เกิดเสียงระเบิดตูมใหญ่ รถคันหนึ่งในขบวนระเบิดกระเซ็นกลายเป็นเปลวเพลิงลุกโชน
“ซุ่มโจมตี มีมือปืนซุ่มโจมตี!”
เสียงวอของหยวนเทียนกางมีเสียงพูดร้อนรนดังขึ้น
เฉินตงขมวดคิ้วแล้วชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “อยู่ด้านบนยอดตึกนั่น!”
หยวนเทียนกางรีบร้อนสั่งการในวอ “ทีมหงหุ้ย รีบบุกโจมตีไปยังเป้าหมายที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเดี๋ยวนี้!”
เมื่อสั่งการในวอเสร็จ สีหน้าของหยวนเทียนกางก็เคร่งขรึม “แม่งเอ๊ย พวกนี้มันบ้าไปแล้ว จู่ๆ ก็โผล่มาตั้งแต่ตอนนี้!”
ขบวนรถยังคงมุ่งไปข้างหน้าตามแผนการที่วางเอาไว้
ส่วนที่หยวนเทียนกางเพิ่งออกคำสั่งไป หมายถึงการซุ่มโจมตีสมาชิกทีมหงหุ้ยจากบริเวณใกล้ๆ ก่อนหน้านี้
หลังจากออกคำสั่งไป ทีมหงหุ้ยก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
หลังจากการซุ่มโจมตีผ่านไป ขบวนก็ได้เคลื่อนผ่านเขตที่มีสิ่งปลูกสร้างหนาแน่นไปได้อย่างไม่มีอุปสรรคอีก
“ต่อจากนี้คงจะมีมือปืนโผล่มาอีกหลายคน”
เฉินตงขยี้จมูก สายตาของเขาที่ลึกล้ำเต็มไปด้วยความเย็นชา “แต่ก็คงจะเป็นแค่การยิงขู่เท่านั้นแหละ นักฆ่าของจริงที่จะสร้างความกดดันให้กับพวกเราได้น่าจะอยู่บริเวณชุมชนแออัดมากกว่า”
หยวนเทียนกางหยิบแผนที่ออกมาแล้วย่นคิ้วมอง “จากนี่ถึงสลัมเหลือระยะทางอีกสองกิโลเมตร”
เขาสูดหายใจลึกแล้วหันไปมองเฉินตงอย่างหนักใจ “ถ้าจะเปลี่ยนเส้นทาง ตอนนี้ยังทันนะ”
“ในเมื่อเริ่มเกมแล้ว ผมจะกล้าเปลี่ยนกฎระเบียบในเกมได้ยังไงล่ะ”
เฉินตงหัวเราะเย็นๆ แววตาของเขาปรากฏความบ้าระห่ำ
คิ้วของหยวนเทียนกางขมวดเข้าหากันแน่น เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอาปืนพกที่เสียบอยู่ที่เอวส่งให้เฉินตง
“เอาติดไว้ป้องกันตัว”
เฉินตงรับปืนมา ขณะที่ขบวนรถยังเคลื่อนตัวไปข้างหน้า
และเป็นไปตามที่เฉินตงคาดการณ์ไว้ เกิดเหตุซุ่มโจมตีหลังจากนี้อีกสี่ครั้ง
แต่ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงการข่มขู่ให้หวาดกลัวแต่ไร้ซึ่งความอันตราย การโจมตีแต่ละครั้งถูกสมาชิกทีมหงหุ้ยที่ซ่อนตัวอยู่คลี่คลายไปได้อย่างรวดเร็ว
หยวนเทียนกางถือแผนที่อยู่ตลอดเวลา พลางคะเนระยะทางไปยังชุมชนแออัด
ชุมชนแออัดเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อารมณ์ของเขาก็ยิ่งตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ
หยวนเทียนกางพอจะคาดเดาได้ว่าเหตุการณ์ต่อสู้ที่ชุมชนแออัดจะต้องเกิดขึ้นอย่างดุเดือดเลือดพล่าน หากเทียบกับการซุ่มโจมตีตอนนี้นับว่าห่างกันราวฟ้ากับเหว
แม้ว่าเขาจะเป็นหลงโถวของหงหุ้ย เห็นอุปสรรคความยากลำบากมาแล้วมากมาย แต่หน้าผากของเขาก็ยังปรากฏเหงื่อเย็นๆ ซึมออกมา
เฉินตงนั่งอยู่ในรถเงียบๆ แล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง แม้ว่าสีหน้าของเขาจะสงบเงียบ
แต่มือขวาของเขากลับกำปืนเอาไว้แน่น ก่อนจะเก็บปืนเข้าไปไว้ในเอวอย่างระมัดระวัง
และในตอนนั้นเอง ด้านนอกรถเกิดเสียงดังสนั่น
รถแม็คคลาเรนสีเหลืองคันหนึ่งขับตะบึงมาด้วยความเร็วจี๋ แล้วมาเทียบอยู่ข้างๆ รถที่เฉินตงนั่งอยู่ด้านใน
เฉินตงจ้องมองด้วยความข้องใจ
ด้านหน้ารถแม็คคลาเรนสีเหลืองมีรอยถูกชนปรากฏอยู่อย่างชัดเจน
เขาขมวดคิ้ว “รถคันนี้ใช่ไหมที่ขับชนรถท้ายขบวนของพวกเรา”
ดวงตาของหยวนเทียนกางที่จ้องมองแผนที่อยู่กระตุก ก่อนจะเงยหน้ามองไปยังด้านนอกรถแล้วพยักหน้าเงียบๆ “น่าจะเป็นคันนี้แหละ”
“เขาขับเร็วมาก ขนาดเพิ่งชนยังตามมาทัน”
คิ้วของเฉินตงค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน “แต่ตอนนี้กลับขับช้า แถมยังมาเทียบกับรถของเรา”
ระหว่างที่พูด เฉินตงก็หันหน้าไปสบตากับหยวนเทียนกาง
สีหน้าของหยวนเทียนกางแข็งทื่อ
จากนั้นสีหน้าของคนทั้งสองก็เปลี่ยนไปพร้อมๆ กัน
“ลอบโจมตี!”
