“หลานเลอะเลือนไปแล้วหรือยังไง !”
เย่หยวนชิวจ้องมองเย่หลิงหลงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“พูดจุดประสงค์ออกมาขนาดนี้แล้ว หลานควรจะจับตัวเธอเอาไว้ ตอนนี้หงหุ้ยของเราสามารถต่อสู้ได้ แต่เฉินตงต่อสู้ไม่ได้ !”
“คุณปู่ เป็นความผิดของหนูเอง ตอนนี้ควรจะทำอย่างไรดีคะ ?”
ใบหน้าอันงดงามของเย่หลิงหลงแดงก่ำ เธอก้มหน้าก้มตาด้วยความรู้สึกผิด
ความจริงเธอพบเทียนอ้ายถึงสองครั้ง เทียนอ้ายดูมีนิสัยขี้เล่น และมีความคิดที่แปลกประหลาด
ทำให้เธอประมาทเกินไป
อย่างไรเสีย มีสักกี่คนที่จริงจังกับการทำภารกิจ แล้วยังมีเวลามาสนใจหน้าอกของตัวเองอีก ?
จนกระทั่งที่เทียนอ้ายหลบหหนีเมื่อครู่ แล้วถามคำถามประโยคสุดท้ายออกมา เธอถึงได้รู้ว่าปัญหานี้มีความรุนแรงขนาดไหน
“แหวกหญ้าให้งูตื่น หากคิดจะจับผู้หญิงคนนั้น คงจะสายไปแล้ว”
สีหน้าของเย่หยวนชิวเคร่งเครียด เขาขมวดคิ้วใช้ความคิด : “หลานกลับไปที่ตงหย่วน ปู่จะให้หลงโถวส่งคนมา ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป สมาคมซานเหอต้องถูกยกระดับการรักษาความปลอดภัย”
“คุณปู่คะหรือว่าพวกเราจะเคลื่อนย้ายเฉินตงดี ?” เย่หลิงหลงเสนอความคิดเห็น
เย่หยวนชิวมีสีหน้าจริงจัง : “ยังมีที่ไหนที่ปลอดภัยกว่าองค์กรใหญ่ของหงหุ้ยอีกหรือ ?”
หลังจากที่เย่หยวนชิวโบกมือให้เย่หลิงหลงออกไป
เย่หยวนชิวก็พึมพำขึ้นมาเบาๆ ว่า : “สามารถปิดถนนได้อย่างโจ่งแจ้ง ลอบฆ่าเฉินตง และหลบซ่อนตัวจนแม้แต่หงหุ้ยเราก็ยังสืบหาไม่พบร่องรอย หากเคลื่อนย้ายเฉินตงตอนนี้ ก็เท่ากับรนหาที่ตาย”
พูดจบ เย่หยวนชิวก็ลุกขึ้นแล้วใช้ไม้เท้าเดินพยุงตัวไปหาหลงโถว
เรื่องนี้จะประมาทไม่ได้
ผู้หญิงคนเดียว แอบลักลอบเข้ามาในสมาคมซานเหอถึงสองครั้ง
เหตุผลก็เพื่อสืบหาว่า ในคืนที่เฉินตงหายตัวไปในคืนนั้น หงหุ้ยงมอะไรขึ้นมาจากทะเลกันแน่
เห็นได้ชัดว่า มีความเชื่อมโยงถึงเฉินตง
เป็นการยากที่เย่หยวนชิวจะไม่นำเรื่องนี้ และเรื่องของผู้อยู่เบื้องหลังในการลอบสังหารเฉินตงมาโยงเข้าด้วยกัน
ถ้าหากผู้หญิงคนนั้นมาเพื่อสำรวจเส้นทางจริง ถ้าเช่นนั้นต่อจากนี้ก็น่าจะเป็นการปฏิบัติการลอบสังหารอย่างเต็มรูปแบบ
ห้องโถงใหญ่ของสมาคม
กลิ่นหอมของธูปฟุ้งกระจาย
บนผนังกว้าง มีภาพเหมือนของบุคคลขนาดใหญ่สามภาพแขวนอยู่
และด้านหน้าภาพเหมือน มีโต๊ะไม้โบราณวางอยู่ ด้านหลังโต๊ะไม้โบราณ
มีชายวัยกลางคนผมขาว นั่งอยู่อย่างสง่าผ่าเผย ใบหน้าหล่อเหลา ดูสุขุมเยือกเย็น ทำให้ดูแล้วรู้สึกมั่นคงดุจขุนเขา
กรอบแว่นสีทองที่อยู่บนสันจมูก ทำให้ดูอ่อนโยนและสง่างามขึ้นไม่น้อย
เขาคือหลงโถวของหงหุ้ย——หยวนเทียนกาง
ก๊อกก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
ชายวัยกลางคมผมขาวเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นเย่หยวนชิว ใบหน้าที่เรียบเฉยก็เผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนออกมาทันที
เขาลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปด้านหน้า ประคองเย่หยวนชิวให้นั่งลงบนเก้าอี้
“ผู้อาวุโสมีเรื่องอะไรหรือครับ ทำไมถึงไม่ให้คนมาตามผมไป ทำไมต้องมาด้วยตัวเองเช่นนี้ ?”
