เฉินตงพยักหน้าอย่างไม่ปิดบัง แล้วยิ้มตอบอย่างหม่นหมอง
ในตอนนั้นเอง
ปั้ง!
เสียงดังสนั่นมาจากทิศทางด้านหน้า
ต่อจากนั้นจึงตามมาด้วยเสียงเอะอะวุ่นวายของฝูงชน
สีหน้าของเฉินตงกับหยวนเทียนกางเคร่งขรึม
หยวนเทียนกางรีบหยิบวอขึ้นมาสอบถาม “ด้านหน้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“รถนำด้านหน้าชนผู้หญิงในสลัมคนหนึ่งครับ ตอนนี้คนเริ่มเข้ามามุงกันแล้ว กระผมกำลังส่งคนไปจัดการอยู่ครับ”
เสียงเคร่งเครียดของเย่หยวนชิวดังออกมาจากวอ
เนื่องจากชนคนทำให้ถนนด้านหน้าถูกขวางเอาไว้ ขบวนรถทั้งขบวนจึงเคลื่อนที่ไปข้างหน้าต่อไม่ได้
เสียงเอะอะวุ่นวายที่ดังมาจากด้านหน้าเริ่มดังขึ้น และเริ่มวุ่นวายมากขึ้นเรื่อยๆ
ฝูงชนเริ่มเดินเข้ามามุงดูมากขึ้น
สถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้เป็นสมาชิกของหงหุ้ยก็ยังต้องรู้สึกปวดหัว
คำที่ใช้บรรยายสถานการณ์ตอนนี้ได้ใกล้เคียงมากที่สุดก็คือ ใช้ชีวิตอย่างไม่มีอะไรจะเสีย
เฉินตงกับหยวนเทียนกางที่นั่งอยู่ในรถต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด
เพราะพวกเขาค้นพบแล้วว่า ตั้งแต่ตอนที่ขบวนรถหยุดลงและเวลาเดินไปเรื่อยๆ
รอบด้านมีฝูงชนเข้ามารวมตัวกันเป็นจำนวนมากขึ้น โดยไม่ได้ไปรวมตัวกันอยู่ด้านหน้า แต่กลับแอบมายืนจดจ้องอยู่ด้านข้างด้วยสายตาราวนักล่าที่เฝ้ามองรถแต่ละคันอย่างมาดร้าย
“ผมรู้สึกเหมือนเข้ามาอยู่ในรังโจรเลย” เฉินตงขยี้จมูก
“รอไม่ได้แล้ว ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ยังไม่ต้องพูดถึงคนที่อยู่เบื้องหลังหรอก คนแถวนี้ต่างหากที่น่าจะเริ่มทนไม่ไหว”
หยวนเทียนกางเอ่ยเสียงทุ้มลึกแล้วยกวอขึ้นมา “ท่านเย่ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป คนในสลัมจะต้องก่อเรื่องวุ่นแน่ๆ”
คำพูดประโยคนี้ไม่ได้กล่าวเกินจริง
ขบวนรถหรูหลายสิบคัน เข้ามาในย่านชุมชนแออัดเช่นนี้
ในสายตาของผู้คนที่ไร้ความหวัง นี่เปรียบเหมือนขุมสมบัติเล็กๆ ที่เคลื่อนที่ได้
คนที่ใช้ชีวิตอยู่โดยมีความเชื่อว่าผู้อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้เข้มแข็ง พอได้เจอกับขุมสมบัติเล็กๆ เช่นนี้จะควบคุมความโลภของตัวเองได้อย่างไร
“กำลังให้เงินครับ”
เสียงดุดันของเย่หยวนชิวดังออกมาจากในวอ
ทว่า
ปั้ง!
เสียงปืนดังขึ้นราวกับเสียงสายฟ้าที่ก้องกังวานไปทั่วชุมชนแออัด
ทันใดนั้น ชุมชนแออัดตกอยู่ในความเงียบสงัด
วินาทีถัดมา
ฝูงชนในชุมชนแออัดเริ่มแตกตื่น
ฝูงชนที่ล้อมรถอยู่ทนไม่ไหวอีกต่อไป เสียงปืนที่ดังขึ้นเปรียบดังสัญญาณสั่งการให้พวกเขาพุ่งเข้าใส่รถอย่างหิวกระหาย
“ทุกคันเตรียมตัวให้พร้อมแล้วฝ่าออกไป!”
