ใช้มีดคารวะหนึ่งครั้ง
เฉินตงมองไปที่หยวนเทียนกางอย่างข้องใจ
เวลานี้หยวนเทียนกางยังคงมาดเนี๊ยบ นิ่งสงบดั่งขุนเขา
ความสง่างามนุ่มนวลเมื่อรวมกับมีดยาวที่อยู่ในมือ ดูเข้ากันไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
แต่แววตาภายใต้แว่นกรอบทองที่แผ่รังสีออกมานั้น ทำให้เฉินตงรู้สึกหนาวเย็นเยียบสันหลัง
เฉินตงเคยเผชิญกับความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน
เป็นความรู้สึกเดียวกับที่เขาเคยสัมผัสมาจากคุนหลุนและคุณลุงเฉินเต้าจูน
การสัมผัสเลือดมานับครั้งไม่ถ้วนเท่านั้นที่จะหล่อหลอมสายตาเช่นนี้ออกมาได้
ปั้ง!
ในขณะนั้น
เงาดำได้ควักระเบิดควันออกมาจากหน้าอกแล้วเขวี้ยงอัดลงบนพื้น
ในตอนนั้นเอง กลิ่นควันไฟเตะจมูกลอยคลุ้งขึ้น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า
เงาดำได้หมุนตัวแล้วปีนขึ้นไปบนกำแพงเพื่อที่จะหลบหนี
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหยวนเทียนกาง ความกล้าหาญของมันได้หดหายไปหมด
แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีเพียงมีดยาวเล่มเดียวก็ตาม!
หลงโถวของหงหุ้ย ไม่ได้เป็นเพียงสถานะเท่านั้น แต่ยังหมายถึงความสามารถที่เหลือล้น
ทว่า
ในตอนที่เงาดำก้าวขึ้นไปบนกำแพง
กลับมีมือใหญ่ๆ ยื่นทะลุผ่านควันไฟเข้ามาแล้วคว้าข้อเท้าของเขาเอาไว้
“เร็วจัง!”
เงาดำกล่าวอย่างลนลาน
จากนั้นจึงสัมผัสได้ถึงแรงกระชากที่รุนแรง
“ลงมา!”
หยวนเทียนกางแผดเสียงพร้อมออกแรงกระชากเงาดำร่วงลงมากระแทกบนพื้นราวกับกำลังลากกระสอบทราย
รุนแรงและอำมหิต
ภาพนี้
ทำให้เฉินตงกับเย่หลิงหลงตัวแข็งทื่อ
ทั้งสองคนได้ต่อสู้กับเงาดำมาแล้วจึงรู้ดีถึงพละกำลังของมัน
แต่หยวนเทียนกางกลับกระชากเงาดำร่วงลงมาอย่างไม่ต้องออกแรงเพียงรวดเดียว เห็นได้ชัดถึงความแตกต่างในพละกำลังของคนทั้งสอง
แม้ว่าเงาดำจะถูกลากลงมากระแทกบนพื้นอย่างแรง แต่ปฏิกิริยาของมันก็ไวมาก เพราะในเวลาเดียวกันมันได้ม้วนตัวไปอีกหลายเมตรแล้วมองหยวนเทียนกางอย่างพะว้าพะวังพร้อมกำมีดดาบเอาไว้ในมือ
เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างดุเดือดภายในสนามฝั่งตะวันออก
อุณหภูมิลดลงไปถึงจุดเยือกแข็ง
ควันจากระเบิดที่คุกรุ่นอยู่ไม่ไกลนัก ยังคงลอยคลุ้งอยู่
แต่กลับกลายเป็นตัวช่วยที่ดีของหยวนเทียนกางไป
เขาขยับแว่นกรอบทองของตัวเองอย่างไร้ความรู้สึก
แล้วเดินเข้าไปหาเงาดำอย่างแน่วแน่ พลางแกว่งไกวมีดยาวในมือของตัวเองอย่างเชื่องช้า
“ฉันขอคารวะแกหนึ่งดาบ ตามกฎในยุทธภพแล้วจะไม่รับไม่ได้”
น้ำเสียงที่นิ่งสงบที่สุด หมายความถึงความอำมหิตที่สุดเช่นกัน
เผชิญหน้ากับหยวนเทียนกางเช่นนี้ เงาดำได้แต่ก้าวถอยหลังไปทีละก้าว
เมื่อเห็นเช่นนี้
หยวนเทียนกางจึงขมวดคิ้วแล้วกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ยังจะถอยอีก ไม่มีมารยาทเอาซะเลย”
วินาทีถัดมา
หยวนเทียนกางเคลื่อนตัวรวดเร็วราวลูกธนู เขายกมีดพุ่งตรงไปยังเงาดำ
ฟิ้วๆๆ……
เงาดำเขวี้ยงลูกดอกรัว
แกร๊งๆๆๆ……
หยวนเทียนกางแกว่งไกวมีดยาวอย่างรวดเร็วจนไม่อาจมองตามได้ทัน เกิดเป็นกำแพงอันแข็งแกร่ง เมื่อโลหะกระทบกันก่อให้เกิดแสงไฟวาบ ปัดลูกดอกกระเด็นไปยังทิศทางอื่นอย่างรวดเร็ว
“เตรียมรับมีดซะ!”
