แสงแดดอบอุ่นและลมโชยอ่อน
อากาศบริสุทธิ์
นั่งอยู่บนรถเข็นเพื่ออาบแดด
เฉินตงรู้สึกสบายตัวขึ้นไม่น้อย
เพียงแต่ เมื่อก้มลงมองรถเข็นที่นั่งอยู่ เขาก็ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าที่อ่อนแรงและซีดเผือดเต็มไปด้วยความซึมเศร้า
เย่หลิงหลงยืนอยู่ด้านหลังรถเข็น เธอบิดขี้เกียจ และรู้สึกขมขื่นเล็กน้อย
“เอาพูดว่ารถเข็นบ้าๆ หากฉันอุ้มคุณแบกคุณมันสบายน้อยกว่านั่งรถเข็นตรงไหนกัน ?”
เฉินตงส่ายหัว : “ฉันมีภรรยาแล้ว”
เย่หลิงหลงเงียบไปทันที
แววตาที่เดิมทีดูอ่อนล้า จู่ๆ กลับหมองหม่นลงทันที
มือทั้งสองข้างที่วางอยู่บนรถเข็นของเธอกำแน่นขึ้น เส้นเลือดที่อยู่บนหลังมืออันขาวนวลของเธอสองสามเส้นปูดโปนขึ้นมา
เงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ เย่หลิงหลงก็หัวเราะแล้วพูดขึ้น
“ไม่เป็นไรสักหน่อย ฉันก็แค่ได้รับคำสั่งของคุณปู่ให้มาดูแลคุณเท่านั้น”
เฉินตงพูดด้วยท่าทีเฉยเมย : “คุณไปพักผ่อนได้นะ ผมอยากจะอยู่เงียบๆ คนเดียว”
“ฉันไม่เหนื่อย !” เย่หลิงหลงส่ายหัว แสร้งทำเป็นยิ้มอย่างสบายใจ
“ออกไป !”
จู่ๆ เฉินตงก็ระเบิดอารมณ์โกรธออกมา
รอยยิ้มบนใบหน้าของเย่หลิงหลงหายไปทันที จู่ๆ เธอก็รู้สึกน้อยใจอย่างยิ่ง
ดวงตาของเธอแดงก่ำ และรู้สึกคัดจมูกขึ้นมา
“ฉันรู้ว่าคุณอารมณ์ไม่ดี ฉันจะไม่รบกสนคุณแล้ว ถ้าจะกลับห้องก็โทรศัพท์หาฉัน”
เย่หลิงหลงวางโทรศัพท์หนึ่งเครื่องลงบนขาของเฉินตง แล้วหันหลังเดินจากไป
เพียงแต่ค่อยๆ ยกมือขวาขึ้นเช็ดที่หางตา และเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเห็นเย่หลิงหลงที่เดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ดวงตาของเฉินตงก็ลึกซึ้ง และยิ้มออกมาอย่างหดหู่
“หัวใจของฉันมีเจ้าของแล้ว จะให้ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนอื่นได้อย่างไร ?”
ท่าทีของเขาค่อยๆ เย็นชาลง
เฉินตงกัดฟันแน่น แววตาเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ
“ภรรยากับลูก ยังรอฉันอยู่ที่บ้าน ฉันไม่เชื่อว่าชาตินี้ ฉัน เฉินตง จะลุกขึ้นยืนไม่ได้อีกแล้ว”
เขาใช้มือทั้งสองจับที่เท้าแขนของรถเข็นทั้งสองข้าง ออกแรงทั้งหมดที่มี แล้วพยายามลุกขึ้นอย่างสั่นเทา
แต่เมื่อเท้าแตะถึงพื้น ก็อ่อนแอและไร้เรี่ยวแรงในทันที ราวกับไม่เคยมีขามาก่อน
เขารีบถอยตัวล้มไปด้านหลัง และกลับไปนั่งอยู่บนรถเข็น
มีเพียงแค่ดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดแดงก่ำ และแสดงความโกรธออกมาอย่างชัดเจน
“จะต้อง……ลุกขึ้นยืนอีกครั้งให้ได้ !”