สีหน้าของหยวนเทียนกางเปลี่ยนไประหว่างที่ออกคำสั่ง
ขบวนรถที่หยุดนิ่งกลับมาเคลื่อนตัวอีกครั้ง
ปั้งๆๆๆ……
เสียงปืนดังขึ้นมาจากทุกทิศทุกทางไม่ขาดสาย
ชุมชนแออัดแตกตื่นราวนกแตกรัง
กลุ่มคนที่พุ่งตัวเข้ามาประชิดรถ ต่างพยายามกระชากประตูรถให้เปิดออกอย่างหน้ามืดตามัว
แม้ว่าขบวนรถจะเริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้ง แต่ก็ยังเคลื่อนที่ไปได้อย่างช้าๆ จึงไม่สามารถสลัดฝูงชนที่อยู่รอบๆ ออกไปได้
สถานการณ์ดำเนินไปด้วยความวุ่นวายอย่างถึงที่สุด
เสียงร้องโวยวาย เสียงทุบตี เสียงปืนดังสะท้อนก้องวนเวียน
เฉินตงกับหยวนเทียนกางนั่งหน้าเครียดอยู่ภายในรถ
ทันใดนั้น เสียงของเย่หยวนชิวตะโกนดังออกมาจากวอ
“ทุกคนเตรียมรับมือ มีขบวนรถพุ่งเข้ามาปะทะ!”
เปรี้ยง!
เสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ควันหนาๆ ลอยตัวสูงขึ้น
จากนั้นเสียงตะโกนของเย่หยวนชิวก็ดังเข้ามาในวออีก
“เตรียมโจมตี เตรียมโจมตี ขบวนรถถูกชน ถนนด้านหน้าถูกขวางเอาไว้ รีบคุ้มกันเฉินตงหนีออกไป!”
เสียงปืนลูกซองดังรัวมาจากทิศทางด้านหน้า
ปลายหางตาของเฉินตงเต้นตุบๆ
หยวนเทียนกางกำหมัดทุบลงบนเบาะรถ “แม่งเอ๊ย มันเอาอาวุธสงครามมาใช้!”
การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป คนทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือด ตอนนี้ฝ่ายของเฉินตงกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ
การต่อสู้ดำเนินไปได้พักใหญ่ สุดท้ายจึงไล่ฝูงชนไปได้ พวกเขาตัดสินใจแยกเป็นสองกลุ่ม ทว่าท่ามกลางความวุ่นวายนี้ เกิดเสียงปืนดังทะลุผ่านหน้าอกของเย่หลิงหลง เฉินตงรู้สึกโหวงในใจ เขาไม่มีทางเลือกอื่น จำเป็นต้องนั่งอยู่บนรถแล้วเหยียบคันเร่งจนมิดฝ่าฝูงชนที่ไม่หวงชีวิตตนเองออกไป ฝูงชนในสลัมเห็นดังนั้นจึงพากันวิ่งหนีเปิดทางออก
หลังจากนั้นไม่นาน เฉินตงได้พาเย่หลิงหลงขับผ่านไปยังสี่แยกหนึ่ง
ขณะที่รถแฮมเมอร์เคลื่อนผ่านสี่แยกที่ล้อมรอบไปด้วยบ้านเรือนนั้น
เปรี้ยง!
รถ SUV สีดำคันหนึ่งได้พุ่งเข้ามาชนราวกับสัตว์ที่กำลังบ้าคลั่ง
รถแฮมเมอร์ด้านหน้าถูกชน
แรงปะทะอย่างรุนแรง ทำให้รถแฮมเมอร์ลอยกระเด็น ตัวรถที่โดนกระสุนยิงใส่นับไม่ถ้วนได้บุบงอเสียทรงราวกับยุบหายลงไปครึ่งหนึ่ง
โครม!
หลังจากรถแฮมเมอร์กระเด็นไปชนเข้ากับกำแพงแล้วก็ร่วงลงกระแทกพื้น ควันลอยโขมง
แรงชนอย่างรุนแรงทำเอาเฉินตงกระเด็นออกจากรถแฮมเมอร์
เมื่อหล่นลงด้านล่างแล้ว เฉินตงนอนแผ่อยู่บนพื้นด้วยความรู้สึกเจ็บปวดราวกับร่างแตกสลาย
เลือดสดไหลซึมออกมาจากมุมปากของเขา
จมูกของเขาก็รู้สึกถึงเลือดที่กำลังเคลื่อนไหว
แต่เฉินตงกลับไม่ได้สนใจความเจ็บปวดของตัวเอง เมื่อตั้งสติได้ เขาก็บังคับตัวเองให้ค่อยๆ คลานกลับไปที่รถแฮมเมอร์
เนื่องจากตำแหน่งที่นั่งที่แตกต่างกัน ทำให้เย่หลิงหลงไม่ได้กระเด็นออกมาจากรถด้วยแรงกระแทก เธอยังคงติดอยู่ด้านในรถ
“หลิงหลง……หลิงหลง……”
ใบหน้าของเฉินตงเต็มไปด้วยเลือด มือของเขาที่คืบคลานไปตามพื้นยังทิ้งรอยเลือดสีแดงสดเอาไว้เป็นทาง
แต่เนื่องจากขาทั้งสองของเขาไร้ความรู้สึก มีเพียงมือสองข้างเท่านั้นที่พาเขาเคลื่อนกายไปตามพื้น ทำให้ระยะทางห้าเมตรนี้เป็นหนทางที่ยาวไกลกว่าเดิม
ส่วนอีกฟากหนึ่ง หลังจากผ่านการปะทะเรียบร้อยแล้ว
รถ SUV สีดำก็จอดนิ่ง ด้านหน้ารถบุบจนเสียรูปเพราะแรงชน ฝากระโปรงหน้ารถเผยอเปิดออกทำให้ควันลอยโขมงออกมา
ภายในห้องโดยสาร ถุงลมนิรภัยทุกลูกระเบิดออก
เป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าการชนปะทะกันเมื่อครู่นี้รุนแรงมากขนาดไหน
ปั้ง!
