารับประกันว่า ตอนนี้เฉินตงยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้วกันแน่
ถ้าหากไม่รีบหาเฉินตงให้พบ ต่อให้ตอนนี้เฉินตงยังปลอดภัยดี แต่เมื่อเวลาผ่านไป โอกาสรอดก็จะน้อยลง
ยิ่งไปกว่านั้น ยังเกี่ยวพันถึงสุขภาพร่างกายของกู้ชิงหยิ่งอีก
เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้ เทียนอ้ายก็รู้สึกคิดไม่ตก และดึงผมของตัวเองด้วยความหงุดหงิด
“ประสบการณ์ที่สั่งสมมาหลายปี ทำไมถึงใช้กับเรื่องนี้ไม่ได้เลยนะ ?”
อีกทางด้านหนึ่ง
สนามบินแถบชานเมือง
หลังจากที่ท่านหลงถือกระเป๋าเดินทาง และมุ่งหน้าไปที่สนามบินด้วยความเร่งรีบ
เขาก็รีบเดินไปยังช่องทางวีไอพีอย่างรวดเร็ว และเดินเข้าสู่รันเวย์ของสนามบิน
เครื่องบินส่วนตัวจอดรออยู่ตั้งแต่เช้าตรู่
หลังจากท่านหลงขึ้นเครื่อง เครื่องบินก็ทะยานขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว
เมื่อมองดูสนามบินแถบชานเมืองด้านล่าง ที่ค่อยๆ อยู่ห่างออกไป สีหน้าของท่านหลงก็เคร่งขรึม และเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าอย่างรุนแรง
“คุณชาย คุณจะต้องอดทนจะกว่ากระผมจะไปถึงนะครับ !”
ขณะที่พูดอยู่นั้น บรรยากาศภายในเครื่องบิน ราวกับลดต่ำลงจนถึงจุดเยือกแข็ง
แต่ไหนแต่ไรมา ในสายตาของคนอื่น ท่านหลงเป็นคนที่สงบนิ่งเหมือนน้ำ และอบอุ่นเหมือนสายลม
อารมณ์โกรธมักปรากฏออกมาอยู่บ่อยครั้ง
แต่การแสดงเจตนาฆ่าอย่างโจ่งแจ้งอย่างเช่นตอนนี้ ถือว่าเกิดขึ้นน้อยมาก
เรื่องเกี่ยวพันถึงเฉินตง ต่อให้ท่านหลงจะมีจิตใจที่สงบนิ่งแค่ไหน ก็ไม่อาจที่จะควบคุมสติได้
นี่เพิ่งจะกี่วันเอง ?
ก็เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้นกับคุณชายเสียแล้ว
ถ้าหากไม่ใช่เพราะกู้โก๋ฮั๋วติดต่อมา เขาเองก็ยังไม่รู้เรื่อง
ในสายโทรศัพท์ น้ำเสียงของกู้โก๋ฮั๋ว เห็นได้ชัดว่ายากที่จะรับมือกับการหายตัวไปของเฉินตง
มิเช่นนั้น คนที่มีอิทธิพลมากขนาดนั้น คงแสดงน้ำเสียงตื่นตระหนกและเป็นกังวลออกมา
“คนที่แม้แต่กู้โก๋ฮั๋วก็ยังไม่อาจรับมือได้ ฉันอยากจะเห็นจริงๆ เลยว่า แกยังจะมีพิษสงเมื่ออยู่ในกำมือของฉันได้อีกไหม ?”
คำพูดที่เย็นชา ยิ่งทำให้บรรยากาศภายในห้องโดยสารเย็นยะเยือกยิ่งขึ้น
ท่าทางของท่านหลงเปลี่ยนไปอย่างมาก เย็นชา เคร่งขรึม และดุดันยากจะหาที่เปรียบ
ถ้าหากเฉินตงอยู่ด้วยตอนนี้ คงจะต้องรู้สึกตกใจเช่นกัน
ตอนนี้ท่าทางของท่านหลง แม้แต่เฉินตงเอง ก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อน !