ทันใดนั้น หยวนเทียนกางพุ่งเข้าใส่ตรงหน้าเงาดำ
ด้วยท่วงท่าดังเดิม กระโดดพุ่งทะยานผ่านอากาศ
เมื่อมือทั้งสองกำมีดยาวเอาไว้ ร่างกายของเขาเปรียบดั่งขุนเขาสูงที่กำลังจะถล่มลงมาสู่ด้านล่าง
การจ้วงแทงของเขารุนแรงไร้คู่เปรียบเทียบ!
แม้แต่เฉินตงกับเย่หลิงหลงเองยังมองดูด้วยความพรั่นพรึงหนาวสันหลัง
“อ๊าก!”
พละกำลังที่รุนแรงเช่นนี้ทำเอาเงาดำร้องเสียงหลงพลางชูมีดดาบขึ้นมาปะทะเอาไว้
แต่เขากลับไม่มีความกล้าที่จะต่อสู้ ทำได้เพียงป้องกันตัวเท่านั้น!
แกร๊ง!
เมื่อมีดยาวปะทะเข้ากับมีดดาบคู่ มีดดาบคู่กลับแตกยิบย่อยออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
มีดยาวยังคงไม่ลดกำลังลง มันส่องประกายตั้งแต่หัวจรดปลายดาบ ฟาดลงบนร่างของเงาดำราวกับสายฟ้าฟาด
ฟึบ!
แขนทั้งสองของเงาดำถูกตัดขาด เงาดำร้องอย่างโหยหวนก่อนจะล้มลงบนพื้น
เมื่อเงาดำถูกจับตัวไว้ได้ หยวนเทียนกางก็ได้สั่งคนให้ไปสอบสวนเงาดำ เพื่อหาตัวคนที่อยู่เบื้องหลังออกมาให้ได้
“เฉิน……” เงาดำหลุดพูดออกมาเพียงหนึ่งคำ ก่อนจะเสียชีวิตเพราะเสียเลือดมากเกินไป
เฉิน?
หยวนเทียนกางกับเย่หลิงหลงมองไปยังเฉินตง เพื่อถามความเห็นของเขา
แววตาของเฉินตงลึกล้ำ เขานึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมา ริมฝีปากของเขาพลันเกิดรอยยิ้มเย็น “ผมว่าผมรู้แล้วว่าเป็นฝีมือใคร คนคุ้นเคยกัน”
หยวนเทียนกางกับเย่หลิงหลงสบตากัน ทั้งสองเดาความคิดของเฉินตงไม่ออก
“หยวนเทียนกาง ผมรู้แล้วล่ะว่าจะรับมือกับคนที่อยู่เบื้องหลังคนนี้ยังไง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ แววตาของหยวนเทียนกางเป็นประกาย
เช้าวันถัดมา
เวลาเก้าโมงเช้า
ในสมาคมซานเหอ บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด
ขบวนรถประกอบไปด้วยรถสามสิบคัน ผู้ที่เดินทางออกไปพร้อมกับขบวนนี้มีมากถึงหนึ่งร้อยชีวิต
แต่จำนวนนี้เป็นเพียงคนที่ติดตามขบวนออกไปด้วยเท่านั้น
จากการวางแผนของเย่หยวนชิวและหยวนเทียนกาง ระหว่างทางสมาชิกของหงหุ้ยที่พร้อมลงมือจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า ซึ่งจะมากกว่าคนหลายพันคนที่ออกควานหาตัวเฉินตงในทะเลเมื่อคราวก่อน
เมื่อทุกอย่างถูกเตรียมพร้อม สมาชิกทั้งหมดที่จะตามขบวนออกไปต่างมีท่าทางเคร่งขรึมไร้อารมณ์ยินดี
ความตึงเครียด ความแค้น ทำให้บรรยากาศภายในสมาคมซานเหอเต็มไปด้วยความหนักอึ้ง