“คุณเป็นหลงโถวของพวกเรา ผมจะปฏิบัติต่อคุณตามอำเภอใจได้อย่างไร ?”
เย่หยวนชิวพูดติดตลก
หยวนเทียนกางยักไหล่ : “ท่านเป็นจู่เหลาของเรา ที่มีทุกวันนี้ได้ ก็เพราะการสนับสนุนของท่านในตอนนั้น ใครๆ ก็ล่วงเกินผมไม่ได้ ยกเว้นท่านคนเดียวเท่านั้น”
เย่หยวนชิวยิ้มร่าออกมา
จากนั้นก็ค่อยๆ หุบยิ้ม แล้วพูดออกมาอย่างเคร่งขรึมว่า : “เรื่องที่เฉินตงพักอยู่ที่สมาคมซานเหอ อาจจะถูกเปิดเผยออกไปแล้ว”
“อะไรนะ ?”
หยวนเทียนกางผงะไปครู่หนึ่ง : “พวกเราจัดการอย่างสะอาดหมดจนไร้ร่องรอย เรื่องที่งมคนขึ้นมาจากทะเล แม้แต่สมาชิกตระกูลที่อยู่ในเมืองนี้ต่างก็ถูกปิดบังไม่ให้ล่วงรู้ แล้วจะถูกค้นพบได้อย่างไร ?”
เย่หยวนชิวยิ้มออกมาอย่างโศกเศร้า : “หลิงหลงเป็นคนพบเข้า ผู้หญิงคนนั้นแอบปีนกำแพงเข้ามาสองครั้ง เพื่อพยายามบุกรุกเข้าไปในสมาคมซานเหอ อีกทั้ง……”
หยุดพูดไปครู่หนึ่ง แล้วเย่หยวนชิวก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง : “อีกทั้งเมื่อครู่ตอนที่หลิงหลงไล่ตามผู้หญิงคนนั้นไป ผู้หญิงคนนั้นเพื่อที่จะหลบหนี ก็ได้เอ่ยคำพูดออกมาหนึ่งประโยค เธอถามออกมาตรงๆ ว่า คืนนั้นหงหุ้ยเรางมอะไรขึ้นมาจากทะเลกันแน่ ?”