เฉินตงกัดฟัน และพยายามลองดูใหม่อีกครั้ง
ความไม่เต็มใจอย่างแรงกล้า ทำให้เขาไม่ยอมละทิ้งโอกาสไป
เขาต้องการยืนขึ้นได้ใหม่อีกครั้ง
อยากกลับไปอยู่ข้างกายของกู้ชิงหยิ่งอย่างเต็มภาคภูมิ
ถ้าหากพิการ ตระกูลเฉินที่ยิ่งใหญ่ จะต้องตัดขาดเขาอย่างแน่นอน ต่อให้พ่อก็ไม่อาจขัดขวางได้
ความพยายามทั้งหมด เขาไม่เต็มใจให้สูญเปล่าเพราะขาทั้งสองข้างนี้
เขาไม่กลัวว่าจะสิ้นเนื้อประดาตัว ต่อให้ต้องสิ้นเนื้อประดาตัว ก็ไม่เคยขาดความกล้าหาญที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
แต่เขากลัว ว่าจะไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้เริ่มใหม่อีกครั้ง
พยายามครั้งแล้วครั้งเล่า ล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า
ติดต่อกันถึงห้าครั้ง เฉินตงรู้สึกเหนื่อยจนเหงื่อไหลอาบไปทั่วหน้า และหายใจเหนื่อยหอบ
และมือทั้งสองข้างของเขา เป็นเพราะอาศัยแรงของมือทั้งสองข้างในการพยุงตัวขึ้น ตอนนี้จึงสั่นเทาเป็นอย่างมาก
“อ่อนแอเกินไปแล้ว เวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งสัปดาห์ ร่างกายของฉันถดถอยไปมากจริงๆ”
เฉินตงหายใจเหนื่อยหอบ เหงื่อไหลออกมาราวกับสายฝน หยดลงบนเสื้อจนเปียกปอน
“ลองอีกครั้ง จะต้องทำได้สิ ชีวิตของฉัน ขึ้นอยู่กับฉัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสวรรค์”
เฉินตงสูดหายใจเข้า แล้วใช้มือทั้งสองข้าง ลองพยุงตนเองให้ลุกขึ้นมาอีกครั้ง
เท้าแตะถึงพื้น ก็ยังคงไร้เรี่ยวแรงเช่นเคย ขาทั้งสองข้างที่ไร้ความรู้สึก อ่อนนุ่มราวกับเส้นหมี่ ไม่มีทางตั้งตรงได้เลย
เพียงแค่ครั้งนี้ เฉินตงอ่อนล้าเกินไป ดังนั้นตอนที่ล้มลงไป จึงไม่สามารถถอยหลังกลับไปที่รถเข็นได้อีก
ตุ้บ !
เฉินตงล้มลงกับพื้น แม้แต่รถเข็นก็พลิกคว่ำด้วย และมือจับโลหะก็กระแทกลงบนหลังของเขาอย่างแรง
แรงกระแทกครั้งนี้ ทำให้เขาแทบจะหายใจไม่ออก
“สมควรตาย !”
เฉินตงน้ำตาไหลพราก ทุกกำปั้นลงบนพื้นดินอย่างแรง
พื้นบลูสโตนนั้นแข็งแรงมาก หมัดที่ทุบลงไป ทำให้ข้อนิ้วทั้งสี่ของเขาแตกและมีเลือดไหล
แต่เฉินตงกลับไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
ความเจ็บปวดบนมือ จะเทียบกับความพิการได้อย่างไร ?”
เฉินตงกัดฟันแน่น มือทั้งสองข้างค้ำลงบนพื้น ออกแรงพยุงตัวเองขึ้น แล้วผลักรถเข็นที่ทับอยู่บนตัวออก
นี่เป็นเรื่องง่ายสำหรับคนปกติ
แต่เฉินตงที่ขาทั้งสองข้างไร้ความรู้สึก ตอนที่ทำ กลับรู้สึกเหมือนต้องยกสิ่งของที่หนักอึ้ง
ตุ้บ !
เฉินตงผลักรถเข็นออกไป พลิกตัว แล้วนอนลงบนพื้น
ดวงตาจ้องมองพระอาทิตย์ที่ส่องแสงสว่างอยู่บนท้องฟ้า โดยไม่กะพริบตา
เขาหัวเราะ
หัวเราะอย่างโศกเศร้า
หัวเราะอย่างเจ็บปวดใจ
เสียงหัวเราะดังก้องอยู่ในลาน
เพียงแต่เมื่อยิ่งหัวเราะดัง น้ำตาในดวงตาของเขาก็ยิ่งเอ่อล้นออกมามากเท่านั้น
เขาเอียงหัว แล้วมองไปยังกำแพงที่สูงตระหง่าน และพูดออกมาอย่างเจ็บปวด : “ตอนนี้ฉันพิการแล้ว แม้แต่จะเดินออกไปจากกำแพงนี้ก็ยังทำไม่ได้เลย นี่มันต่างอะไรกับสัตว์ร้ายที่ติดกับดักกัน ? ไม่ใช่สัตว์ร้ายที่ติดกับดักสิ สัตว์ร้ายที่ไหนจะพิการกัน ? ฉันเป็นสุนัขที่ตายแล้วต่างหาก ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า……”
เสียงหัวเราะด้วยความโศกเศร้าดังก้อง
อีกด้านหนึ่งของสมาคมซานเหอ
จู่ๆ เย่หลิงหลงที่เดินจากมาพร้อมน้ำตาก็หยุดฝีเท้าทันที
เธอเช็ดน้ำตาที่หางตา แล้วจู่ๆ ก็พึมพำขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง : “ถ้าหากฉันไปแล้ว เขาเกิดเรื่องขึ้นจะทำเช่นไร ?”