แต่ขบวนที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ราวกับแรงระเบิดที่สั่นสะเทือนความสนใจของผู้คนที่อยู่ในย่านไชน่าทาวน์แห่งนั้น
กลุ่มคนที่รวมตัวอยู่บริเวณด้านหน้าสมาคมซานเหอ มากพอๆ กับเหตุการณ์ครั้งใหญ่ที่สมาคมซานเหอถูกวางระเบิดไม่มีผิดเพี้ยน
“คุณพระ! เช้านี้หงหุ้ยต้องการจะทำอะไรกันแน่ ถึงได้รวมตัวใหญ่โตขนาดนี้”
“หรือเป็นเพราะเรื่องที่คราวก่อนที่สมาคมโดนวางระเบิด วันนี้เลยจะออกไปแก้แค้น”
“ต้องใช่แน่ๆ หงหุ้ยไม่เคยยอมขายหน้าเรื่องที่ร้ายแรงขนาดนี้ ถึงขั้นมาวางระเบิดที่สมาคม คนกลุ่มนั้นคงจะต้องลิ้มรสความแค้นของหงหุ้ยซะบ้าง!”
……
เมื่อได้ยินเสียงวิจารณ์ของผู้คน
เย่หยวนชิวกับหยวนเทียนกางที่ยืนสั่งการอยู่ด้านหน้าขบวนรถต่างหันมาสบตากันและยิ้มให้กันอย่างขมขื่น
ทุกคนต่างคิดว่าที่หงหุ้ยเตรียมการยิ่งใหญ่ขนาดนี้เพื่อจะไปแก้แค้น
แต่ใครจะรู้ว่าขบวนรถนี้เตรียมการขึ้นเพียงเพื่อจะส่งคน……ไปสู่ความตาย?
เมื่อการเตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้ว
ภายใต้การสั่งการของหยวนเทียนกาง ขบวนรถยิ่งใหญ่ก็เริ่มออกเดินทางไปในเวลาเดียวกัน ราวกับมังกรตัวหนึ่งที่เคลื่อนตัวไปตามถนนไชน่าทาวน์ มุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่เฉินตงได้วางแผนเอาไว้อย่างดี
เมื่อขบวนรถเคลื่อนตัวห่างออกไปแล้ว ฝูงชนที่มุงอยู่ด้านหน้าสมาคมซานเหอก็ค่อยๆ กระจายตัว สถานการณ์เริ่มกลับไปสู่ความสงบอีกครั้ง
แต่ไม่มีใครคาดคิด
ว่าในขณะที่ขบวนรถเคลื่อนตัวออกไปได้ไม่นาน
รถฮัมเมอร์สีดำคันหนึ่งก็ได้ขับพุ่งทะยานออกมาจากสมาคมซานเหออย่างเร็วจี๋ ราวกับสัตว์กระหายเลือดตัวหนึ่ง
เมื่อเคลื่อนตัวออกมาบนถนนก็ได้สะบัดท้ายรถอย่างโอหังวางโต เคลื่อนตัวไปบนถนนสายยาว และมุ่งหน้าตามไปยังทิศทางของขบวนรถนั้น
ขบวนเคลื่อนที่ไปด้านหน้า
ขบวนรถที่รวมตัวจากรถสามสิบคัน ไม่อาจกล่าวว่าไม่ยิ่งใหญ่และไม่ดึงดูดสายตาผู้คน
ผู้คนที่สัญจรไปตามถนนจำนวนมากต่างหยุดมอง และอุทานอย่างแปลกใจ
ส่วนรถที่ขับอยู่ด้านหน้าขบวน ต่างหลบทางให้ขบวนรถโดยสัญชาตญาณ
เนื่องจากขบวนรถหรูราคาแพงไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ผู้คนต่างหวาดเกรงจนต้องรีบหลีกทางให้
เฉินตงนั่งอยู่บนรถในขบวนรถนั้น เขาลดหน้าต่างรถลงเล็กน้อยเพื่อสัมผัสถึงรสชาติของลมทะเลอย่างพึงพอใจ
“เกือบเดือนแล้วที่ผมไม่ได้สูดกลิ่นลมทะเลอย่างเต็มปอดแบบนี้”