ทันทีที่พูดออกไป ห้องโถงใหญ่ก็เงียบสงัดทันที
ใบหน้าที่อ่อนโยนของหยวนเทียนกางเคร่งขรึมขึ้นทันที ภายใต้กรอบแว่นสีทอง แผ่ซ่านรังสีของความอำมหิตออกมาทันที
ตอนนี้ บรรยากาศภายในห้องโถงใหญ่ดูเหมือนลดต่ำลงไปจนถึงจุดเยือกแข็ง
ในฐานะที่เป็นหลงโถว ความสุภาพอ่อนโยนและสง่างาม ถือเป็นท่าทีที่เขาต้องการแสดงออกมาให้ผู้อื่นได้เห็น
หากคิดว่าเขาเป็นคนสุภาพอ่อนโยนจริงๆ แล้วล่ะก็ นั่นถือว่าคิดผิดแล้ว
“จู่เหลา คนที่ฆ่าเฉินตง ตอนนี้ยังหาตัวไม่เจอ”
หยวนเทียนกางพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม : “ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าเฉินตงอยู่ที่สมาคมซานเหอ หลังจากนี้พวกเราคงต้องถูกโจมตีแล้ว”
“คุณกลัวหรือ ?” เย่หยวนชิวเลิกคิ้วถาม
หยวนเทียนกางเบ้ปาก : “หยวนเทียนกางสะกดคำว่ากลัวไม่เป็น”
เย่หยวนชิวยิ้มเล็กน้อย
จากนั้น หยวนเทียนกางก็ยักไหล่ : “เอาล่ะ จากนี้เป็นต้นไป ผมจะย้ายไปอยู่ที่ตงหย่วน”
“อย่างไรเสียคุณก็เป็นถึงหลงโถว จะย้ายไปดูแลเฉินตงหรือ ?” เย่หยวนชิวพูดด้วยความตกตะลึง
หยวนเทียนกางยิ้มร่าออกมา : “เอาล่ะ ที่ผู้อาวุโสมาถึงที่นี่ ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้หรอกหรือ ผมในฐานะที่เป็นหลงโถว ไปดูแลจู่เหลารุ่นหยวนที่หนุ่มที่สุดของสมาคมเรา ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องหนักหนาอะไร”
“คุณนี่มันฉลาดจริงๆ” เย่หยวนชิวหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้
หยวนเทียนกางดันแว่นที่อยู่บนสันจมูก แล้วยิ้มโดยไม่พูดอะไร
เงียบไปสักครู่
เขาก็ค่อยๆ พูดว่า : “เพียงแต่ตอนนี้เจ้าบ้านตระกูลเฉินหายตัวไปอย่างลึกลับ จู่เหลาคิดว่าหงหุ้ยของเรา ควรจะกวนน้ำให้ขุ่นหรือไม่ ? ดูเหมือนว่าน้ำนี้จะขุ่นเกินไปแล้ว”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเย่หยวนชิวจางหายไปทันที
ทำสีหน้าเคร่งขรึม แล้วค่อยๆ คายคำพูดออกมาหนึ่งคำ
“กวน !”
หลังจากได้รับคำสั่งจากหยวนเทียนกาง
ทุกคนในสมาคมซานเหอก็มารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ไม่เหมือนกับวันปกติ ซุ้มประตูใหญ่ถูกทิ้งร้าง
มีการยกระดับความปลอดภัยขึ้นสู่ระดับสูงสุดในเวลาเดียวกัน
หยวนเทียนกางก็ย้ายไปอยู่ที่ตงหย่วนด้วยตัวเอง โดยมีการจัดเตรียมห้องพักหนึ่งห้อง
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินตงได้พบกับผู้ที่ชื่อว่าเป็นหลงโถวของหงหุ้ย
ทำให้เฉินตงรู้สึกตกตะลึงไปเล็กน้อย
หยวนเทียนกางอายุน้อยกว่าที่เขาคิดเอาไว้
เดิมทีเขาคิดว่าหลงโถวน่าจะมีอายุอย่างน้อยๆ ประมาณห้าสิบปี
แต่หยวนเทียนกาง ต่อให้ผมจะขาว แต่ท่าทางและใบหน้า ไม่มีความชราเลยแม้แต่น้อย ดูๆ ไปแล้วน่าจะอยู่ในวัยสามสิบต้นๆ และคงจะอายุเยอะกว่าเขาไม่มาก
“ประหลาดใจมากนักหรือ ?”