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง
หลังจากกู้ชิงหยิ่งฟื้นขึ้นมา ก็กลับนั่งนิ่งอยู่ที่ริมหน้าต่าง
พระจันทร์สว่างไสวจนมองไม่เห็นดวงดาว
ในดวงตาที่บวมแดงของกู้ชิงหยิ่ง มีหยาดน้ำตาเคลื่อนไหวอยู่
เธอค่อยๆ ก้มหน้าลง มือขวาค่อยๆ ลูบท้องที่โตขึ้นทุกวันๆ จากนั้นหยดน้ำตาก็ไหลรินลงมา
เธอจำไม่ได้แล้วว่าช่วงนี้เธอร้องไห้ไปแล้วกี่ครั้ง
ทุกวันจมดิ่งอยู่ในบรรยากาศที่เศร้าหมอง
การ “ทรยศ” ของเฉินตง เป็นเหมือนดาบที่กำลังตีร้อนๆ แทงทะลุเข้าไปในหัวใจของเธออย่างแรง
ท้องที่ค่อยๆ โตขึ้นทุกวันๆ เป็นเหมือนความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงที่เธอต้องแบกรับเอาไว้
ตอนนี้ เฉินตงมาแล้ว แต่เธอยังไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้พบหน้าสักครั้ง ก็เกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน
การถูกโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า ดูราวกับคลื่นที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุด
หากเป็นคนอื่น ก็คงไม่ทนรับได้อีกแล้ว
อันที่จริงแล้ว กู้ชิงหยิ่งมีความคิดที่จะฆ่าตัวตายหลายครั้ง
แต่เมื่อนึกถึงลูกที่อยู่ในท้อง เธอก็ข่มความคิดนั้นเอาไว้
ผู้หญิงนั้นอ่อนแอ แต่แม่นั้นแข็งแกร่ง
นี่คือสิ่งที่น่าจะใช้อธิบายสถานะของกู้ชิงหยิ่งในตอนนี้ได้
“ลูกรัก แม่จะต้องอดทนให้ได้ เพื่อลูก แม่จะต้องยืนหยัดต่อไปให้ได้”
กู้ชิงหยิ่งเงยหน้าขึ้น แล้วมองออกไปยังแสงไฟของบ้านเรื่องที่อยู่ด้านนอกทั้งน้ำตา ริมฝีปากแดงระเรื่อของเธอขยับ และในที่สุดก็ส่งเสียงที่เบาและแหบพร่าออกมา : “ที่รัก คุณอยู่ที่ไหนกันแน่ ?”
ภายในห้องหนังสือ
กู้โก๋ฮั๋วกำลังอ่านข้อมูลในจอคอมพิวเตอร์
ข้อมูลที่ปรากฏอยู่มากมายบนจอ เป็นข้อมูลจากการสืบสวนของหน่วยข่าวกรองของบริษัท ซึ่งส่งมาให้ตลอดเวลา
การจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ตาเขม็ง ทำให้ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเล้นเลือดสีแดง แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ารู้สึกอ่อนล้า
แต่เขาไม่กล้าที่จะหยุดพัก เขาพยายามที่จะหาเบาะแสให้เจอให้ได้
ไม่ใช่เพื่อเฉินตง แต่เพื่อกู้ชิงหยิ่ง
ในฐานะที่เป็นพ่อ ตอนนี้ลูกสาวซีดเซียวจนดูไม่เป็นผู้เป็นคนแล้ว จะให้เขานั่งเฉยอยู่ได้อย่างไร ?”
ประตูเปิดออก
หลี่หวั่นชิงถือชามใส่ซุปโสมเดินเข้ามา
“คุณพักผ่อนสักหน่อยเถอะค่ะ เอาแต่นั่งดูอยู่แบบนี้ หากร่างกายของคุณรับไม่ไหวจะทำอย่างไร ?”
“คุณไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก เพื่อลูกสาวของเราแล้ว ผมต้องทนไหวแน่นอน”
กู้โก๋ฮั๋วจ้องคอมพิวเตอร์ตาเขม็ง โบกมือแล้วพูดว่า : “ตอนนี้เฉินตงไม่รู้ที่อยู่แน่ชัด ถึงแม้เทียนอ้ายจะบอกว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่คุณกับผมต่างก็ฟังออกว่าเป็นเพียงแค่คำปลอบใจ หากไม่รีบหาเฉินตงให้พบแล้วล่ะก็ คุณคิดว่าเสี่ยวหยิ่งจะทนอยู่ต่อไปได้หรือไม่ ?”
“เฮ้อ……”
หลี่หวั่นชิงถอนหายใจ ไม่คิดขัดขวางอีกต่อไป เธอยกถ้วยซุปโสมไปที่ด้านหน้าของกู้โก๋ฮั๋ว : “คุณพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อลูกสาว ฉันพอจะเข้าใจได้ ถ้าหากฉันมีวิธี ฉันเองก็ยินดีที่จะสู้อย่างสุดชีวิตเพื่อลูกสาวเช่นกัน แต่คุณก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีก่อน ดื่มซุปโสมให้หมด แล้วพักผ่อนสักห้านาทีได้ไหมคะ ?”