หยวนเทียนกางแผดเสียงดัง
พร้อมกันนั้น เฉินตงกับเขาก็หมอบลงไปกับพื้นรถพร้อมกัน
ปั้ง!
เสียงปืนดังขึ้น กระสุนได้พุ่งเข้ามากระแทกบริเวณกระจกรถ
การโจมตีที่น่าหวาดผวา ทำให้กระจกกันกระสุนของรถปรากฏรอยร้าวขยายตัวออกไป
เสียงปืนที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน
เหนือความคาดหมายของสมาชิกทีมหงหุ้ย ทำให้รถส่ายไปส่ายมาไประยะหนึ่ง
ต่อจากนั้น
ปั้งๆๆๆ
……
เสียงปืนที่ดังคล้ายปืนยาวเอเค 47 ดังสนั่นมาจากระยะไกล
การเดินทางที่ค่อนข้างจะราบรื่น ได้เปลี่ยนเป็นการเดินทางที่ตึงเครียดขึ้นมาในทันที
ขบวนรถเริ่มระส่ำระสาย
ส่วนรถคันที่เฉินตงกับหยวนเทียนกางนั่งอยู่นั้น กลายเป็นเป้าการโจมตีของปืนบนรถแม็คคลาเรน
ตัวรถทั้งคันเต็มไปด้วยรอยกระสุน
“ขับเร็วกว่านี้!” เฉินตงตะโกน
รถพุ่งทะยานไปด้วยความรวดเร็ว ไม่นานนักก็ขับเข้าสู่เขตชุมชนแออัด
สายตาของเฉินตงมองไปด้านหน้า
สิ่งปลูกสร้างที่เห็นอยู่ไกลๆ ทั้งเตี้ยทรุดโทรม ไร้ระเบียบและเก่าคร่ำครึผสมผสานเข้าด้วยกัน ส่วนอาคารสูงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านเป็นระเบียบเป็นเส้นกั้นระหว่างความแตกต่างของทั้งสองบริเวณ
ทำให้คนรู้สึกราวกับทะลุมิติเข้ามา
เพียงแค่เห็นภาพเบื้องหน้าก็สัมผัสได้ถึงความยากจนข้นแค้น
แม้แต่ถนนหนทางเองยังค่อยๆ เปลี่ยนเป็นถนนที่ทรุดโทรมเป็นหลุมเป็นบ่อ
ระหว่างที่รถเคลื่อนตัวไป ก็รู้สึกได้ชัดเจนถึงความไม่สงบ
บรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นของความผุพัง เน่าเหม็นที่ลอยคละคลุ้งผสมเข้าด้วยกันกลายเป็นกลิ่นที่เสียดแทงจมูก
เฉินตงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
หยวนเทียนกางกล่าวเสียงเข้ม “ที่นี่เป็นที่ของคนไร้ความหวังอยู่ทั้งนั้น”
“ความหวังล้วนเป็นสิ่งที่ตัวเองสร้างให้ตัวเองทั้งนั้น” เฉินตงตอบ “ถ้าตัวเองไม่อยากให้ความหวังตัวเอง นั่นหมายถึงการหมดความหวังอย่างสิ้นเชิง ถ้าในใจยังมีไฟดวงเล็กๆ ติดอยู่ พอสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ จะต้องมีสักวันที่ไฟลุกโชนขึ้น”
หยวนเทียนกางเหลือบมองเฉินตง
เขาลูบจมูกแล้วยิ้มพลางบ่นพึมพำ “ผมไม่เข้าใจคุณเลย อายุยังน้อยอยู่แท้ๆ แต่กลับมองทะลุปรุโปร่งหลายๆ เรื่อง”
“เพราะว่าผมผ่านมาหมดแล้ว”
เฉินตงยิ้มอย่างเย็นชาแล้วชี้ไปยังชุมชนแออัดที่ทรุดโทรม “ตั้งแต่เล็กจนโต ผมกับแม่ก็ใช้ชีวิตอยู่ในสลัมแบบนี้แหละ”
รอยยิ้มของหยวนเทียนกางหายไป
เขาหยักไหล่แล้วเก็บรอยยิ้มของตัวเอง จากนั้นจึงยกวอขึ้นเพื่อแจ้งให้ทุกคนยกระดับการป้องกัน
ชุมชนแออัด แหล่งรวมของความพ่ายแพ้ ความมืดหม่นและสิ้นหวัง
เป็นอย่างที่หยวนเทียนกางกล่าว ที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของชนชั้นล่างที่ไร้ความหวัง
ในสถานที่ที่ไม่มีใครสนใจ คนที่ไร้ความหวังกลุ่มนี้ มีกฎเกณฑ์ทางความเชื่อไม่ต่างอะไรกับคนในป่าที่เรียบง่ายและป่าเถื่อน
ผู้อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้ล่า!