เฉินตงหรี่ตาลงทั้งสองข้างราวกับกำลังรำลึกความทรงจำ “แต่กลิ่นคาวจากลมทะเลทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์ที่ผมตกหน้าผาคืนนั้น”
“แต่หวังว่าวันนี้ทุกอย่างจะผ่านไปอย่างราบรื่น”
ท่าทางของหยวนเทียนกางกลับไม่ได้ผ่อนคลายอย่างเฉินตง สีหน้าของเขาหนักอึ้ง แววตาลุกโชน
เขาคอยมองไปรอบๆ ตัวอย่างระแวดระวัง ส่วนมือขวาของเขาเกาะกุมอยู่บนอาวุธที่เอว
“ผ่อนคลายหน่อย” เฉินตงตบไหล่ของหยวนเทียนกาง “คุณอายุมากกว่าผมตั้งหลายปี อย่าทำเหมือนคุณไม่เห็นโลกมามากเท่าผมสิ ตอนนี้เรากำลังข้ามสะพานข้ามทะเลนะ คุณคิดว่านักฆ่าจะโผล่พรวดขึ้นมาจากทะเลแล้วเขวี้ยงระเบิดใส่พวกเราหรือไง”
หยวนเทียนกางไร้คำพูด
ความสงบนิ่งของเฉินตงเหนือความคาดหมายของเขา
และสิ่งที่ทำให้เขาสงสัยไปยิ่งกว่านั้นคือ ใครคือคนที่ถูกปกปิดอยู่กันแน่
แต่เมื่อมองออกไปยังสะพานยาวข้ามทะเล อารมณ์ของหยวนเทียนกางก็เริ่มสงบลง
แน่นอนว่าสถานที่เช่นนี้ คงจะเป็นเส้นทางช่วงที่ปลอดภัยมากที่สุดในแผนการที่เฉินตงวางแผนเอาไว้
โครม!
ในตอนนั้นเอง เกิดเสียงดังมาจากด้านหลัง
“รถชนหรอ”
เฉินตงกับหยวนเทียนกางหันไปมองด้านหลังพร้อมกัน นอกจากขบวนรถยาวเหยียดกับควันไฟที่ลอยคลุ้งจากด้านหลังแล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นใดผิดปกติ
และในตอนนั้นเอง วอของหยวนเทียนกางก็ส่งเสียงดังขึ้น
“รถท้ายขบวนโดนรถแม็คลาเรนสีเหลืองชนท้าย อุบัติเหตุธรรมดา ทราบแล้วเปลี่ยน”
เฉินตงยิ้ม ก่อนจะเข้าสู่ท่วงท่าสบายๆ อีกครั้ง
ส่วนหยวนเทียนกางก็ถอนหายใจดังออกมา
ขบวนรถยังคงเคลื่อนตัวไปด้านหน้าต่อไป
หลังจากผ่านสะพานข้ามทะเลมาแล้ว รถที่อยู่ตามท้องถนนก็ค่อยๆ หนาตามมากขึ้น สิ่งปลูกสร้างรอบด้านก็ค่อยๆ หนาแน่นขึ้น
เฉินตงเลื่อนหน้าต่างรถขึ้นเพื่อปิดช่องว่างนั้น
ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป อันตรายจะเริ่มลุกลามเข้ามา
เขาสามารถมองเห็นตึกรามบ้านช่องด้านนอกหน้าต่างผ่านกระจกติดฟิล์มหนา มีทั้งตึกสูงตระหง่านและมีทั้งสิ่งปลูกสร้างที่ดูคร่ำครึ
นี่เป็นครั้งแรกของการเดินทางไกลข้ามมหาสมุทรครั้งนี้ ที่เขาได้สัมผัสบรรยากาศของโลกภายนอก
ทันใดนั้น
ปรากฏแสงสว่างวาบขึ้นจากบนยอดตึกแห่งหนึ่ง
แสงอาทิตย์ที่หักเหมา ทำให้เฉินตงหรี่ตาลง
“ระวัง!”
เฉินตงกล่าวเตือนขึ้นมาในเวลาไล่เลี่ยกัน
ทว่า
เปรี้ยง!