“ผมไม่ดื่มดีกว่า คุณยกซุปเสริมไปให้ลูกดื่มเถอะ”
กู้โก๋ฮั๋วบีบจมูกด้วยความอ่อนล้า : “ตอนนี้เธอกินไม่ได้นอนไม่หลับ มิหนำซ้ำยังตั้งท้องอีก จึงต้องการการบำรุงมากที่สุด ผมไม่เป็นไร ข่าวพวกนี้ต้องรีบอ่านโดยเร็ว หากหยุดเพียงครู่เดียว ผมเกรงว่าจะพลาดเบาะแสสำคัญ”
“คุณ……”
หลี่หวั่นชิงแสดงท่าทีโมโห แต่ในที่สุดก็กลืนคำพูดกลับลงไป
และแสดงท่าทีโศกเศร้าและจนใจออกมาแทน : “เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้น เจ้าบ้านตระกูลเฉินเองก็มาหายตัวไป แล้วจะให้พวกเราทำเช่นไร”
พูดจบ เธอก็ยกถ้วยซุปโสมเดินออกจากห้องหนังสือไป
กู้โก๋ฮั๋วจ้องเขม็งไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ การแสดงออกของเขากลับค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ : “ละครฉากนี้ เกรงว่าจะขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ คลื่นลูกนี้ แม้แต่ตัวฉันเอง ก็ไม่รู้ว่าจะรับมือไหวหรือไม่”
กลางดึกที่เงียบสงัด
ภายในสมาคมซานเหอ
ภายในตงหย่วน มีแสงไฟส่งสลัวๆ
เฉินตงที่นอนอยู่บนเตียง หนังตากระตุกสองครั้ง และในที่สุดก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ อย่างยากลำบาก
“เสี่ยวหยิ่งกับลูกยังรอฉันไปขอโทษอยู่ ยังรอฉันไปรับกลับบ้าน”
หลังจากที่ดวงตาของเขาค่อยๆ ปรับจนรับกับแสงภายในห้องได้
แววตาของเฉินตงก็ดูมุ่งมั่นอย่างถึงที่สุด ราวกับจะทำลายล้างของทุกสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้า
“เสี่ยวหยิ่งกำลังตามหาฉันอยู่ ฉันจะต้องดีขึ้นโดยเร็วให้ได้ เพื่อเธอแล้ว ต่อให้ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลก็ยอม ไม่ต้องพูดถึงสภาพร่างกายในตอนนี้”
การหมดสติไปตลอดหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ ทำให้เฉินตงรู้สึกแขนขาไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
หลังจากการปรับตัวเพียงครู่หนึ่ง เขาก็ลองขยับแขนขาดู
แต่เขาก็ไม่ได้รีบร้อน ค่อยๆ ไปทีละก้าวๆ
สามารถกลับมามีชีวิตได้อีกครั้งก็นับว่าโชคดีมากแล้ว ตอนนี้จึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนให้มากนัก
นิ้วมือ นิ้ว แขน……
เฉินตงค่อยๆ ขยับดูทีละนิดๆ
ทุกครั้งที่ขยับ สำหรับเขาแล้ว ถือเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างมาก
แม้แต่การยกนิ้วมือง่ายๆ ยังรู้สึกหนักอึ้งราวกับว่ายกของหลายร้อยกิโล
ไม่ช้า หน้าผากของเขาก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
เย่หลิงหลงฟุบอยู่ข้างๆ เตียง ขณะที่นั่งเฝ้าเธอก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
ตอนนี้อยู่ในอาการสะลึมสะลือ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ข้างๆ
เธอเงยหน้าขึ้น แล้วขยี้ตาที่เลือนรางของเธอ
เมื่อเห็นเฉินตงลืมตาอยู่ ดวงตาคู่งามของเธอก็เป็นประกายขึ้นมาทันที และได้สติขึ้นมา
“ในที่สุดคุณก็ลืมตาแล้ว !”
เฉินตงไม่ได้สนใจ ยังคงลองขยับร่างกายต่อไป
ไม่ช้า เย่หลิงหลงสังเกตเห็นว่าเฉินตงกำลังพยายามขยับมือ จึงรู้สึกดีใจขึ้นมาทันที
เธอพูดปลอบใจอย่างระมัดระวัง : “ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยเป็นค่อยไป จะต้องดีขึ้นแน่นอน คุณหมดสติไปหนึ่งสัปดาห์แล้ว คนธรรมดาหากนอนหลับบนเตียงหนึ่งสัปดาห์ก็คงชาไปทั้งตัว ค่อยๆ ขยับ ถูกแล้ว แบบนี้แหละ”
ทว่า
ในขณะที่เธอกำลังปลอบใจ
ท่าทางของเฉินตงก็ดูหวาดกลัวขึ้นมาทันที ดวงตาของเขาเบิกโพลงและแดงก่ำขึ้นมา
ราวกับ……เห็นผีก็ไม่ปาน
ภาพนี้ ทำให้เย่หลิงหลงตกใจอย่างมาก
เธอรีบถามขึ้นทันที : “เฉินตง คุณ คุณเป็นอะไรไป ? คุณอย่าทำให้ฉันตกใจสิ !”
“ขาของฉัน……”
เฉินตงออกแรงขยับปากของเขา แล้วส่งเสียงแหบพร่าด้วยความกลัวออกมา : “ทำไมถึงไม่มีความรู้สึก ?”