ประตูรถที่บิดงอถูกถีบอย่างแรงจนเปิดออก
รองเท้าหนังสีดำมันวาวคู่หนึ่ง ค่อยๆ ก้าวออกมาจากรถ
แก๊ก……แก๊ก……
รองเท้าหนังสีดำก้าวเดินมาข้างหน้าด้วยจังหวะการเดินที่ไม่ช้าไม่เร็ว กางเกงขายาวทรงกระบอกตรงจึงพลิ้วไหวเบาๆ
คนขับรถก็ไม่ได้ลนลานแต่อย่างใด เขาค่อยๆ เคลื่อนที่มาข้างหน้า พร้อมเสียงดัง “กริ๊ก” ที่ดังสะท้อนทั่วทั้งถนน
เฉินตงที่คืบคลานมาถึงด้านข้างรถแฮมเมอร์พลันหวาดผวา
เขาได้ยินเสียง “กริ๊ก” อย่างชัดเจน และแน่ใจว่าเสียงนั้นคือ……เสียงใส่แม็กกาซีนปืน
“ที่นี่อยู่ในแผนของพวกแกด้วยหรือ”
ดวงตาของเฉินตงแดงก่ำ แม้ว่าเขาจะควบคุมสติและความอ่อนแอเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ทว่าความพรั่นพรึงในดวงตาของเขาไม่สามารถเก็บซ่อนได้
“ถ้าจะพูดให้ถูกคือ ไม่ได้วางแผน”
เสียงกล่าวตอบเต็มไปด้วยความเย้ยหยันถากถาง “แต่เป็นเพราะก่อนที่จะตามฆ่าหมาตัวหนึ่ง ฉันมีความสามารถเพียงพอที่จะรับมือกับหมาจนตรอกตัวนี้ได้ทุกเมื่อ ดังนั้นแกคิดว่าแกหนีได้แล้ว แต่จริงๆ ฉันยังแอบตามแกอยู่ จนกว่าจะลากตัวแกไปลงนรกได้……”
น้ำเสียงนี้……
เฉินตงตัวสั่นแล้วเงยหน้าขวับขึ้นด้านบน
แม้ว่าจะเคยพบหน้ากันเพียงครั้งเดียว แต่ใบหน้าที่ดวงตาของเขาเห็นในตอนนี้ ยังทำให้ดวงตาของเขาหรี่เล็กลงดังเดิม
ความหนาวสะท้านได้แล่นผ่านตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
เฉินตงเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เฉินเทียนฟ่าง?!”
เขายังจำช่วงเวลาครั้งแรกที่เขาไปเหยียบบ้านตระกูลเฉินได้
ตอนที่เขากำลังหัวฟัดหัวเหวี่ยงตั้งท่าจะลงมือกับคุณนายใหญ่เฉินอยู่นั้น คนผู้นี้เป็นคนที่ขวางเขาเอาไว้
เขาจึงจดจำคนผู้นี้ได้เป็นอย่างดี!
“ทำไมถึงเป็นแก” เฉินตงมีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อตาตัวเอง
ตอนนี้ เฉินเทียนฟ่างกำลังมองเฉินตงจากมุมด้านบน
สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโอหังสะใจ
รอยยิ้มก็เต็มไปด้วยความดูแคลนอย่างเข้มข้น ราวกับกำลังยิ้มเย้ยมดตัวหนึ่ง
“เห็นสภาพของแกตอนนี้ ฉันรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเลย”
เฉินเทียนฟ่างแสร้งถอนหายใจ “ตอนที่แกอยู่บ้านตระกูลเฉินน่าเกรงขามขนาดไหนกันนะ แม้แต่คุณนายใหญ่ยังถูกแกกดขี่ซะจนไม่เหลือท่า แล้วดูตอนนี้สิ แกคลานอยู่บนพื้น ขนาดจะยืนยังยืนไม่ได้ ไม่ต่างอะไรกับหมาตัวหนึ่ง”
สีหน้าของเฉินตงหมองหม่น แววตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและอัดอั้นใจ