หยวนเทียนกางรับรู้ได้ถึงสายตาแปลกประหลาดของเฉินตงที่มองมา
“คุณดูหนุ่มมาก” เฉินตงพยักหน้า และไม่ได้คิดปิดบัง
“จะอายุน้อยสู้คุณได้อย่างไร”
หยวนเทียนกางหัวเราะออกมาแปลกๆ : “คุณเป็นจู่เหลารุ่นหยวนที่อายุน้อยที่สุดของเราเลยนะ”
ทั้งสองสบตากัน
แล้วยิ้มออกมาพร้อมกัน
จากนั้น หยวนเทียนกางก็ยักไหล่
“จริงสิ เรื่องที่ผมย้ายมาที่ตงหย่วนเพื่อปกป้องคุณ ตอนนี้ภายในหงหุ้ย มีเพียงเราไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ ผมเองก็ไม่ต้องการให้ล่วงรู้ออกไป”
เงียบไปสักพัก เขาก็หรี่ตา จากนั้นจึงหันมองเย่หลิงหลงที่ยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ข้างเฉินตงอย่างมีนัย
จากนั้น จึงพูดด้วยรอยยิ้ม : “แต่ว่าคุณกับน้องหลิงหลงวางใจได้ ถึงแม้ผมจะอยู่ที่ตงหย่วน แต่ปกติก็จะไม่ออกหน้า จะอยู่จัดการเอกสารและธุระภายในห้อง และจะไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของพวกคุณสองคน หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือ พวกคุณสามารถทำเหมือนผมไม่อยู่ที่นี่ อยากจะทำอะไรก็ทำ ขอแค่อย่าเสียงดังเกินไปก็พอ ผมก็สามารถรับได้”
จู่ๆ เฉินตงก็ยิ้มไม่ออก
นี่มัน……
ส่วนเย่หลิงหลงเองก็ตัวสั่น จู่ๆ ร่างกายก็อ่อนยวบราวกับถูกไฟเผา
ใบหน้าของเธอแดงก่ำ จ้องมองหยวนเทียนกางด้วยความอับอาย
กระทืบเท้าด้วยความโกรธ
“หลงโถว คุณควรจะพูดกับน้องสาวเช่นนี้หรือ ? รู้จักอายบ้างไหม ?”
ในหงหุ้ย ไม่เพียงเธอเท่านั้นที่มีฐานะที่ต่ำกว่า แต่กล้าใช้น้ำเสียงแบบนี้พูดคุยกับหยวนเทียนกาง
“ฉันช่วยล้างก้นเธอ เลี้ยงเธอมาตั้งแต่เล็กจนโต แต่เธอกลับถามพี่ว่ารู้จักอายบ้างไหม ?”
หยวนเทียนอ้ายแสร้งทำท่าทีจนใจ จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วเดินไปด้านนอก : “ความสัมพันธ์จืดจางแล้ว จืดจางแล้ว ฉันก็แค่อยากช่วยรักษาความสัมพันธ์ของพวกเธอเอาไว้ก็เท่านั้น”
มองดูหยวนเทียนกางเดินจากไป
เย่หลิงหลงแอบยืนตัวสั่น ใบหน้าที่งดงามของเธอแดงก่ำจนดูเหมือนแทบจะมีเลือดซึมออกมา
ก้มหน้าก้มตา ไม่กล้ามองเฉินตง
คำพูดของหยวนเทียนกางเมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่ามีนัย ตั้งใจที่จะสื่อถึงอะไรบางอย่าง
นี่จะให้เธอทนไหวได้อย่างไร ?
ตอนนี้ไม่กล้าที่จะสบตากับเฉินตงแล้ว
บรรยากาศภายในห้องแปลกขึ้นทันที
แม้แต่เฉินตงเอง ก็ถูกความ “ไร้ยางอาย” ของหยวนเทียนกาง ทำให้ตกใจ
เขาลูบจมูก แล้วทำลายความเงียบ
“ดูไม่ออกเลยว่าตั้งแต่เล็กจนโต คุณจะมีรสนิยมเช่นนี้”
“หา ? !”
เย่หลิงหลงตกใจ เธอมองเฉินตงด้วยความตกตะลึง
เฉินตงหัวเราะ : “แต่เมื่อก่อนตอนที่แม่เลี้ยงฉัน ก็ป้อนข้าวป้อนน้ำให้ แต่ยังไม่ถึงขั้นเลี้ยงดูโดยการคอยล้างก้นให้”
เย่หลิงหลงตั้งสติได้ทันที
เธอจ้องมองเฉินตงด้วยความโกรธ ยกมือขึ้นแล้วหยิกแขนของเฉินตงอย่างแรง ทำให้เฉินตงเจ็บจนอ้าปากค้าง
“คนบ้า ทำไมคุณกับพี่ใหญ่พบหน้ากันครั้งแรก ก็ร่วมมือกันรังแกฉันเสียแล้ว ?”