แค่ขนมปังก้อนหนึ่งที่ทำให้อิ่มท้อง อาจจะนำไปสู่การต่อสู้ที่นองเลือดร้ายแรง
ในตอนแรกหยวนเทียนกางกับเย่หยวนชิวได้คัดค้านเส้นทางของเฉินตงที่จะต้องผ่านชุมชนแออัดแห่งนี้ เพราะนอกจากจะกลัวการโจมตีที่ดุเดือดแล้วยังกลัวอันตรายจากชุมชนแออัดแห่งนี้ด้วย
สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายรอบด้าน
“ทุกคนตามขบวนมาเรื่อยๆ ห้ามหยุดอย่างเด็ดขาด พวกเราต้องผ่านย่านสลัมไปได้ให้เร็วที่สุด”
หยวนเทียนกางตะโกนเข้าไปในวอ น้ำเสียงของเขาดังและหนักแน่น ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใดได้มีโอกาสตั้งคำถาม
เพราะนี่……คือคำสั่ง
“ถ้าผ่านที่นี่เร็วเกินไป จะทำให้ผู้ที่อยู่เบื้องหลังไม่มีโอกาสลงมือนะ” เฉินตงพูดอย่างขัดใจ
หยวนเทียนกางยิ้มเฝื่อน “ความหมายของคำว่าเร็วของคุณกับผมมันไม่เท่ากันหรอก”
เฉินตงไม่ตอบอะไร เพียงจ้องไปด้านหน้า
ไม่ช้าก็เริ่มเข้าใกล้ชุมชนแออัดมากขึ้นเรื่อยๆ
กลิ่นเหม็นยิ่งรุนแรง ยิ่งเสียดแทงจมูกมากขึ้น
บรรยากาศของความผุพังใกล้เข้ามาแล้ว
ก่อให้เกิดความกดดันและรู้สึกหวาดหวั่น
ตามข้างทางเริ่มมองเห็นผู้หญิงใส่เสื้อผ้าเก่าๆ ที่กำลังเหม่อลอยมาทางขบวนรถ
ทั้งยังมีผู้ชายไม่สวมใส่เสื้อโชว์รอยสักอีกหลายคนที่จ้องเขม็งมาอย่างไม่น่าไว้ใจ
ในวันปกติ ไม่ค่อยมีใครผ่านเข้ามาในย่านชุมชนแออัดแบบนี้
แถมนี่ยังเป็นขบวนรถหรูอีกต่างหาก
ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว เฉินตงก็เข้าใจแล้วว่าคำว่าเร็วของหยวนเทียนกางมันต่างจากคำว่าเร็วของเขาอย่างไร
ถนนที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อ ทำให้รถไม่สามารถเร่งความเร็วได้มากนัก
ต่อให้เร็วมากขึ้นแค่ไหน ความเร็วของขบวนรถก็ยังไม่ต่างอะไรกับเต่าเดินอยู่ดี
แถมยังมีคนในชุมชนแออัดที่ยืนขวางอยู่หน้ารถ ทำได้เพียงบีบแตรไล่แล้วรอให้พวกเขาหลีกทางเท่านั้น ขบวนรถถึงจะขับผ่านไปได้
เฉินตงขมวดคิ้วมองไปยังความวุ่นวายที่อยู่ด้านนอก
ตอนนั้นเขาพลันบังเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมา
สุดท้ายแล้ว……เป็นตัวเขาเองที่ประมาทเกินไป
หากรู้แต่แรกว่าย่านชุมชนแออัดจะมีสภาพเช่นนี้ เขาคงจะวางแผนอย่างระมัดระวังกว่านี้และเปลี่ยนเส้นทาง
เพราะจากความเร็วเฉลี่ยของขบวนรถตอนนี้ที่เคลื่อนตัวผ่านย่านสลัมได้ไม่เกินสามสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง ขอเพียงแค่มือปืนที่ซุ่มอยู่ตาไม่บอด ชี้ตรงไหนก็คงจะยิงโดนตรงนั้นได้ง่ายๆ
“ตอนนี้เริ่มรู้สึกแล้วใช่ไหมว่าตัวเองยังเป็นเด็กเกินไปหน่อย”
ราวกับหยวนเทียนกางมองความคิดอ่านของเฉินตงออก จึงแค่นหัวเราะออกมาอย่างเคร่งเครียด