กระทืบเท้าด้วยความโกรธ
เย่หลิงหลงรู้สึกอับอายและตำหนิตัวเอง : “สวรรค์ เย่หลิงหลง เธอบ้าไปแล้วหรือยังไง ? ไหนบอกว่าจะดูแลเขา แล้วทำไมถึงหนีมาแบบนี้ ?”
เธอตบหน้าที่เต็มไปด้วยความอ่อนล้าและรอบคล้ำใต้ตาของตนเอง : “ไม่เหนื่อย เธอไม่เหนื่อยเลยสักนิด ใครใช่ให้เธอมัวแต่คิดมากตลอดทั้งคืน ไม่ยอมหลับยอมนอนกันล่ะ ?”
เย่หลิงหลงหันหลัง แล้วิ่งไปทางตงหย่วน
เมื่อเข้าใกล้ตงหย่วน ก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างโศกเศร้าดังอยู่ในลาน
เย่หลิงหลงหน้าถอดสีทันที แล้วรีบวิ่งตรงไปที่ตงหย่วนอย่างรวดเร็ว
เฉินตงนอนคร่ำครวญและหัวเราะอยู่บนพื้น น้ำตาไหลรินราวกับสายฝน ทำให้เย่หลิงหลงรู้สึกเจ็บปวดขึ้นทันที
ฉันไปแค่แป๊บเดียว เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?
เธอวิ่งเข้าไปหาเฉินตง สีหน้าซีดเผือด : “เฉินตง ทำไมคุณถึงหล่นลงมาอยู่ที่พื้น ? รีบลุกขึ้นเร็ว !”
“ลุกยังลุกไม่ขึ้นเลย ลงมานอนอยู่ที่พื้นจะเป็นไรไป ?”
เฉินตงพูดด้วยรอยยิ้ม ปล่อยให้เย่หลิงหลงออกแรงประคองเขาขึ้นมา
แต่เป็นเพราะขาทั้งสองข้างของเฉินตงมาอาจยืนได้ ทำให้น้ำหนักทั้งหมดของเขา ทิ้งลงไปบนตัวของเย่หลิงหลง
ขณะที่เย่หลิงหลงกำลังกอดเฉินตงโดยการหันหน้าเข้าหากัน และเตรียมจะ “ผลัก” เขากลับลงไปบนรถเข็น
เย่หลิงหลงก็สะดุด และสูญเสียการทรงตัว
“ว้าย !”
เสียงกรีดร้องดังขึ้น
เฉินตงล้มกลับไปอยู่บนรถเข็น
ส่วนเย่หลิงหลงเองก็ล้มลงใส่เฉินตง
ทันใดนั้น ดวงตาทั้งสี่ก็ประสานกัน
ตอนนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินตงจางหายไป
ในสมองของเย่หลิงหลงเกิดเสียงอื้ออึงขึ้น และรู้สึกว่างเปล่า
ราวกับเวลาหยุดนิ่ง
หลังจากผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง
เย่หลิงหลงเหมือนลูกแมวที่ตกใจ รีบลุกขึ้นมาอย่างเร่งรีบ ใบหน้าอันงดงามของเธอแดงก่ำด้วยความเขินอาย
เธอแสดงอาการตื่นตกใจ และมองซ้ายมองขวา
ริมฝีปากของเธอขยับแล้วพูดว่า : “อุ อุบัติเหตุ ! คุณอย่าคิดมาก ฉัน ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉัน ฉันไม่ได้คิดอะไรกับคุณ”
“เข็นผมกลับห้องเถอะ ผมอยากนอน” เฉินตงพูดออกมาอย่างเรียบเฉย
“หา ? อ้อ ได้ ได้สิ”
เย่หลิงหลงพยักหน้า
เข็นเฉินตงกลับไปห้องพัก
เพียงแต่เมื่อยืนอยู่ด้านหลังเฉินตง เธอก็แอบยิ้มหวานออกมาเล็กน้อย
นิ้วมือข้างซ้าย ลูบไปบนฝีปากอย่างเงียบๆ
หลังจากส่งเฉินตงเรียบร้อย
เย่หลิงหลงก็หันหลังเดินจากไป เธอรู้สึกเหนื่อยล้ามากจริงๆ
เพียงแต่ตอนเดินกลับเร็วขึ้นเล็กน้อย เธอยิ้มจางๆ ออกมา และเลียริมฝีปากเป็นครั้งคราว
หลังจากเดินไปถึงด้านในลาน เธอก็หยุดนิ่งและมองดูบริเวณที่เฉินตงล้มลงเมื่อครู่ แล้วพึมพำออกมาเบาๆ : “จริงๆ แล้ว……มีรสชาติแบบนี้นี่เอง ?”
หลังจากพูดจบ
เธอกำลังจะเดินจากไป แต่จู่ๆ รอยยิ้มอันแสนหวานบนใบหน้าก็จางหายไป
เหลือไว้เพียงแค่ความเย็นชาอย่างถึงที่สุด
ดวงตาของเย่หลิงหลงเป็นประกาย มองตรงไปที่มุมกำแพง